ผู้ที่แรกพบดุจสหายเก่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าความลงตัวด้านความคิดและนิสัยใจคอ หากมิใช่มิตรภาพอันลึกซึ้ง มันก็เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับซ่งชูอีที่จะคิดถึงบทสนทนาให้เข้ากับความสนใจของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ
ในตอนท้ายของการกินดื่ม ซ่งชูอีไม่รู้แล้วว่าตัวเองจริงหรือปลอมมากเพียงใดแต่ก็มีความสุขมาก
สุราดอกบ๊วยนี้ดื่มง่ายมากทว่ารสที่ค้างอยู่ในปากก็แรงมาก ในวันถัดไป ทั้งสองพลิกตัวไปมาจนถึงเที่ยงวันกว่าจะลุกจากเตียงได้จากอาการเมาค้าง
เปี่ยนเชวี่ยรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย หลังจากแต่งตัวและทานอาหารแล้ว ก็รีบฝังเข็มให้ซ่งชูอีทันที
ซ่งชูอีมิได้มีอาการบาดเจ็บทางสายตา เพียงแต่จุดชี่ไห่ถูกทำลาย เลือดลมจึงไม่สามารถรวมตัวกันได้เหมือนคนปกติ ด้วยเหตุนี้เลือดลมบริเวณดวงตาจึงทำงานผิดแปลกไป
จิง (สารจำเป็น) ชี่ (พลังชี่) เป็นรากฐานแห่งสุขภาพของมนุษย์ เมื่อเลือดลมเพียงพอจึงจะสามารถบำรุงจิงชี่ได้ การสูญเสียการมองเห็นเป็นเพียงหนึ่งในคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดหลังจากจุดอิ้นถังถูกทำลาย ครั้นหนึ่งในสองจุดชี่ไห่หลักของร่างกายถูกทำลาย ในระยะเวลาสั้นยังไม่เป็นไร หากระยะยาว ความรวดเร็วในการเสื่อมถอยของร่างกายจะรวดเร็วกว่าในสถานการณ์ปกติหลายเท่าตัว โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ความคิดและเสียพลังงานได้อย่างง่ายดายเช่นซ่งชูอี! อาการผมหงอกก่อนวัยนั้นก็เป็นสัญญาณหนึ่งแห่งความอ่อนแอ
การฝังเข็มของเปี่ยนเชวี่ยสามารถทำให้จุดชี่ไห่แข็งแรงขึ้น แต่ก็ต้องฟื้นตัวอย่างช้าๆ ร่างกายของซ่งชูอีอ่อนแอไร้การบำรุง ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้เพียงสูตรยาที่ไม่แรงเพื่อปรับสภาพร่างกายในเริ่มแรก ครั้นมีร่างกายแข็งแรงแล้วจึงสามารถรับการบำรุงขนานใหญ่ได้ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในการสร้างรากฐานอันมั่นคง
สามวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ระหว่างที่อิ๋งซื่อกำลังยุ่งอยู่นั้นก็ได้ให้คนส่งสมุนไพรมาจำนวนมาก อีกทั้งยังตบรางวัลเปี่ยนเชวี่ยทว่าไม่ได้เรียกเข้าเฝ้า
ชูหลี่จี๋มาทุกวัน อิ๋งซื่อเรียกเข้าเฝ้า เขาร้อนใจ อิ๋งซื่อไม่เรียกเข้าเฝ้า เขาก็ยังร้อนใจ
“ท่าน องค์ชายมาหาท่านเจ้าค่ะ” หนิงยากลับมารายงาน
ซ่งชูอีที่กำลังพิงรั้วในศาลาอย่างเหม่อลอยตกใจ “รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วๆ”
หลายวันนี้เปี่ยนเชวี่ยเตือนสตินางอย่างจริงจังว่าห้ามใช้ความคิดมากจนเกินไป แม้แต่เดินหมากกับตัวเองก็ห้าม ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสามถึงห้าวัน นางจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ โชคดีที่มีชูหลี่จี๋มาคุยเป็นเพื่อนนางทุกวัน
ดวงตาของซ่งชูอีมีหนทางรักษา หนิงยาจึงอารมณ์ดีมาโดยตลอด “เจ้าค่ะ!”
ไม่ช้า ชูหลี่จี๋ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าปิติ “หวยจิน มีข่าวดีจากปาสู่อีกแล้ว!”
เขาก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นไปบนศาลา “ดูจากการดำเนินการเช่นนี้ อีกสองเดือนก็สามารถตีรัฐปาได้แล้ว!”
“ยาก” ซ่งชูอีลูบหัวของไป๋เริ่น เอ่ยว่า “การล่มสลายของราชสำนักสู่ จิตวิญญาณการต่อสู้ของชาวสู่ ถูกผลาญไปนานแล้วภายใต้ความฟุ่มเฟือยของสู่อ๋อง ทันทีที่สู่อ๋องสิ้น ชาวสู่ก็ไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป อย่างไรก็ตามแม้ว่ารัฐปาดูเสื่อมโทรมและเปราะบาง แต่มีรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง”
หากแม้แต่มีใครสักคนในรัฐปาคิดจะต่อสู้จนถึงที่สุด ก็ทำได้เพียงปราบปรามอย่างรุนแรงหรือไม่ก็ฆ่าชาวปาเสีย บัดนี้รัฐต่างๆ ล้วนจับจ้องสถานการณ์สงครามในปาสู่ จึงไม่อาจฆ่าแต่ทำได้เพียงปราบปราม ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันรัฐฉู่ก็บุกโจมตีรัฐปาเช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่รัฐฉินโจมตีรัฐปาได้แล้ว ในขณะที่ปราบปรามรัฐปาก็ยังต้องรับมือกับฉู่ที่แข็งแกร่งอีก ภารกิจนี้จึงยากลำบากยิ่ง
“ฮ่า เจ้าว่ากี่เดือน?” ชูหลี่จี๋ยิ้มเอ่ย
ซ่งชูอีชูสี่นิ้วขึ้นมา “อย่างน้อยสี่เดือน”
“ไม่จริงกระมัง? ตีรัฐสู่ก็ใช่เวลาเพียงสองเดือน บัดนี้รัฐปาถูกตีแตกแล้ว ต่อให้รากฐานแข็งแกร่ง สองสามเดือนก็กำลังดี!” ชูหลี่จี๋ประหลาดใจจริงๆ
“พี่ใหญ่อยากเดิมพันกับข้าหรือไม่?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
ชูหลี่จี๋อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่เดิมพันกับเจ้าดอก! สาเหตุที่ข้าถามเจ้า เพราะพบว่าชมรมป๋ออี้มีการแข่งขัน การเดิมพันก็คือรัฐฉินจะสามารถตีรัฐปาได้ภายในกี่เดือน ข้าจะกลับไปเดิมพันว่าสี่เดือนด้วยทรัพย์สินของครอบครัวทั้งหมดที่มี หากชนะข้าจะแบ่งให้เจ้าห้าส่วน หากแพ้ วันหน้าเจ้าก็ต้องเลี้ยงข้าแล้ว!”
ซ่งชูอีเอ่ยอย่างมีความสุข “เหตุใดจะไม่ได้ ทว่าข้าบอกล่วงหน้าได้เลยว่าไม่มีอาภรณ์งดงามอาหารชั้นเลิศ มีเพียงผ้าหยาบๆ กับอาหารชั้นต่ำเท่านั้น”
“ช่างตระหนี่เหลือเกิน” ชูหลี่จี๋โน้มตัวไปหาซ่งชูอี เอ่ยเสียงเบา “หากข้ายากจน หวยจินต้องรับผิดชอบในการสู่ขอภรรยาให้ข้า”
“อ๋อ? พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้ คิดว่าคงไปต้องใจแม่นางบ้านไหนเข้าแน่ๆ กล่าวมาให้ข้าฟัง ต่อให้เป็นองค์หญิงของโจวเทียนจื่อข้าก็จะต้องสู่ขอให้ท่าน” แม้ว่าซ่งชูอีจะล้อเล่นแต่ก็กล่าวด้วยความจริงจัง
ชูหลี่จี๋ไอแห้งเสียงหนึ่ง “ไม่จำเป็น แม่นางในลานด้านหลังของเจ้าหมั้นหมายแล้วหรือยัง?”
ซ่งชูอีนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “พี่ใหญ่พูดจริงหรือ? แม้ว่าน้องเจินมิใช่น้องสาวแท้ๆ ของข้า ข้าก็ไม่อนุญาตให้นางเป็นภรรยาน้อยใครได้”
ชูหลี่จี๋ตบหน้าผากของนางเบาๆ “ข้ายังไม่ได้สู่ขอภรรยาจริงจัง คิดที่จะมีภรรยาน้อยที่ไหนกัน!”
คราวนี้ซ่งชูอีมึนงงไปจริงๆ จากมุมมองนางแล้ว แม้ว่าเจินอวี๋จะเป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์และความประพฤติเพรียบพร้อม อีกทั้งยังเป็นศิษย์นอกสำนักของลัทธิขงจื้อ ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของนางมักจะรู้สึกตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย ตั้งแต่ที่เห็นชูหลี่จี๋ครั้งแรก ซ่งชูอีก็ถูกดึงดูดด้วยหน้าตาหล่อเหลาของเขาก่อน จากนั้นก็ชื่นชมความสามารถของเขา ภายใต้มิตรภาพที่ลึกซึ้ง รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือบุคลิกของเขาล้วนน่าหลงใหลและรู้สึกพึงพอใจที่ได้เป็นคนใกล้ชิด
การที่ซ่งชูอีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับจางอี๋ นอกเหนือจากรสนิยมที่เหมือนกันแล้ว ย่อมมีแผนการบางอย่างอยู่ในนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่ากับชูหลี่จี๋นั้นมีมิตรภาพที่จริงใจตั้งแต่เริ่มต้น แม้นไม่ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องทว่าครั้นพูดคุยกันแล้วพวกเขากลับมีความสนิทสนมมากกว่าจางอี๋เสียอีก ในความคิดของนาง พี่ใหญ่ของนางผู้นี้คู่ควรกับผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกเท่านั้น
“น้องสาวเจินมีสิ่งใดที่ทำให้พี่ใหญ่ต้องการสู่ขอ?” ซ่งชูอีเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
ชูหลี่จี๋ครุ่นคิด “รู้สึกว่าทุกๆ ด้านก็ไม่เลว ที่สำคัญก็คือพี่ใหญ่ก็ควรจะแต่งภรรยาเข้าบ้านได้แล้ว”
“นี่มันวาจาอะไรกัน!” ซ่งชูอีทนดูไม่ได้ อีกทั้งยังอดที่จะกลอกตามิได้ “ท่านไม่เลือกภรรยา ทว่าข้าต้องการเลือกพี่สะใภ้นี่นา!”
.ชูหลี่จี๋มิใช่คนฉาบฉวย ทั้งวาจาและการกระทำต้องผ่านความคิดมาก่อน แม้ซ่งชูอีจะกล่าวเช่นนี้ทว่าในใจก็ยังเคารพการตัดสินใจของเขา หากเขาชอบพอเจินอวี๋จริง นางก็จะไม่ห้ามปรามอีก ถึงอย่างไรเสียก็เป็นเขาที่แต่งภรรยา นางไม่ใช่คนแต่งภรรยาเสียหน่อย
“ไม่เหมาะจริงหรือ?” ชูหลี่จี๋ถามกลับเพื่อขอความเห็นของนาง
ซ่งชูอีกล่าวอย่างจนปัญญา “เรื่องแบบนี้ข้าจะบอกอย่างชัดเจนได้ที่ไหนกัน ขอเพียงท่านรู้สึกดีก็พอแล้ว ตามความเห็นข้า ผู้หญิงในโลกใบนี้ที่คู่ควรกับพี่ใหญ่มีน้อยเหลือเกิน”
“ฮ่า หากให้เจ้าเลือกภรรยาให้ข้า ต่อไปข้าจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นแน่!” ชูหลี่จี๋เย้าเล่น จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ที่จริงข้าเคยแต่งภรรยาคนหนึ่ง นางอ่อนกว่าข้าห้าปี พวกเรานับได้ว่าเป็นคู่รักตั้งแต่วัยเด็ก เพียงแต่นางจากไปก่อนที่จะถึงวัยจี๋จี หลังจากที่ข้ากลับมาจากสำนักของอาจารย์ ก็ไปรับกระดูกของนางด้วยพิธีแต่งงานเพื่อฝังในสุสานบรรพบุรุษ ข้าหวังแค่จะมีชีวิตอยู่และไม่นอนกับคนตาย ฉะนั้นบัดนี้ไม่ว่าข้าจะแต่งกับแม่นางคนใด ข้าก็จะรู้สึกผิดในใจ หากได้แต่งกับแม่นางเจินก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตที่เหลือและปฏิบัติต่อนางอย่างดี ข้าคิดเช่นนี้ หวยจินคงไม่โทษข้ากระมัง?”
ชูหลี่จี๋เองก็ไร้หนทาง มันเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลจะปล่อยให้ผู้ชายแท้ๆ เช่นเขาไร้ทายาท ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องแต่งงานอีกครั้ง สู้เลือกคนที่ถูกใจไม่ดีกว่าหรือ เจินอวี๋มาจากตระกูลพ่อค้า ต่อให้นางจะไม่สามารถถูกฝังอยู่ในสุสานบรรพบุรุษสกุลอิ๋งได้หลังจากตายไปแล้ว การอนุญาตให้ฝังทรัพย์สินพร้อมกับนาง แท้จริงแล้วก็ไม่นับว่าเป็นการทำผิดต่อนางนัก
ซ่งชูอีไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ยกมือขึ้นตบๆ ไหล่ของเขา มิได้กล่าวคำปลอบโยนใด เพียงแต่เอ่ยว่า “หากพี่ใหญ่มีความตั้งใจจริง ข้าก็จะหาเวลาถามนาง ทว่าเจินอวี๋นับว่าเป็นศิษย์สำนักขงจื้อ เกรงว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”
ชูหลี่จี๋ไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ เขาทอดถอนใจเอ่ย “เพราะข้าวู่วามเกินไป ในเมื่อมาจากสำนักขงจื้อ ข้าจะดูถูกนางเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
ครั้นเด็กสาวเข้าเรียนรู้ในสำนักใหญ่ ก็ไม่สามารถวัดสถานะและตำแหน่งจากชาติกำเนิดธรรมดาได้แล้ว ในปัจจุบันแต่ละสำนักรับศิษย์ที่เป็นผู้หญิงน้อยมาก โดยเฉพาะสำนักขงจื้อ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าเคยรับศิษย์ผู้หญิงเข้าสำนักอย่างเป็นทางการเลยสักคน ดังนั้นต่อให้เป็นศิษย์นอกสำนักก็ได้ความเคารพแล้ว
……
บนทางเดินหลังพุ่มไม้ สาวใช้ของเจินอวี๋หอบแผ่นไผ่ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
เจินอวี๋กำลังชมดอกไม้อยู่บนเฉลียง ครั้นเห็นท่าทางตื่นตระหนกของนางก็อดที่จะถามมิได้ “อาเหอ เกิดอะไรขึ้น?”
“เจียวเจียว…” อาเหอกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เมื่อครู่ตอนที่บ่าวไปคืนหนังสือเห็นองค์ชายจี๋มา จึงคิดว่ารออีกประเดี๋ยวค่อยไป ใครจะรู้ว่าได้ยินองค์ชายจี๋บอกว่าต้องการสู่ขอเจียวเจียว”
เจินอวี๋สีหน้าแดงระเรื่อ ทว่าครั้นเห็นสีหน้าไม่พอใจของอาเหอ ในใจก็รู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจึงฟังต่อเงียบๆ
เป็นไปตามคาด อาเหอเอ่ยด้วยความโมโห “ใครจะไปรู้ว่าท่านซ่งกลับพูดว่าเจียวเจียวไม่คู่ควรองค์ชายจี๋ โน้มน้าวไม่ให้เขาสู่ขอเจียวเจียว!”
ในความเห็นของอาเหอ จะเข้าหรือไม่เข้าสุสานบรรพบุรุษมีความเกี่ยวข้องอะไรเล่า? จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกว่าเจียวเจียวบ้านนางสามารถแต่งให้กับองค์ชายจี๋ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีอะไรผิด! อย่าว่าแต่เป็นฮูหยินใหญ่เลย ต่อให้เป็นฮูหยินรองก็ดีมากแล้ว! นางได้ยินมาว่าองค์ชายจี๋ได้เป็นซ่างต้าฟูตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ ทำประโยชน์ให้กับฉินกงเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งยังเป็นองค์ชายแห่งรัฐ เจียวเจียวไม่มีพี่สาวน้องสาว และอาเหอเองก็มาจากตระกูลที่ดี พวกอนุภรรยาข้างนอกที่ซื้อมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวจะสู้คนที่มีหัวนอนปลายเท้าได้เยี่ยงไร? หากเจียวเจียวได้เป็นฮูหยินใหญ่ขององค์ชายจี๋แล้วล่ะก็ตนก็จะต้องได้เป็นอนุภรรยาอย่างแน่นอน!
อาเหอคิดเช่นนี้ พฤติกรรมของซ่งชูอีขัดขวางอนาคตของนางอย่างไม่ต้องสงสัย
เจินอวี๋สีหน้าซีดขาว หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ บัดนี้กลับเหมือนถูกบีบกะทันหันจนหายใจไม่ออก
อาจารย์ของนางมิใช่ชาวขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่ นางก็มาจากตระกูลพ่อค้าจึงมิได้คาดหวังมากเกินไปอยู่แล้ว ทว่าครั้นได้ยินว่าซ่งชูอีบอกว่าตนไม่คู่ควรกับองค์ชายจี๋ก็เหมือนถูกตีเข้าที่ท้ายทอย “เขายังบอกว่าเห็นข้าเป็นน้องสาว…คิดไม่ถึงว่าจะพูดลับหลังข้าเยี่ยงนี้! คนต่ำต้อย! คุณชายจอมปลอม!”
อาเหอเห็นเช่นนี้ก็ถือโอกาสพูด “เจียวเจียว องค์ชายจี๋ก็ดูไม่เหมือนว่าจะหวั่นไหวต่อคำพูดของคนง่ายๆ ในเมื่อหัวใจของเขามีท่าน ก็หาโอกาสพบปะกับเขาให้มากขึ้นดีหรือไม่?”
“ขอให้ข้าอยู่คนเดียวเงียบๆ” เจินอวี๋ยังคงถูกโจมตีอยู่ จะมีกะใจไปฟังคำแนะนำของอาเหอได้เยี่ยงไร
อาเหอเหลือบมองนาง รู้สึกไม่พอใจ ‘รู้หนังสือจะมีประโยชน์อะไร ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสา ถูกโจมตีเพียงเล็กน้อยก็ทนไม่ได้!’
เจินอวี๋ไม่ได้โง่ อาเหอเป็นคนที่พี่ชายนำกลับมาจากตระกูลดีเด่นเมื่อสองปีก่อน บอกว่าจะเอาไว้ข้างกายเพื่อหุงหาอาหาร ในใจของนางชัดเจนยิ่งว่าเป็นการเตรียมเพื่อนเจ้าสาวให้กับตน ด้วยเหตุนี้วันนี้อาเหอจึงมีปฏิกิริยาใหญ่โตนัก ในใจของนางเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นนางก็มั่นใจว่าหากซ่งชูอีมิได้ห้ามปราม อาเหอก็คงไม่กล้ากล่าวเช่นนี้
นางคิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะชื่นชมบุคคลหนึ่งถึงเพียงนี้ คนที่เป็นผู้กุมชะตาของตระกูลเจิ้นทั้งตระกูล แท้จริงแล้วเป็นคนไร้ยางอายที่เคี้ยวลิ้นอยู่ข้างหลังเขา!
ในลานด้านนอก ซ่งชูอียังคงพูดคุยกับชูหลี่จี๋
เมื่อครู่ไป๋เริ่นกระดิกหูและต้องการลุกขึ้นยืน ซ่งชูอีก็รู้แล้วว่ามีคนแอบฟัง หากไม่ใช่เพราะนางกดห้ามไว้ เกรงว่าไป๋เริ่นก็พุ่งออกไปลากผู้นั้นออกมานานแล้ว เปี่ยนเชวี่ยมิใช่คนที่แอบฟังอยู่มุมกำแพง คนที่อยู่หลังต้นไม้จะเป็นใครนั้นไม่ต้องคิดเลย
“ท่านเจ้าคะ ข้างนอกมีแม่ทัพซือหม่าท่านหนึ่งมาพบท่าน” หนิงยากล่าว
ซือหม่าชั่วยังอยู่ที่ปาสู่ นอกจากคนคนนั้นแล้ว ซ่งชูอีก็ไม่รู้จักแม่ทัพซือหม่าคนอื่นอีก นางลุกขึ้นยืนทันที “พี่ใหญ่ ไปกัน ไปต้อนรับท่านแม่ทัพ!”
“ได้” ชูหลี่จี๋ก็เข้าใจถึง “งานอดิเรก” นี้ของอิ๋งซื่อเป็นอย่างดี ยื่นมือประคองซ่งชูอีเดินลงจากศาลา เดินไปยังหน้าประตูใหญ่
ครั้นมาถึงนอกประตู ชูหลี่จี๋ก็เห็นอิ๋งซื่อในเครื่องแบบทหาร โค้งคำนับก่อน “ฝ่าบาท”
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาเบิกตาโพลง มองท่านแม่ทัพสีหน้าเย็นชาที่กลายเป็นฉินกงเพียงชั่วพริบตาด้วยความประหลาดใจ
“เข้าไปค่อยว่ากัน” อิ๋งซื่อมาครั้งนี้พาเพียงทหารองครักษ์สองนาย เห็นได้ชัดว่ามาเพราะเรื่องส่วนตัว
หนิงยาเปิดประตูใหญ่ด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนก หลบชิดติดกำแพง อดที่จะเหลือบมองท้ายทอยของอิ๋งซื่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นมิได้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นองค์จวินเชียว! แม้นจะมิได้มีธงหรืออาวุธในพระราชพิธีตามตำนาน ทว่าดูแล้วก็ยังคงเกรียงไกรเป็นอย่างยิ่ง นางทนไม่ไหวจนอยากจะหมอบกราบ ช่างน่าเกรงขามจริงๆ!