บทที่ 195.2 หอสยบกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 195.2 หอสยบกระบี่ โดย ProjectZyphon

จำนวนคนที่จะได้รับของขวัญในปีนี้น้อยกว่าคราวก่อนเล็กน้อย บุญคุณก็มีการแบ่งมากน้อยหนักเบา ความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่รุ่นพ่อ เป็นเพียงไมตรีที่ผิวเผิน ไม่อาจนับเป็นพระคุณอะไรได้ เฉินผิงอันไม่ได้ใจกว้างถึงขนาดจะต้องมอบของขวัญให้ทุกคน แต่สำหรับเพื่อนบ้านเก่าแก่ที่มีอายุมากหน่อย ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่สนิทกับพวกเขามากนัก แต่ก็ยังเลือกเขียนชื่อพวกเขาลงไปในรายการของขวัญ

เงินของใครก็ล้วนไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า แต่นี่ไม่เกี่ยวกับว่าในกระเป๋าของคนคนหนึ่งจะมีเงินอยู่กี่มากน้อย

เฉินผิงอันคิดว่าหากวันหน้ามีโอกาสจะยังซ่อมสะพานสร้างถนนด้วย

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตรวจบัญชีเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มถามถึงสภาพการณ์ของร้าน เฉินผิงอันไม่เข้าร่วมด้วย เขาคิดแล้วก็ยื่นรายการของขวัญให้กับนาง บอกนางว่าไม่ต้องรีบร้อนไปซื้อของพวกนี้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรับรายการของขวัญมาอย่างตั้งใจ รับรองว่าจะต้องจัดการให้นายท่านอย่างเหมาะสม เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนางแล้วมานั่งข้างกายเด็กชายชุดเขียว ฝ่ายหลังทอดถอนใจอย่างคนวิตกกังวล พร่ำพูดคำว่ายุทธภพอันตรายไม่หยุด

เด็กหนุ่มหน้าตางดงามนามว่าชุยชื่อสะพายห่อสัมภาระมาที่ร้าน บอกว่าอาจารย์ของเขามีธุระออกจากบ้านมาไม่ได้จึงวานให้เขาเอาของมาส่ง ให้บอกเฉินผิงอันว่าไม่ต้องคิดมาก รับไว้แล้วก็จงเก็บรักษาให้ดี เด็กชายชุดเขียวรู้สึกขัดหูขัดตาเด็กหนุ่มคนนี้ ปรายตาไปเห็นหน้าชุยชื่อที่พูดจาเหมือนคนแก่ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน เขาถลันพรวดลุกขึ้นยืน “อาจารย์ของเจ้ากับนายท่านของข้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน เจ้าเป็นแค่เด็กรับใช้ควรต้องให้ความเคารพกันบ้าง ไม่ใช่ว่านายท่านของข้าได้รับพระคุณยิ่งใหญ่เทียมฟ้าอะไร เจ้าจะวางท่าโอหังไปทำไม?”

ชุยชื่อหน้าแดงก่ำ

เฉินผิงอันรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ชุยชื่อ เจ้าไปบอกอาจารย์ของเจ้าว่า ของข้ารับไว้แล้ว และจะตั้งใจฝึกเขียนยันต์ให้ดี”

ชุยชื่อพยักหน้ารับสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปแค่นเสียงเย็นใส่เด็กชายชุดเขียวแล้วหมุนกายก้าวยาวๆ จากไป

เด็กชายชุดเขียวหันไปออกหมัดเตะต่อยมั่วซั่วใส่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่เดินห่างออกไปไกลถึงจะพอคลายโมโหได้บ้าง แล้วจึงกลับไปนั่งบนธรณีประตู พูดหน้ายับกลัดกลุ้ม “นายท่าน เมืองเล็กเป็นดั่งบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ขนาดนี้ ท่านมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? หากเปลี่ยนมาเป็นข้ากับนังเด็กโง่ เกรงว่าคงถูกคนแล่เนื้อถลกหนังไปนานแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่รู้เหมือนกัน”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเดินมาตรงธรณีประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงของคนที่ยังหวาดผวาไม่คลาย “นายท่าน พี่สาวที่ถือถังน้ำคนนั้นคือใครหรือ? นางน่ากลัวมากเลย ข้ารู้สึกว่านางไม่ด้อยไปกว่าลูกศิษย์ของนายท่านเลย”

เด็กชายชุดเขียวส่ายหัวอย่างแรง “ให้ตายข้าก็ไม่ยอมไปที่ตรอกหนีผิงอีกแล้ว นั่นเท่ากับส่งเนื้อแกะเข้าปากเสื้อชัดๆ!”

เฉินผิงอันเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น “ข้าตั้งชื่อให้กระบี่ไม้ไหวกับกระบี่อีกเล่มที่ช่างหร่วนกำลังหลอมว่ากำจัดปีศาจปราบมาร ดีไหม?”

แล้วเขาก็กดเสียงลงต่ำ “ส่วนตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น ข้าคิดว่าชื่อ ‘ชูอี’ (อันดับแรก/ที่หนึ่ง/วันที่หนึ่งของทุกเดือน) หรือไม่ก็ ‘รุ่งเช้า’ ค่อนข้างเหมาะสมไม่น้อย”

เด็กน้อยสองคนหันมามองหน้ากัน

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ชื่อที่ข้าตั้งพอใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะ?”

มุมปากของเด็กชายชุดเขียวกระตุกยิกๆ จากนั้นก็เค้นรอยยิ้ม ชูนิ้วโป้ง “พื้นฐานความชำนาญในการตั้งชื่อของนายท่านลึกล้ำมาก ลึกล้ำจนมิอาจคาดการณ์ ปลดเปลื้องพันธนาการภายนอกกลับคืนสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง ความเรียบง่ายก็คือความสง่างาม มีความรู้ยิ่งกว่าบัณฑิตซะอีก!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด นางลูบคลำหน้าอกตัวเอง คิดแล้วก็รู้สึกว่าด้วยมโนธรรมในใจ อย่าพูดอะไรเลยจะดีกว่า นี่เพิ่งจะเดือนแรกของปี ไม่ควรทำลายอารมณ์ดีๆ ของนายท่าน

เฉินผิงอันเห็นท่าทางของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแล้วก็ถามอย่างสงสัย “หรือว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่? แต่ก็น่าจะพอถูไถได้บ้างกระมัง?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากแน่น การที่นางไม่พูดก็ผิดต่อมโนธรรมในใจแล้ว หากเปิดปากพูด นางคงข้ามผ่านอุปสรรคในใจด่านนี้ไปไม่ได้

เด็กชายชุดเขียวกล่าวเสียงขุ่น “อะไรกันนายท่าน ไม่เชื่อสายตาของข้าหรือ? ถ้าไม่เชื่อก็แสดงว่าสายตาของท่านไม่ได้เรื่อง!”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “แล้วชื่อที่ตั้งไว้เป็นยังไง?”

เด็กชายชุดเขียวที่เพิ่งโวยวายจบ ในที่สุดก็อดพูดเพื่อความเป็นธรรมไม่ได้ เขาลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอว กล่าวอย่างใส่อารมณ์ “นายท่าน! กำจัดปีศาจปราบมาร มีนักพรตเต๋าที่ชอบต้มตุ๋นคนไหนบ้างไม่ท่องประโยคนี้? ‘รุ่งเช้า’? แล้วตอนกลางวัน ตอนเย็นล่ะ? ชูอี? วันแรกของเดือน? แล้ววันที่สิบวันที่สิบห้าของเดือนล่ะ?! นายท่าน สามชื่อนี้ล้วนเป็นชื่อที่คนใช้กันให้เกร่อ ไม่เพียงแต่ไม่มีพลังอำนาจ แถมยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์สักนิดเลยด้วย! ดูอย่างชื่อกระบี่ของคนอื่นสิ อย่างเช่นกระบี่ของลูกศิษย์นายท่าน รวงทอง ทั้งเหมาะสมกับรูปลักษณ์ ทั้งไม่ดาษดื่น และยังมีของเฉาจวิ้นที่ชื่อปลาขาว โม่ชือ (ชือคือมังกรไม่มีเขาในเทพนิยายของจีน โม่ชื่อคือชือสีหมึก ชือดำ) แล้วมาดูของนายท่าน กำจัดปีศาจปราบมาร ชูอีรุ่งเช้าอะไรนั่น หากข้าเป็นวิญญาณกระบี่ที่มีสติปัญญาแล้วคงต้องกระอักเลือดเก่าออกมาแน่ๆ”

“ยอมรับในความเห็น”

เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญอยู่นาน “แต่ข้าไม่เปลี่ยนชื่อหรอก!”

เด็กชายชุดเขียวตบหน้าผากตัวเอง พูดจู้จี้ด้วยความหวังดี “ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเรามีตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงขจรไกล แต่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขากลับตั้งชื่อให้ว่าหมัดเทพไร้เทียมทาน ถูกคนหัวเราะเยาะอยู่หลายปี นายท่าน การตั้งชื่อของท่านก็คล้ายคลึงกับพวกเขา แต่ยังดีที่นายท่านไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ คาดว่าในอนาคตชื่อของกระบี่ที่ท่านพกคงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเอาที่นายท่านสบายใจก็พอ”

เฉินผิงอันจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หัวใจพลันสั่นสะท้าน จึงลุกขึ้นยืนอย่างไม่กระโตกกระตาก “พวกเจ้ารออยู่ที่ตรอกฉีหลงก่อน ข้าจะไปเดินเล่นที่อื่นสักหน่อย”

เฉินผิงอันเดินมาที่เรือนด้านหลังร้านตระกูลหยาง

หยางเหล่าโถวรอให้เฉินผิงอันนั่งลงแล้วถึงเอ่ยเนิบช้า “พูดเรื่องเล็กก่อน ไปบอกให้งูหลามตัวน้อยที่ตามก้นเจ้าต้อยๆ สองตัวนั้นรีบออกจากเมืองเล็ก กลับไปยังภูเขาลั่วพั่วซะ อีกไม่นานหร่วนฉงจะเปิดเตาหลอมกระบี่ พลังอำนาจจะกระจายไปไกลมาก ภูตผีปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนอาจต้องโดนลูกหลงไปด้วย เบาหน่อยก็ถูกเสียงตีเหล็กยามหลอมกระบี่สลายตบะที่สั่งสมมาร้อยปี หรืออาจถึงขั้นกลับคืนสู่รางเดิม จิตวิญญาณแหลกสลายไปโดยตรง หลังจากนี้เขตปกครองหลงเฉวียนและอำเภอไหวหวงจะป่าวประกาศแก่ปีศาจทั้งหมดที่ลงทะเบียนไว้ หากไม่ออกไปจากที่นี่ชั่วคราวก็ต้องไปหลบภัยอยู่ในศาลบุ๋นบู๊ หรือไม่ก็ในภูเขาใหญ่ เพราะสถานที่เหล่านี้มีทั้งลมและน้ำ ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สามารถช่วยสกัดกั้นริ้วคลื่นจากการหลอมกระบี่ของหร่วนฉงได้ เจ้าเด็กน้อยสองคนนั้นของเจ้า อย่าได้คิดว่ามีป้ายสงบสุขไร้กังวลแล้วจะสงบสุขได้จริงๆ”

สีหน้าของเฉินผิงอันเคร่งเครียด “ได้ ข้าจะกลับไปบอกพวกเขาสองคน”

หยางเหล่าโถวสูบยาคล้ายกำลังใคร่ครวญคำพูดที่จะใช้

เฉินผิงอันนั่งสำรวมอย่างกระวนกระวาย

ในที่สุดหยางเหล่าโถวก็เปิดปาก “ฉีจิ้งชุนเก็บซ่อนคนจิ๋วควันธูปไว้คนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาแต่ก็ไม่เคยได้มาครอบครอง อืม ก็คือเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในกระบี่ไม้ไหวของเจ้านั่นแหละ ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว ค่าตอบแทนก็คือข้าจำเป็นต้องปกป้องเจ้าหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือครั้งนี้ ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองเล็กเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่ควรเปิดเผยโฉมหน้า ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน อีกทั้งข้ายังหาคนมาทำนายชะตาชีวิตให้เจ้า รอให้หร่วนฉงหลอมกระบี่สำเร็จ เจ้าจงลงใต้เดินทางไกล ส่วนจะไปที่ไหนก็ดูที่อารมณ์ของเจ้าแล้วกัน จะเดินทางท่องเที่ยวข้ามน้ำข้ามภูเขา จะเดินในยุทธภพ หรือไปฝึกวิถีวรยุทธ์ที่สมรภูมิรบ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะเลือกอย่างไร สรุปก็คือ ภายในห้าปีนี้ห้ามกลับมา”

เฉินผิงอันอ้าปากค้างน้อยๆ

หยางเหล่าโถวเอ่ยต่อ “บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ภูเขาห้าลูกซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่ว ร้านในตรอกฉีหลง ฯลฯ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะมีแต่จะดียิ่งกว่าตอนที่เจ้าอยู่ดูแลเอง”

ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก

หยางเหล่าโถวคลี่ยิ้ม “ในบรรดาเพื่อนของเจ้ายังมีแม่นางน้อยที่ชื่อหนิงเหยาไม่ใช่หรือ? ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ว่านางมาจากภูเขาห้อยหัว หรือจะพูดให้ถูกก็คือมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ บ้านเกิดของนางอยู่ที่นั่น นางกำลังขาดกระบี่ดีๆ ที่เหมาะมือ หากเจ้ามีความกล้ามากพอก็ไปที่นั่นสักรอบ ช่วยเอากระบี่ไปส่งให้นาง”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วถามว่า “จะให้ข้าไปเมื่อไหร่?”

หยางเหล่าโถวนิ่งคิดไปชั่วครู่ “เก็บสัมภาระไว้ก่อนก็ได้ รอให้หร่วนฉงหลอมกระบี่เล่มนั้นเสร็จ และเจ้าได้มาอยู่ในมือแล้วก็ออกเดินทางทันที”

เฉินผิงอันถาม “หากข้าไม่ไป จะเป็นอย่างไร?”

ผู้เฒ่าพูดแดกดัน “จะเป็นอย่างไร? ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ก็ตายน่ะสิ กว่าจะสะสมทรัพย์สมบัติเล็กๆ น้อยๆ นั่นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายกลับกลายเป็นได้ดีคนอื่น คนกลุ่มหนึ่งนั่งลงพูดคุย เจ้าเอาภูเขาไป ข้าเอาตัวอ่อนกระบี่ เขาเลี้ยงงูหลาม แบ่งสรรกันเสร็จ ทุกคนต่างปิติยินดี ส่วนเจ้าล่ะ เกรงว่าจะให้คนมาเก็บศพให้ก็ยังเป็นเรื่องยาก อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ไอ้ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้ หากข้าบอกเจ้าไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร”

เฉินผิงอันยื่นมือมาขยี้ใบหน้าตัวเองอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็ถามคำถามที่เหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยกันอยู่เลย “ท่านผู้เฒ่าเคยบอกว่า เมืองเล็กนี้ใหญ่อย่างที่ข้าไม่อาจจินตนาการได้ถึง ข้าอยากปากมากถามสักคำว่า สรุปแล้วเมืองเล็กแห่งนี้ใหญ่แค่ไหนกันแน่”

หยางเหล่าโถวพ่นควันโขมง ยิ้มบนหน้าแต่ใจไม่ยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเคยเห็นสะพานยาวบนฟ้าแห่งนั้นมาแล้วกระมัง”?

เฉินผิงอันขนลุกพรึ่บ ทะเลสาบหัวใจกระเพื่อมเป็นระลอก

หยางเหล่าโถวเอ่ยเรียบๆ “เห็นแก่คนจิ๋วควันธูปสีทองตนนั้น ข้าสามารถบอกความลับบางอย่างแก่เจ้าได้ ยกตัวอย่างเช่นในวัดเล็กที่พวกเด็กๆ ในเมืองพากันไปเขียนชื่อไว้บนกำแพงเหมือนถูกผีอำ ตอนนี้เด็กพวกนั้นส่วนใหญ่ตายกันไปแล้ว แต่พวกที่มีชีวิตอยู่ล้วนกลายไปเป็นยอดฝีมือผู้พิชิตในหนึ่งดินแดนอย่างไม่มีข้อยกเว้น อย่างเช่นเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปและเซียนกระบี่เฉาซีแห่งนาตยทวีป ส่วนข้านั้นเป็นคนเก็บค่าเช่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกปี แค่คอยจับตามองผลเก็บเกี่ยวในเทือกไร่นาสวนเหล่านั้นก็พอ”

“หรือยกตัวอย่างเช่นสถานที่ที่พวกเจ้าเรียกกันภาษาชาวบ้านว่าซุ้มก้ามปูแห่งนั้น อันที่จริงแล้วมันถือเป็นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่ง เมื่อศึกสังหารมังกรผ่านพ้น ทุกคนก็นั่งลงตามลำดับ ให้บำเหน็จตามความชอบ ผู้ที่ลงนามสัญญา ณ ที่แห่งนี้แรกเริ่มสุดคืออริยะสี่คนจากสามลัทธิหนึ่งสำนัก หม่าขู่เสวียนมีความเกี่ยวข้องกับท่านหนึ่งในสี่คนนี้ นอกจากนี้คุณประโยชน์ที่แท้จริงของซุ้มป้ายหินนั้นก็ไม่มีใครรู้มานานแล้วว่า มันควรจะถูกเรียกว่าหอสยบกระบี่ คือหนึ่งในหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งในใต้หล้า ส่วนสยบกระบี่อะไรนั้น เจ้ากับข้ารู้กันอยู่แค่ในใจก็พอ แต่เพื่อปิดหูปิดตาผู้คน ที่ทวีปเกราะทองจึงสร้างหอสยบกระบี่ไว้แห่งหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าหอแห่งนั้นจะสร้างเลียนแบบเพื่อตบตาผู้คน อีกทั้งกระบี่ที่มันสยบยังร้ายกาจอย่างมาก แต่จะอย่างไรแล้วก็คือของปลอม ทว่าเรื่องลับแบบนี้ เจ้าแค่ฟังเหมือนฟังเรื่องเล่าก็พอ หากไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเคยได้ยินมาก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”

หยางเหล่าโถวหรี่ตาลง เงยหน้ามองท้องฟ้า “บอกว่าเป็นหอสยบกระบี่ แต่อันที่จริงช่วงแรกเริ่มสุดที่นี่ถือเป็นหอบินทะยานแห่งหนึ่ง ทว่านั่นก็เป็นเรื่องเก่าปีมะโว้แล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”

หยางเหล่าโถวถอนสายตากลับมา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพราะการดำรงอยู่ของเจ้ามีประโยชน์เหมือนการสร้างความสัมพันธ์บางอย่างที่มองไม่เห็น หลายปีมานี้ข้าทำการค้ามาไม่น้อย ได้กำไรก็ไม่น้อยเช่นกัน ปีนั้นที่ถ่ายทอดวิชาการหายใจให้กับเจ้าก็เป็นเพราะข้าได้กำไรจากการค้าขายบางอย่าง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องซาบซึ้งใจ ไม่มีความจำเป็น ธุรกิจก็คือธุรกิจ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีวันใดวันหนึ่งที่ศัตรูของเจ้ามานั่งอยู่ข้างข้า แล้วลงเดิมพันที่มากพอ ข้าเองก็จะพูดคุยกับเขาแล้วขายเจ้าให้เขาเหมือนกัน”

เฉินผิงอันเงียบงัน

เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย

จะอย่างไรซะก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้จะเคยลำบากมามากน้อยแค่ไหน เคยเดินบนทางภูเขาไกลเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ผ่านปีใหม่นี้ไปก็เพิ่งจะอายุสิบห้าเท่านั้น

หยางเหล่าโถวชี้ไปที่ปิ่นเหนือศีรษะของเฉินผิงอัน “แม้ว่าจะเป็นแค่ปิ่นธรรมดา แต่ข้าชอบตัวอักษรที่สลักไว้บนนั้น ดังนั้นข้าจึงจะทำการแลกเปลี่ยนเล็กๆ กับเจ้า เจ้าเอาปิ่นชิ้นนี้มาแลกกับวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งจากข้า ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองก็สามารถควบคุมได้ อาศัยเพียงแค่ข้อนี้ก็ถือว่าหายากกว่าวัตถุฟางชุ่น วัตถุจื่อชื่อส่วนใหญ่บนโลกแล้ว หลังจากนี้เจ้าต้องเดินทางลงใต้เพียงลำพัง เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ก็ถือว่าไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริงแล้ว ถ้าไม่มีของติดกายใดๆ เลย เจ้าก็คงเดินทางไปได้ไม่ไกล”

เฉินผิงอันอ้าปากค้าง

หยางเหล่าโถวรอคำตอบเงียบๆ

เฉินผิงอันถามเบาๆ “หากมีวันหนึ่งข้าคิดจะไถ่ปิ่นกลับคืนมา จะได้หรือไม่?”

หยางเหล่าโถวตอบยิ้มๆ “หากเป็นคนอื่นคงไม่ได้ แต่เจ้าเฉินผิงอันช่วยให้ข้าได้กำไรอยู่หลายครั้ง จึงพอจะฉีกกฎเล็กๆ ได้ครั้งหนึ่ง แต่คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่แค่วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งจะไถ่กลับคืนไปได้หรอกนะ”

เฉินผิงอันปลดหยกส่งมอบให้ผู้เฒ่า

ผู้เฒ่ารับปิ่นขาวเนื้อธรรมดาชิ้นนั้นมาแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้อโดยไม่แม้แต่คิดจะมอง

นาทีถัดมา ไม่รอให้เฉินผิงอันดึงมือกลับไป กลางฝ่ามือของเขาก็มีกระบี่หยกสั้นยาวแค่ชุ่นกว่าปรากฏขึ้นมา หยางเหล่าโถวกล่าวยิ้มๆ “ข้ารู้สึกว่าชื่อที่เจ้าตั้งให้ตัวอ่อนกระบี่นั้นไม่เลวเลย ชูอี เป็นลางที่ดีอย่างมาก เป็นเจ้าเด็กสองคนนั้นที่ไม่รู้ความ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก กระบี่บินขนาดเล็กเล่มนี้ทั้งสามารถหล่อเลี้ยงให้กลายเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ระดับไม่ต่ำ อีกทั้งยังสามารถเอามาใช้เป็นวัตถุฟางชุ่นได้ด้วย มันชื่อว่า ‘สืออู่’ (สิบห้า)

เฉินผิงอันถามเบาๆ “มันคงมีค่ามากเลยใช่ไหม?”

“เจ้าแค่เก็บไว้ก็พอ”

แล้วหยางเหล่าโถวก็กระตุกมุมปาก “มีบ้านไหนเล่าที่ไม่กินเกี๊ยววันปีใหม่” (เป็นประเพณีนิยมของชาวจีนที่ต้องกินเกี๊ยวในวันตรุษจีน เพราะเกี๊ยวมีความหมายมงคล หมายถึงความสุขสมหวัง ความสมบูรณ์พร้อมหน้าพร้อมตา)

 —–