ตอนที่88 ตำนาน

ฟางนี่ไม่พูดไม่จา แต่พอทุกคนต่างก่อปัญหาให้มากเข้า เธอจึงเรียกจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องทำงานของเธอ

“จ้าวเฉียน นาย…นายไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม? แค่โทรไปคุยแบบนั้นก็สามารถทำให้บริษัทผ่านพ้นวิกฤตได้แล้ว?”

“ประธานฟางเองก็ไม่เชื่อด้วยเหรอครับ งั้นเรามาเดิมพันกันหน่อยไหม?”

“ฮ่าฮ่า…ฉันไม่เล่นเดิมพันเหมือนคนอื่นหรอก แค่ถามเฉยๆ น่ะ”

“ก็ที่ประธานฟางถามผมแบบนี้ ก็แสดงว่าไม่เชื่อใจผม เอาแบบนี้เป็นไง มาเดิมพันกันหน่อยดีกว่าครับ ถ้าผมชนะ คุณต้องจูบผม แต่ถ้าแพ้ คุณขออะไรก็ได้ตามที่ต้องการเลย”

ฟางนี่จงใจหมุ่นคิ้วใส่ดุจ้าวเฉียนไปคำหนึ่งว่า

“ฉันแต่งงานแล้ว อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้! ถ้าจางหยางได้ยินเข้าจะเข้าใจผิดกันนะ!”

จ้าวเฉียนเอนหลังพิงเก้าอี้พลางกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“ประธานฟางนี่น่าเบื่อจริงๆ นะครับ หวังเฉียงกับสามีคุณยังกล้าเดิมพันกับผมเลย แต่คุณกลับไม่กล้าซะงั้น”

ฟางนี่ก้มหน้าก้มตาลงเจือท่าทีเขินอาย แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็ตัดสินใจโค้งตัวลงทันทีและประกบริมฝีปาก จูบจ้าวเฉียนที่กำลังเอนหลังพิงเก้าอี้ทั้งแบบนั้น

จ้าวเฉียนแค่อยากแกล้งเธอเฉยๆ เท่านั้น แต่เขาไม่คิดจะจูบกับอีกฝ่ายจริงๆ ไม่ว่ายังไง ฟางนี่ก็มีสามีแล้ว และจ้าวเฉียนเองก็ไม่สนใจผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเช่นกัน

“ประธานฟาง! คุณทำอะไรของคุณ?! ผมแค่ล้อเล่นเฉยๆ! ไม่คิดว่าประธานฟางจะจูบผมจริงๆ!! เอ่อ…มาจู่โจมกันแบบนี้ ผมเองก็ลำบากใจนะครับ…”

“อ้าว! อีตาบ้า!”

ฟางนี่ขวยเขินจนแก้มแดงก้ำในทันใด ขณะเดียวกันนั้นเอง จางหยางก็พุ่งเข้าไปในห้องทำงานของฟางนี่โดยไม่ได้เคาะประตูแต่อย่างใด เนื่องจากกังวลว่า จ้าวเฉียนกับฟางนี่จะทำอะไรบางอย่างลับหลังเขา ดังนั้นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะบุกเข้าไปทันที

พอฟางนี่เห็นสามีของเธอบุกเข้ามาโดยตรง เธอก็ตื่นตระหนกหนัก จนกวาดมือไปปัดแก้วบนโต๊ะจนร่วงแตกไป ปฏิกิริยาของเธอดูไม่เหมือนปกติเป็นอย่างมาก เมื่อสังเกตเห็นแก้มทั้งสองข้างที่แดงก่ำ จางหยางก็สังหรณ์ใจได้ในทันที ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

จางหยางเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นสะท้านขึ้นว่า

“พวกแกสองคนทำอะไรกัน?”

จ้าวเฉียนไม่ได้ปริปากกล่าวใดๆ แต่เป็นฟางนี่ที่รีบอธิบายกลับไปทันทีว่า

“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่คุยเรื่องแผนการพัฒนาบริษัทในอนาคต”

“เหอะ เหอะ จริงเหรอ? ถ้าคุยเรื่องบริษัทจริงทำไมถึงไม่ออกมาคุยด้วยกันล่ะ? ฉันเองก็เป็นผู้จัดการนะ หรือ…คุยกันเรื่องอื่น?”

“ที่รักอย่าเข้าใจผิดสิ ฉันคุยกับจ้าวเฉียนเฉยๆ มีอะไรเดี๋ยวบอกคุณทีหลังแน่นอน”

จ้าวเฉียนขี้เกียจฟังทั้งคู่ทะเลาะกัน จึงลุกขึ้นและเดินออกไปโดยทันที ทว่าจางหยางกลับคว้าคอเสื้อเขาไว้อย่างแรงและเค้นเสียงต่ำเอ่ยถามด้วยความโกรธว่า

“มึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้! มึงทำอะไรกับฟางนี่!”

“ทำอะไรเหรอครับ? ผู้จัดการจางคิดว่าผมกับฟางนี่มีความสัมพันธ์ต้องห้ามอะไรแบบนั้นเหรอ? แล้วถ้าใช่…จะทำไมเหรอครับ? ก็แค่แบ่งกันใช้…ติดตรงไหนรึเปล่าครับ?”

“มึง! อย่าอยู่เลย!”

แทบจะในทันทีทันใด จางหยางก็ยกกำปั้นกระชับแน่นชกใส่จ้าวเฉียน แต่เสี้ยวจังหวะนั้นเอง ฟางนี่รีบวิ่งไปผลักร่างของเขาจนกระเด็นออกไป

“จางหยาง! หัดเชื่อใจกันบ้าง! ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันเลย! พวกเราบริสุทธิ์ ต้องให้อธิบายอีกสักกี่ครั้งกันถึงจะเชื่อ? เลิกเอาแต่ใจเมื่อเด็กได้แล้ว! ทำไมชอบสร้างปัญหาให้ฉันขนาดนี้?”

จางหยางแสยะยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวตอบไปว่า

“ชอบสร้างปัญหา? ผมนี่นะ? ฮ่าฮ่า…อยู่ดีๆ ผมก็เป็นพวกชอบสร้างปัญหาเฉยเลยเว้ย! ถ้างั้นขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ทำไมจู่ๆ คุณถึงหน้าแดง ร้อนตัวจนปัดแก้วบนโต๊ะแตกโดยไม่มีเหตุผล?”

.” แล้วการที่ฉันหน้าแดง มันหมายความได้ว่าฉันต้องมีอะไรกับเขาเท่านั้นรึไง?”

“เธอรู้อยู่แก่ใจ!”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!”

ในจังหวะนั้นเอง จ้าวเฉียนเอ่ยเสียงขึ้นแทรกทั้งคู่ที่กำลังทะเลาะกันทันที กล่าวว่า

“พวกคุณสองคนทะเลาะกันไปเถอะ แต่อย่าเข้าใจผมผิดก็พอ แล้วผมเองก็ไม่อยากมายืนฟังด้วย โชคดี”

จางหยางยังคงไม่ต้องการให้จ้าวเฉียนออกไปไหนทั้งนั้น แต่ขณะที่กำลังจะพุ่งตัวออกไปกระชากแขนจ้าวเฉียน ฟางนี่ก็รีบวิ่งเข้ามากอดเขาและหยุดไม่ให้ใช้ความรุนแรง

“นี่คุณเป็นบ้าอะไรไปแล้ว! ที่นี่คือบริษัทนะ! อยากให้พนักงานมองเราเป็นตัวตลกรึไง? ก่อนจะใส่ความใครควรหาหลักฐานมา ไม่ใช่พูดจาล้มๆ แห้งๆ ออกมาแบบนี้ ฉันถามจริงๆ เถอะ นายรักฉันรึเปล่า? ฉันรอคุณมากว่าสิบปี มันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม?”

“เธอรู้จักผิดชอบชั่วดี ดังนั้นควรรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป พูดมาซะ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมันคืออะไร?!”

สัญชาตญาณของจางหยางกล่าวได้ว่าแม่นยำอย่างยิ่ง เขายังคงปักใจเชื่อว่า ฟางนี่จะต้องทำอะไรบางอย่างกับจ้าวเฉียนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่หน้าแดงแบบนี้

ฟางนี่เองก็อยากบอกไปตามตรงว่า เธอแค่ต้องการจูบตอบแทนจ้าวเฉียนเท่านั้น แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทว่าอย่างไร ภายใต้สถานะปัจจุบันระหว่างจางหยางกับเธอ การพูดแบบนี้ออกไปมันไม่ต่างอะไรจาก ‘รนหาที่ตาย’ และกลายมาเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน

“ความสัมพันธ์อะไรล่ะ? ฉันแค่คุยกับเขาเกี่ยวกับแผนการจัดการบริษัทในอนาคต มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่เราจะต้องมีปากเสียงกัน นั้นแหละคือสาเหตุที่ทำให้ฉันหน้าแดง ฉันแค่เถียงกับเขา! นี่เราทะเลาะกันในเรื่องไร้สาระขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?”

จางหยางได้ฟังเธอชี้แจงไปแบบนั้นก็พูดไม่ออก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยักปักใจเชื่อว่า จ้าวเฉียนกับฟางนี่จะต้องมีอะไรกันในกอไผ่แน่นอน แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวกันแน่นอน

จางหยางไม่ปริปากกล่าวอันใดตอบ เขาทำได้เพียงหันหลังกลับออกไป เขาคิดกับตัวเองไว้แล้วว่า ถ้าซิงหยวนไม่ยอมส่งคนมาเจรจากลับมาร่วมมือ เขาไม่ปล่อยให้จ้าวเฉียนได้อยู่สุขแน่นอน

ฟางนี่ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ยามนี้เธอเริ่มนึกเสียใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อยที่ตัดสินใจแต่งงานกับจางหยาง

จ้าวเฉียนเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนค้นพบว่าจางหยางกำลังเช็ดถูกโต๊ะของเขาจนสะอาดเอี่ยม

“ผู้จัดการจาง ขอบคุณครับ”

เห็นจ้าวเฉียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จางหยางกลอกตาเล็กน้อยด้วยความโกรธจัด ขณะเช็ดโต๊ะเสร็จสรรพ เขาก็กำลังจะเดินจากไปพร้อมกับกะละมัง

ระหว่างนั้นเอง จ้าวเฉียนก็รีบหยุดเขาและกล่าวต่อว่า

“อย่าเพิ่งไปครับ เก้าอี้ยังไม่ได้เช็ดเลย กลับไปเปลี่ยนน้ำแล้วมาทำต่อนะครับ”

จางหางเหลือบมองจ้าวเฉียนตาขวางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องสุขาเพื่อเปลี่ยนน้ำ และกลับมาเช็ดเก้าอี้ตามคำขอของจ้าวเฉียน

“จ้าวเฉียน ฉันไปได้รึยัง?”

“ยังครับ!”

“นายยังอยากให้ฉันทำอะไรอีก?”

“เห็นคราบน้ำบนพื้นไหม? ไปเอาไม้ถูมาขัดให้สะอาด”

จางหยางโมโหจัดจนควันแทบออกจมูก เขาเอาไม้ถูกพื้นมาและถูไม่หยุด

“มีอะไรอีกไหม?”

“ไม่มีแล้วครับ แค่ครั้งต่อไปก่อนจะเดิมพันอะไร หวังว่าคุณจะคิดให้ดีก่อนนะครับ”

“หึหึ…อย่าเพิ่งดีใจไป ถ้าซิงหยวนไม่กลับมาให้ความร่วมมือ แกเตรียมหมดตัวแน่!”

“หุหุ…อยากจะหมดตัวแล้วสิ กลับไปทำงานต่อเถอะครับ”

“ฉันจะคอยดู!”

จากนั้นจางหยางก็เดินจากไปพร้อมกับไม้ถูพื้นในมือ

จ้าวเฉียนนั่งลงอย่างสบายใจพร้อมรอยยิ้มไร้กังวล

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนยังคงเฝ้ารอคอยซิงหยวนโทรหรือส่งคนมา แต่ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเลิกงานเต็มแก่ ทว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงา

จางหยางแทบรอเอาคืนจ้าวเฉียนไม่ไหวแล้ว เขาจึงเดินไปหาเรื่องจ้าวเฉียนถึงโต๊ะทำงานและถามว่า

“จ้าวเฉียน ไม่ใช่ว่านายบอกเองเหรอว่า ซิงหยวนจะโทรหรือส่งคนมา นี่มันจะเลิกงานแล้ว ทำไมยังไม่มีใครมาอีก?”

เมื่อเห็นจางหยางเปิดฉากโจมตีจ้าวเฉียน เจวียงหยวนที่เห็นแบบนั้นก็รีบซ้ำต่อทันทีว่า

“จ้าวเฉียน ถ้าแกกล้าหลอกทุกคน วันนี้ไม่รอดแน่!”

จ้าวเฉียนยังคงนอนพิงเก้าอี้อย่างสบายใจเฉิบ ท่าทีไม่มีร้อนรนใดๆ กล่าวตอบทั้งรอยยิ้มว่า

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ แต่จะว่าไป…รุมด่าผมไม่ครบคนแบบนี้ มันรู้สึกแปลกๆ นะ? หวังเฉียงอยู่ไหนซะล่ะ?”

ทันทีท่าสิ้นเสียงจ้าวเฉียน หวังเฉียงก็เดินออกมาจากห้องทำงานราวกับรู้คิวตัวเอง เมื่อเห็นจางหยางและคนอื่นๆ กำลังยืนล้อมจ้าวเฉียน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า โอกาสของตนมาถึงแล้ว!

“จ้าวเฉียน ว่ายังไง? นี่ทุกคนจะเลิกงานกลับกันแล้วนะ ไหนล่ะคนของซิงหยวน แม้แต่โทรศัพท์ยังไม่มีเลย นายหน้าด้านเกินไปแล้ว ถึงกับจ้างคนมาแสดงตบตาทุกคนแบบนี้ คิดว่าพวกเราทุกคนโง่กันนักรึไง?”

จ้าวเฉียนยังคงรวนหัวเราะ เอ่ยตอบไปว่า

“ฉันบอกไปแล้วไงว่า ไม่ต้องกังวล แค่ใกล้จะเลิกงานไม่ได้แปลว่าเลิกงานกันแล้วซะหน่อยจริงไหม?”

จางหยางชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือและตวาดเสียดังว่า

“อีกห้านาทีก็เลิกงานแล้ว! จนปานนี้นายยังเพ้อว่าซิงหยวนจะส่งคนมาหาอีกเหรอ? หรือคิดว่าตัวเองสำคัญขนาดไหน ถึงขนาดที่ต้องเจียดมาหานอกเวลางาน?”

“ขนาดคนใหญ่คนโตของบริษัทอื่นๆ ยังไม่คิดสละเวลานอกงานมาทำธุระแบบนี้ด้วยซ้ำ นายสำคัญตัวเองผิดไปแล้ว!”

หวังเฉียงระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่นและกล่าวขึ้นว่า

“ทุเรศ! เอาล่ะ เหลืออีกห้านาทีสุดท้าบ ถ้าคนของซิงหยวนยังไม่มี เตรียมควักกระเป๋าจ่ายเงินหลักล้านได้เลยในคืนนี้! ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม! คืนนี้เตรียมฉลองที่โรงแรมตงไห่!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่มีปัญหา ฉันชอบเวลาแบบนี้ที่สุด นี่จะกลายเป็นตำนาน! รอผู้จัดการหวัง เตรียมตัวกลับไปแผนกทำความสะอาดได้เลยหนึ่งเดือนเต็ม!”