“ถ้ํานี้น่าจะเคยเป็นรังของสัตว์อสูร แต่ดูจากสิ่งแวดล้อมภายในถ้ำที่นี่คงไม่มีสัตว์อสูรเข้ามาเป็นเวลานาน เป็นไปได้ว่าสัตว์อสูรตัวนั้นอาจจะตายไปแล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นไร้เจ้าของ!”
เมื่อสำรวจบริเวณโดยรอบเรียบร้อยแล้ว เย่เทียนจึงเริ่มฝึกฝนได้อย่างสบายใจ
เขาดื่มเลือดสัตว์อสูรระดับต่ําไปอึกใหญ่ และเริ่มฝึกฝนวิชาหลอมกายา
ด้วยเลือดสัตว์อสูรระดับต่ํานี้ เย่เทียนใช้เวลา 5 วันในถ้ําและพละกำลังของเขาก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 900 จิน
อย่างไรก็ตามเมื่อมันมาถึง 900 จินแล้ว มันก็เป็นเรื่องยากสําหรับเขาที่จะเพิ่มพละกำลังขึ้นอีก เลือดสัตว์อสูรระดับต่ําก็ช่วยเขาได้น้อยลง
เย่เทียนรู้มานานแล้วว่ามันจะเป็นเช่นนี้
สถานการณ์ของเขาก็ยังค่อนข้างดี แม้ว่าการพัฒนาของเขาจะช้าลง แต่มันก็ยังพัฒนาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ต่างกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ต่ําต้อย พวกเขายากที่จะก้าวต่อไปหลังจากมีค่าพละกำลังถึง 900 จิน พวกเขาต้องใช้เวลาและความทุ่มเทมากขึ้นเพื่อเพิ่มพละกำลัง และต้องพึ่งพาโอกาสพิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถทะลวงคอขวดได้
หลังจากเลือดของอสูรระดับต่ำหมดลง เย่เทียนก็ออกล่าสัตว์อสูรในภูเขาเขียวขจี และทุกครั้งที่เขาฆ่าสัตว์อสูรได้ เขาก็กลับมายังถ่ำและฝึกฝนอีกครั้ง
สําหรับอาหารปกติทั้งหมดถูกทดแทนด้วยเนื้อของสัตว์อสูรซึ่งมันให้ทั้งสารอาหารและพลังงานมากเกินกว่าอาหารทั่วไปจะเทียบได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งเนื้อของสัตว์อสูรก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เย่เทียนเช่นกัน
ออกล่า ฝึกฝน และล่าอีกครั้ง…
จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในถ้ํา
เย่เทียนเสร็จสิ้นการฝึกฝนของวันนี้ และตรวจสอบพละกำลังของเขา
“พละกำลังของเราเกือบจะถึง 1,000 จินแล้ว แต่ว่าตั้งแต่เมื่อวานพลังของเรายังไม่เพิ่มขึ้นเลย คงจะเป็นเพราะว่าเรามาถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ตอนนี้คงติดอยู่ตรงคอขวด หากเราสามารถทําลายคอขวดนี้ได้ ก็จะสามารถทะลวงไปยังขั้นเป็นนักรบ!” เย่เทียนพึมพํา
สําหรับวิธีการทะลวงคอขวดเย่เทียนยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน แต่เปลี่ยนเป็นเริ่มฝึกทักษะดาบ
ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ เขาฝึกวิชาดาบเป็นครั้งคราว แม้ว่าเวลาในการฝึกจะน้อยกว่าวิชาหลอมกายา แต่ด้วยพรสวรรค์ด้านดาบระดับกลาง ทำให้ความก้าวหน้าของเขาไม่ช้านัก
ตอนนี้ทักษะดาบระดับทองแดงของเขา ดาบเงาสังหาร ได้ฝึกฝนมาจนถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางแล้ว แต่การจะฝึกจนถึงขั้นเชี่ยวชาญนั้นยากเย็นแสนเข็ญ
“ตามตําราได้บอกไว้ว่าทักษะดาบนั้นไม่อาจเร่งรีบได้ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะฝึกทักษะดาบระดับทองแดงให้ไปจนถึงขั้นเชี่ยวชาญ เราบรรลุถึงจุดสูงสุดขั้นกลางอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อยู่ห่างจากขั้นต่อไปเพียงก้าวเดียว จากนั้นเราก็จะสามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้!” เย่เทียนตัดสินใจ
พลังดาบคือการปลดปล่อยความเข้าใจในวิถีดาบของตนออกมา เพื่อสร้างเป็นพลังพิเศษ มีเพียงการสามารถทำความเข้าใจในวิถีดาบจนถึงขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังดาบออกมาได้
เย่เทียนไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจในวิถีดาบได้อย่างไร เขาจึงจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนวิชาดาบอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ดาบแล้วดาบเล่า เย่เทียนค่อยๆเริ่มซึมซับทำความเข้าใจถึงความลึกลับในวิถีดาบอย่างต่อเนื่อง เมื่อเริ่มหมดแรง เย่เทียนก็ดื่มเลือดสัตว์อสูรและเปลี่ยนเป็นฝึกฝนวิชาหลอมกายา
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน
เย่เทียนหลับตาลง รวบรวมความรู้ความเข้าใจในขณะที่เขาเหวี่ยงดาบมานับครั้งไม่ถ้วน
ทันใดนั้น พลังของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป ราวกับดาบเล่มหนึ่งกดทับอากาศรอบด้าน ทําให้อากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
ตูม!!!!
พลังดาบระเบิดออกมา ปราณดาบที่มองไม่เห็นปะทะเข้ากับกําแพงหินรอบด้าน ผงหินจํานวนนับไม่ถ้วนหลุดออกจากกําแพงหิน
“พลังดาบ เราทำได้แล้ว!”
เย่เทียนยิ้มบางๆ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าโซ่ตรวนบางอย่างที่พันธนาการร่างกายของเขาแตกหัก
“หรือว่า…”
เย่เทียนคิดถึงความเป็นไปได้ได้ ดังนั้นเขาจึงรีบดื่มเลือดสัตว์อสูรและเริ่มฝึกกระบวนท่าวิชาหลอมกายา
พลังโลหิตของสัตว์อสูรแผ่กระจายไปทั่วร่างของเย่เทียน และเริ่มปรับแต่งทุกส่วนของร่างกายเขา
สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือ เย่เทียนสามารถสัมผัสได้ถึงพละกำลังอันแข็งแกร่งที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในกล้ามเนื้อทุกมัด และร่างกายของเขาก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เย่เทียนรู้ว่าตนเองนั้นได้ทะลวงผ่านสำเร็จแล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการเลื่อนขั้นจากผู้ฝึกยุทธ์เป็นนักรบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ กระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเย่เทียนค่อยๆหยุดลง
“ฟู่”
เย่เทียนสูดหายใจเข้าลึก และกําหมัดแน่น เขาสัมผัสได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลที่แฝงอยู่ในร่างกายของเขา เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก
“ร่างกายของเราแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก ความแข็งแกร่งนี้ทําลายขีดจํากัดของ 1,000 จิน ในที่สุดเราก็ทะลวงผ่านขั้นนักรบแล้ว!”
เย่เทียนเลื่อนขั้นเป็นนักรบ จุดประสงค์ของการมายังหุบเขาเขียวขจีในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนไม่ได้คิดที่จะกลับไปในตอนนี้ เขาวางแผนที่จะฝึกฝนเงาสังหารจนสำเร็จถึงขั้นเชี่ยวชาญก่อนที่จะเดินทางกลับ
เมื่อเข้าใจถึงพลังดาบแล้ว เย่เทียนก็มีความเข้าใจในวิชาดาบมากขึ้น เขาใช้เวลาเพียงสามวันก็สามารถบรรลุถึงขั้นเชี่ยวชาญได้ ทักษะเงาสังหารเมื่อถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว มันรวดเร็วจนถึงขีดสุด เกรงว่าต่อให้เป็นนักรบขั้นปลายที่ไม่ทันระวังตัว ก็ยากที่จะหลบกระบวนท่านี้ได้
“ในแง่ของความแข็งแกร่ง เราน่าจะงสามารถต่อกรกับนักรบขั้นกลางได้ แต่เมื่อเทียบกับนักรบขั้นปลายแล้ว ยังห่างชั้นอยู่มาก นักรบขั้นปลายนั้นแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเรา พวกเขายังสามารถใช้ปราณหยวนคอยปกป้องร่างกาย ต่อให้กระบวนท่าเงาสังหารของเราแข็งแกร่งแค่ไหน หากไม่สามารถทำลายการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้มันก็ไร้ประโยชน์!” เย่เทียนคิดกับตัวเอง
นอกจากนี้เย่เทียนยังพบว่าวิชาหลอมกายาไม่สามารถช่วยให้เขาเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกต่อไป
ว่ากันว่านักรบนั้นสามารถดูดซับปราณหยวนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่เขาในตอนนี้นั้นกลับไม่รู้ถึงวิธีดูดซับลมปราณ
ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางกลับไปที่ฐานหลินไห่เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งต่อไป
“เฮ้อ….ได้เวลากลับแล้ว!”
เย่เทียนเก็บข้าวของและห่อวัตถุดิบของสัตว์อสูรที่เขาได้รับมา จากนั้นก็เดินออกจากถ้ําและมุ่งหน้าไปยังฐานหลินไห่
……
ฐานหลินไห่ ประตูเมืองทิศตะวันออก
เย่เทียนออกไปเป็นเวลา 1 เดือนกว่า เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ร่างกายของเขาส่งกลิ่นเหม็นออกมา แต่ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่ไม่กล้าดูถูกเย่เทียน พวกเขาทั้งแสดงความอิจฉาและความเคารพ
พวกเขารู้ว่าเย่เทียนนั้นเป็นนักรบ และยังเป็นนักรบที่เข้าป่าเพียงลำพังเป็นเวลานาน นักรบแบบนี้ไม่ง่ายเลยที่จะไปตอแย
หลังจากเข้าไปในฐานหลินไห่ เย่เทียนยังไม่ได้กลับบ้าน เขาหาโรงแรมในบริเวณใกล้เคียงเพื่ออาบน้ําและเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขาก่อนที่จะกลับบ้าน
เมื่อเขากลับมาถึง และพบว่าเย่หยูนั่งอ่านหนังสืออยู่ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เขาไม่อยู่บ้านเป็นเวลาเดือนกว่า และกังวลว่าจะเกิดอันตรายกับเย่หยู โชคดีที่ทุกอย่างเป็นปกติดี
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่
เย่เทียนออกจากบ้านตั้งแต่เช้า และมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดของนักรบ
ตลาดมืดของนักรบตั้งอยู่ใต้ดิน เป็นสถานที่ที่นักรบมักจะมาแลกเปลี่ยนกัน สินค้าต้องห้ามบางอย่างก็หาได้จากที่นี่
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์และคนธรรมดาไม่มีสิทธิ์เข้าสู่ตลาดมืดของนักรบ มีเพียงนักรบเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไป
เย่เทียนเคยได้ยินเกี่ยวกับตลาดมืดของนักรบมานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเข้าไป เขาจึงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมันมาก
ตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับนักรบแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องรีบไปยังที่นั้น
ที่สําคัญกว่านั้นคือเขาต้องการซื้อบางสิ่งในตลาดมืด