ตอนที่ 247 เซียนนภานพเก้า

แม่ครัวยอดเซียน

“เป็นอย่างไรบ้าง นังหนู ตะลึงไปเลยใช่ไหมล่ะ เป็นสถานที่ที่มีพลังเซียนบริสุทธิ์ที่หนาแน่นต่างกันสองชนิด” หลงเฟยหยางแนะนำอย่างภาคภูมิใจ

“จะมอบสถานที่แห่งนี้ให้ข้าหรือ” หลิวหลียังคงทำหน้าประหลาด

“ใช่ เหมาะกับเจ้ามาก” เหมือนหงเฟยหยางไม่รับรู้สีหน้าประหลาดของหลิวหลี

“เหมาะกับข้าจริงๆ ข้านึกมาตลอดว่าข้าเป็นคนค้นพบเอง” หลิวหลีทอดถอนใจ ในขณะที่มองภาพเพลิงเหมันต์ที่แตกต่างกัน ที่นี่ก็คือบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยาง

“นังหนู เจ้ารู้จักที่นี่แล้วเคยมาด้วยหรือ” ในที่สุดหลงเฟยหยางก็เข้าใจ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

“จะไม่รู้ได้อย่างไร ก็ใกล้ๆกับที่พักที่ปู่ทวดมอบให้ข้าไม่ใช่หรือ ข้าเดินไปเดินมาก็เดินมาถึงที่นี่” หลิวหลีจะสื่อว่าทางที่นางเดินมาใกล้กว่า

ทั้งสามคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน หรือแต่ก่อนพวกเขาเดินอ้อมไปอ้อมมา พวกเขารึ ก็พยายามจะสร้างเรื่องประหลาดใจ ใครจะนึกว่านังหนูรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

“นังหนู พาเราเดินไปทางที่เจ้าเดินมาได้หรือไม่” เอ๋าเฟิงกล่าวถาม

“เจ้าค่ะ”

จนได้เดินตามทางของหลิวหลี ทั้งสามคนก็มีสีหน้าประหลาด

“เคยมีคำบอกเล่าว่ามีเส้นทางที่ง่ายที่สุดในการมาที่นี่ แต่ไม่มีใครเคยค้นพบ ใครจะนึกว่ามันมีอยู่จริงๆ” เอ๋าเฟิงพูดพลางทอดถอนใจ

“ของสิ่งนี้ถูกกำหนดมาเพื่อนังหนูจริงๆ” เฟิ่งซานยังรู้สึกว่าของพวกนี้ถูกเตรียมไว้เพื่อพวกเขาสองคน รอคอยการมาของพวกเขา

“ข้ารึก็นึกว่าพวกเจ้าจะความประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่านังหนูรู้แต่แรกแล้ว” หลงเฟยหยางก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นังหนูคนนี้วาสนาดีจนไม่มีอะไรจะพูด

“ท่านปู่ทวด มีอะไรแปลกไปหรือ?” หลิวหลีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ความไม่ประหลาดใจนี้มันคืออะไรกันนะ

“นังหนู ที่นี่มีสิ่งกีดขวางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทางที่ข้าพาเจ้ามาเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด แต่เส้นทางที่เจ้าเดินมาเป็นทางที่ง่ายที่สุด แถมยังปลอดภัยมากทีเดียว” นี่คงจะเป็นความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับผู้ถูกเลือกสินะ ที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็เป็นแค่คนธรรมดา ได้รับบทเรียนแล้วจริงๆ

“ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ” สีหน้าหลิวหลีบอกพวกเขาสามคนว่า หากท่านไม่บอกข้าก็คงจะไม่รู้ ซึ่งยิ่งทิ่มแทงใจพวกเขา

“เอาล่ะ นังหนู ในเมื่อเจ้ารู้จักที่นี่แล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว ดูดซึมได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ห้ามฝืนล่ะ” หลงเฟยหยางกำชับ

“พวกข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” เอ๋าเฟิงกล่าว จะอยู่รอให้ถูกตอกย้ำต่อหรืออย่างไร

จนปู่ทวดทั้ง 3 คนเดินไป หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าสถานที่ลับที่ตัวเองเป็นคนค้นพบและตั้งชื่อให้ กลับเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าที่สุดในดินแดนอสูรเทพ แค่กๆ แห่งหนึ่ง

“ไท่จี๋ ข้ามีอำนาจตัดสินใจในที่แห่งนี้แล้ว ปู่ทวดบอกแล้วว่าข้าดูดซึมเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ข้า ตัดสินใจได้เอง เจ้าต้องการเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ไม่ต้องเกรงใจ” หลิวหลีพูดอย่างมีความสุข เดี๋ยวนางจะมีเพลิงเซียนผู้ช่วยที่สามารถกลายร่างได้เพิ่มขึ้นแล้ว

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไท่จี๋ออกมาจากร่างของหลิวหลี แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนสีขาวหรือสระเพลิงนั้นดูดพลังหยาง ส่วนสีดำดูดพลังหยิน สระเหมันต์ในตอนนี้มีก้อนกลมๆ สีดำและขาวอยู่ตรงกลาง และหลิวหลีเองก็ไม่อยู่เปล่าๆ นางทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเข้าฌาน ใครจะไปรู้ว่าไท่จี๋จะต้องใช้เวลานานเท่าไร

ณ วังนภาเพลิง จักรพรรดิทอดเนตรมองรางวัลที่จักรพรรดินีให้มาและกำชับว่าต้องการมอบให้หลิวหลี ผู้หญิงคนนั้นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ว่าดูจากของที่ส่งมา จักรพรรดิใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้ว่าต่อไปของพวกนี้จะตกไปอยู่กับใคร เพียงแต่นังหนูคนนั้นไม่ได้ไปพิทักษ์สิทธิ์ของตนเองหรือ ทำไมยังไม่หยุดอีก ยังมีเวลาไปช่วยคนอื่นอีก ที่สำคัญเลยคือจักรพรรดินีบอกเป็นนัยๆ ว่าต้องการจะสั่งซื้อยาศักดิ์สิทธิ์จากวังนภาเพลิงของเขา โดยต้องเป็นยาที่หลิวหลีปรุง นังหนูคนนั้นตั้งแต่กลับบ้านไปก็เงียบหาย ส่วนยาจากเซียนนักปรุงยาคนอื่น จักรพรรดินีก็ปฏิเสธทันที จักรพรรดิอดคิดไม่ได้ว่ายาที่นังหนูปรุงพิเศษขนาดนั้นเชียวหรือ

ด้านบนบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยาง ลูกบอลก้อนกลมสีดำขาวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเหมือนรังไหมสีดำขาว ราวกำลังโอบอุ้มอะไรอยู่ด้านใน และก็เกิดปรากฏการณ์ขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง เอ๋าเฟิงกับหลงเฟยหยางรู้สึกว่ามาจากฝั่งนังหนู นังหนูคนนั้นทำอะไรอีกแล้ว

หลิวหลีเหมือนได้เข้าไปอยู่ในดินแดนแสนประหลาด ดังนั้นไท่จี๋ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นของนาง นางไม่ต้องการแค่เพลิงอัคคี 9 ชนิดเท่านั้น เพลิงหยินหยาง 2 ชนิดนี้ นางก็ต้องการเช่นกัน

เพลิงเซียนหยินหยางก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เจ้านายที่แท้จริงของตัวเองก็คือนังหนูที่ถูกพี่ใหญ่บังคับให้รับตัวเองเอาไว้ มิน่าล่ะมันถึงรู้สึกเข้ากับหลิวหลีได้เป็นอย่างดี ถึงตัวเองจะบรรลุขั้นได้สำเร็จ ก็จะวนเวียนอยู่ภายในร่างกายของนังหนู ไม่ได้เป็นเส้นชีพจร แต่จะขาดมันก็ไม่ได้

ที่แท้ตัวเองมีหน้าที่เช่นนี้นี่เอง ดีจริงๆ มันไม่ใช่ส่วนเกิน

และเพราะความรู้แจ้งนี้ ทำให้ทั้งคนทั้งไฟหลอมรวมเข้าหากันได้แนบแน่นมากขึ้น สุดท้ายบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางก็ถูกเพลิงเหยินหยางดูดซึมจนหมดเกลี้ยง เกินกว่าที่หลงเฟยหยางคาดคะเนไว้ รังไหมสีดำขาวขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นก้อนกลมสีดำขาว พุ่งเข้าไปข้างในตัวของหลิวหลี พลังเซียนภายในร่างกายนางเกิดความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง สัญลักษณ์สีทองบนหน้าผากเหมือนจะหลุดออกมา สีเข้มจนน่ากลัว

ในขณะที่หนานกงเวิ่นเทียนกำลังเข้าฌานอยู่ อยู่ๆก็สัมผัสได้ว่า นังหนูบรรลุขั้นอีกแล้ว ประโยชน์ของการบำเพ็ญร่วมคือ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบรรลุขั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรับรู้ได้ แต่ดูเหมือนนังหนูจะต้องการความช่วยเหลือ

พลังเซียนในร่างกายของหลิวหลีมีมากเกินไป จนนางไม่สามารถขจัดออกไปได้ จึงจำเป็นต้องรีบหาทางระบายออก หนานกงเวิ่นเทียนออกมาก็เห็นใบหน้าหลิวหลีแดงก่ำ เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ราวกำลังแบกรับอะไรไว้

หลิวหลีรู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองนางอยู่ หลิวหลีลืมตาขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำเช่นกัน

“ท่านพี่ ข้าทรมาน” หลิวหลีพูดออกมาอย่างยากลำบาก

หนานกงเวิ่นเทียนจับมือหลิวหลี โอบนางไว้ในอ้อมแขน ครั้งนี้หนานกงเวิ่นเทียนก็เกือบจะรับมือไม่ไหว ทำไมถึงมีพลังเซียนที่แรงกล้าเช่นนี้ นังหนูไปทำอะไรมาอีกแล้ว สัญลักษณ์สีทองบนหน้าผากของทั้งสองคนเข้มจนเหมือนจะทะลุออกมา ทันใดนั้นในแสงสีทองก็เหมือนมีประกายแสงสีเขียวหยกออกมา ตอนแรกแค่เป็นจุดๆเท่านั้นแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และขยายขอบเขตไปเรื่อยๆ จนสัญลักษณ์บนหน้าผากกลายเป็นสีหยก และทั้ง 2 คนได้ประกาศให้คนทั้งโลกได้รู้ว่าเซียนนภานพเก้าที่อายุน้อยที่สุดได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

ระยะเวลาผ่านไปสักพัก ทั้งสองคนตื่นขึ้นจากฌาณและรู้แจ้ง

“นังหนู ครั้งนี้เจ้าวู่วามเกินไป” หนานกงเวิ่นเทียนตำหนิน้อยๆ ถึงแม้เขาจะแบ่งเบามาได้ แต่ร่างกายของนังหนูอยู่ในสภาวะเต็มอิ่ม จำเป็นจะต้องดูดซึมและกลั่นให้ดีๆ

“ใครจะนึกล่ะว่าเพลิงเซียนหยินหยางดูดซึมบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางแล้วจะมีประสิทธิภาพเช่นนี้ ข้าประมาทเกินไป ยังดีที่มีท่านพี่อยู่” หลิวหลีออดอ้อนหนานกงเวิ่นเทียน

“เจ้านี่นะ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอะไร แต่เพราะเขาพึ่งพานังหนู จึงบรรลุเป็นเซียนนภานพเก้าได้พร้อมกับนาง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็อาศัยบารมีนาง

“ท่านพี่ พวกเรามาต่อกันเถอะ ข้ายังรู้สึกทรมานอยู่เลย” ถึงแม้หนานกงเวิ่นเทียนจะช่วยแบ่งเบา แต่ภายในร่างกายของหลิวหลีก็ยังคงเต็มอิ่มจนอึดอัดเป็นเพราะโดนไท่จี๋ทำร้าย พอบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนก็บอกนางว่าต้องทำย่อยพลังเหมือนกัน ตอนนี้เพลิงเซียนเริ่มรู้จักขัดคำสั่งของผู้เป็นนายแล้ว เมื่อหลิวหลีพูดจบก็พยายามกับสามีของนางต่อ

“นังหนู นี่มันก็ต้องพันปีแล้ว ยังไม่ออกมาอีก” หลงเฟยหยางกล่าว

“ใช่ ไม่แน่ว่าออกมาอาจจะเป็นเซียนนภานพเก้าแล้วก็ไดั” เอ๋าเฟิงกล่าว เด็ก 3 คนนั้นใกล้จะเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว เวลาผ่านไปไวจริงๆ

“นั่นก็เกินไปหรือเปล่า ใช่แล้ว นังหนูเสี่ยวเสี่ยวยังโกรธบ้านสกุลหลินอยู่หรือธรณีประตูบ้านสกุลหลงของข้าเกือบจะถูกสกุลหลินเหยียบจนพังไปหมดแล้ว” พันปีมานี้ มีคนจากห้าสกุลใหญ่จำนวนไม่น้อยที่บรรลุเป็นเซียนมาจากโลกเบื้องล่าง รวมไปถึงหลงเสี่ยวเสี่ยวกับฮัวจิงเฟยก็ยังได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพียงเพราะสองคนนี้มีเลือดบริสุทธิ์ของอสูรเทพบรรพกาล และไม่เคยทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง พอบรรลุเป็นเซียนขึ้นมาก็อยู่ในขั้นเซียนอธนการ ขาดอีกแค่เพียงนิดเดียวก็จะเข้าสู่ขั้นเซียนสุขาวดี ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของทั้งสองคนก็อยู่ในขั้นเซียนสุขาวดี ยังมีสองสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพราะนังหนูโม่หลีที่บรรลุเซียนเป็นน้องสาวของหลิวหลี หลงเฟยหยางจึงให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ และเมื่อสุดท้ายพบว่านางไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น จึงรู้สึกผิดหวังน้อยๆ

หยวนเทียนก็บรรลุเป็นเซียนแล้วเช่นกัน เขากลายเป็นคนโปรดคนใหม่ของอสูรเทพ เขาเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่หาได้ยาก ทุกคนจึงห้อมล้อมตามใจหยวนเทียนอย่างถึงที่สุด หยวนชิงมองดูคนเผ่าจิ้งจอกผู้นี้อย่างเหนื่อยหน่าย พวกปู่ทวดแทบจะลืมเขาไปแล้ว

เวลาไม่รู้กี่พันปีก็ผ่านพ้นไป จนที่สุดแล้วร่างกายของหลิวหลีก็เริ่มคงที่ เพิ่งจะออกฌานมาพร้อมกับหนานกงเวิ่นเทียน พวกเขาบำเพ็ญเพียรจนไม่รู้วันรู้คืน ผ่านไปตั้งห้าพันปีแล้ว เป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งแล้ว

“น้องหญิง พวกเรายังเยาว์วัยนัก” หนานกงเวิ่นเทียนบอกกว่าพวกเขายังเป็นวัยหนุ่มสาวกันจริงๆ เมื่อเทียบกับคนในโลกเซียนที่อย่างน้อยๆก็มีอายุหมื่นปี พวกเขายังอายุน้อยมากจริงๆ

“ใช่ พวกเรายังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่ ในที่สุดในร่างกายก็ไม่มีผลข้างเคียงอะไรแล้ว” หลิวหลีทอดถอนใจ

“พวกเราควรจะออกฌานได้แล้ว ไม่รู้ว่าพวกปู่ทวดจะร้อนใจหรือไม่”

“บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางแห้งไปได้อย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนมองบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางที่แห้งสนิทด้วยความประหลาดใจ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้

“แค่กๆ ถูกไท่จี๋ดูดซึมไปหมดแล้ว จากนั้นข้าก็ดูดซึมต่อ” สุดท้ายเพราะปริมาณมากเกินไป ทำให้นางดูดซึมไม่ไหว

“มิน่าเจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้” หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจขึ้นมาทันที ที่นังหนูเก่งขึ้นมาอย่างนั้น ก็มีคำอธิบายแล้ว

“ก็นึกไม่ถึงว่าจะให้เพลิงอัคคีระดับสูงจะบรรลุขั้นนั้นต้องใช้ของมากมายขนาดนั้น” ต้องกลืนกินเพลิงเซียน แล้วยังต้องใช้บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางอีก

“จริงสิ เพลิงนพเก้ามอดนภากับเพลิงดวงใจพสุธาบรรลุขั้นแล้ว เจ้าต้องระวังหน่อย” หนานกงเวิ่นเทียนนึกถึงเพลิงอัคคีที่มีพลังโจมตีของนังหนูอีก 2 ชนิดยังไม่ได้บรรลุขั้น จึงบอกให้หลิวหลีระวังตัวเอาไว้

“ข้ารู้” ในเมื่อมีประสบการณ์มาแล้ว แต่นางจะไม่พลาดอีกแน่นอน

……………….