บทที่ 483 รู้สึกผิดต่อเขา + บทที่ 484 สิบปีแห่งการรอคอย

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 483 รู้สึกผิดต่อเขา

ท่านพ่อและท่านแม่ของเหมยรั่วหลินเคยรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่ความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งคู่กลับจบลงแบบนี้ เหตุใดท่านแม่ต้องโดนกระทำเช่นนั้นด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้เหมยรั่วหลินมีความคิดต่อต้านเรื่องนี้มาตลอด นางมักจะคิดว่าความรักที่นางได้รับอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง ดังนั้นความรู้สึกที่นางมีต่ออวี้เฟิงจึงขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอ

“พี่เหมย ข้ารู้ว่าที่ท่านเป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านลุงกับท่านป้า แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่ามันไม่ยุติธรรมกับพี่เขยเลย อีกอย่าง ท่านจะเอาคนอย่างท่านลุงมาเทียบกับพี่เขยได้อย่างไรกัน” ใช่ อวี้เฟิงอาจจะทำตัวบ้าบอไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยนอกใจ หัวใจของเขายึดแน่นอยู่กับเหมยรั่วหลิน แม้จะแต่งงานกับนางมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม

เหมยรั่วหลินมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างเคว้งคว้าง “ข้ารู้ว่าเขาแตกต่างจากท่านพ่อ”

“ถ้าเช่นนั้น ทำไมท่านถึงทำตัวเช่นนั้นกับพี่เขยเล่า พี่เหมย ท่านควรจะเปิดใจยอมรับในตัวของพี่เขยให้มากขึ้น” หนิงเมิ่งเหยาไม่เข้าใจอีกฝ่าย ในเมื่อนางรู้ว่านิสัยของพี่เขยนั้นไม่เหมือนกับท่านพ่อของตน หนำซ้ำเขายังดูแลนางดีมากอีกด้วย แล้วทำไมนางกลับทำกับพี่เขยเล่าเช่นนั้นเล่า เวลาสิบปีที่ผ่านมานี้น่าจะนานพอที่จะพิสูจน์สิ่งต่างๆ ได้แล้วมิใช่หรือ จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็สงสารอวี้เฟิง และรู้สึกว่าเขาไม่สมควรจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

อวี้เฟิงยืนอยู่ตรงประตูด้านนอก ตอนแรกนั้น เขาตั้งใจจะมาชวนเหมยรั่วหลินออกไปกินผลไม้ เพราะมีผลไม้ที่นางชื่นชอบ แต่ตอนที่เดินเข้ามาใกล้ประตู เขาก็บังเอิญได้ยินบทสนทนาของหญิงสาวทั้งสองคน

ราวกับว่าหนิงเมิ่งเหยาจะรู้ตัว นางจึงมองเหมยรั่วหลินและถามอย่างจริงจัง “พี่เหมย ข้าขอถามท่านจริงๆ ว่าท่านรักพี่เขยหรือไม่ หัวใจของท่านรู้สึกอย่างไรกันแน่ หากท่านไม่ได้รักเขา ก็จงบอกเขาให้ชัดเจนและแยกทางกันไปเสีย”

อวี้เฟิงยืนตัวเกร็งอยู่ด้านนอก เขาเม้มปากสนิทพลางกำมือแน่น

ภายในห้องนั้น เหมยรั่วหลินมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อว่านางจะพูดเช่นนั้น “เจ้าบอกให้ข้าทิ้งเขาเช่นนั้นหรือ”

“พี่เหมย ท่านไม่คิดหรือว่าสิ่งที่ท่านทำอยู่ตอนนี้ เป็นการทำร้ายจิตใจของพี่เขย แม้แต่นักโทษประหารยังไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเท่าเขาเลย ท่านไม่แยแสความรู้สึกของพี่เขยมาเป็นเวลาสิบกว่าปี แม้ว่าหัวใจของท่านจะแข็งแกร่งดุจภูผา แต่ตอนนี้ ท่านก็น่าจะใจอ่อนลงได้แล้วมิใช่หรือ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ หญิงสาวจึงพูดต่อ “พี่เขยรู้ว่าท่านไม่ชอบให้มีหญิงสาวมาอยู่ใกล้ๆ เขาจึงสับเปลี่ยนผู้คนรอบข้างเป็นองครักษ์ หรือเป็นชายหนุ่ม ไม่เช่นนั้น ก็จะเปลี่ยนเป็นหญิงชราแทน เวลาอยู่ข้างนอก เขาก็จะวางตัวดี ไม่ให้มีมลทิน และยังไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง รวมถึงรักษาระยะห่างกับหญิงสาวคนอื่นๆ อีกด้วย เขาทำทุกอย่างเพราะเกรงว่าท่านจะไม่สบายใจ นอกจากนี้ ชายชาตรีอย่างเขายอมทำตัวอ้อนแอ้น เพียงเพื่อจะได้รับความสนใจจากท่าน แล้วท่านทำอะไรเพื่อเขาบ้างหรือ”

เหมยรั่วหลินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า พลางคิดถึงสิ่งที่ตนเองกระทำต่ออวี้เฟิงมาตลอดสิบปี มันช่างดูเหมือนว่า…นางใจร้ายเกินไปจริงๆ

“เหยาเอ๋อร์ ข้า…”

“พี่เหมย ข้าเพียงอยากรู้ว่าท่านยังรักพี่เขยอยู่หรือไม่ หากท่านไม่รักเขาแล้ว ก็บอกเขาให้ชัดเจนเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยถามอย่างจริงจัง โดยไม่สนใจใบหน้าอันซีดเผือดของอีกฝ่าย

อวี้เฟิงยืนอยู่ด้านนอก เขากำลังรอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน

เหมยรั่วหลินอ้าปากพะงาบอย่างพูดไม่ออก

“เหยาเอ๋อร์ ข้าไม่อยากจากเขาไปไหน แค่ฟังคำที่เจ้าเอ่ยมาเมื่อครู่นี้ หัวใจของข้าก็เจ็บปวดยิ่งนัก ข้าไม่รู้ว่าข้ารักเขาหรือไม่ แต่ข้ารู้เพียงแค่ว่าข้าอยากอยู่กับเขาเท่านั้น” เหมยรั่วหลินไม่อยากจะหลอกตัวเองอีกต่อไป มันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว และนางก็ไม่ใช่คนไร้หัวใจ แต่ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนที่นางจะพบกับเขา ทำให้เหมยรั่วหลินรู้สึกกดดันและไม่เชื่อมั่นในความรัก

แต่เมื่อนางเห็นความน่ารักของหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างที่อยู่ด้วยกันแล้วนั้น นางก็ตระหนักได้ว่ารักแท้ยังมีอยู่จริง อย่างน้อยๆ อวี้เฟิงก็ดูแลนางอย่างดี และให้อิสระแก่นาง ไม่เคยบังคับฝืนใจนางเลยสักครั้ง

เมื่อนางคิดได้เช่นนั้น ก็รู้สึกว่าตนเองทำให้สามีต้องทุกข์ใจมาตลอด

หนิงเมิ่งเหยามองเหมยรั่วหลิน และรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “พี่เหมย เปิดใจและยอมรับความรักของพี่เขยเถอะ ไม่ว่าคนๆ หนึ่งจะรักใครมากสักแค่ไหน แต่ถ้าหากเขาไม่ได้รับความรักตอบกลับมาเป็นเวลานาน ความรักนั้นก็จะจางหายไปอย่างน่าเศร้า ตอนนี้ พี่เขยเพียงแค่เก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองเอาไว้ จนดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ลึกๆ แล้ว เขาจะต้องรู้สึกเศร้าเสียใจอยู่เป็นแน่”

ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี ยกเว้นเหมยรั่วหลิน นางคิดว่าอวี้เฟิงเป็นคนที่มักจะแสดงสีหน้าออกมา ไม่ว่าเขาจะมีความสุขหรือไม่ก็ตาม

ขณะนั้นเอง อวี้เฟิงที่อยู่ด้านนอกก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นจากไปแล้ว นางจึงขมวดคิ้วมองเหมยรั่วหลิน บางทีตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสม

เหมยรั่วหลินเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว”

บทที่ 484 สิบปีแห่งการรอคอย

อวี้เฟิงเดินออกมาจากบ้านของหนิงเมิ่งเหยาด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขารู้ดีว่าเหมยรั่วหลินนั้นไม่เชื่อมั่นในความรักและรู้ว่านางมีปมในใจ เขาจึงยอมอดทนมาตลอด โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง นางจะรับรู้ได้ว่าเขาเป็นคนดีและยอมรับเขาอย่างเต็มใจ

แต่ตอนนี้ เขารอคอยมากว่าสิบปีแล้ว

ตอนที่อวี้เฟิงรู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาตั้งครรภ์ เขาก็อยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวของตนเองสักที ตอนนั้น เขาพยายามถามเหมยรั่วหลินอีกครั้ง แต่ภรรยากลับเมินเฉยไปพักใหญ่ เขาจึงมิได้พูดถึงเรื่องนี้อีก

เขาเพียงรอคอยอย่างเงียบๆ และเก็บความรู้สึกไว้ในใจ โดยไม่เคยพูดถึงมันเลย

แต่เมื่อเขาได้ยินบทสนทนาของนางกับหนิงเมิ่งเหยาในวันนี้ เขาจึงตระหนักได้ว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย

ทุกวันนี้เขาแสร้งทำตัวตุ้งติ้งและน่ารักเพียงเพราะต้องการความสนใจจากเหมยรั่วหลินอย่างที่หนิงเมิ่งเหยากล่าว แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร นางก็ไม่สนใจเขาเลย หรือแม้ตอนที่พวกเขานอนอยู่บนเตียงเดียวกัน นางก็ยังคงเย็นชาต่อเขาอยู่ดี

อวี้เฟิงไม่ได้คิดจะยอมแพ้ หลังจากที่ไตร่ตรองดู เขาก็รอคอยนางมาหลายปีแล้ว จะรอต่ออีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร

อย่างไรก็ตาม วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า จนเขาเริ่มหมดความอดทน

เมื่ออวี้เฟิงเดินห่างออกมาจากหมู่บ้านไป๋ซานมาเกือบร้อยลี้ เขาก็คำรามออกมา “อ๊าก…”

มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าอวี้เฟิงรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นหน้าลูกชายของเฉียวเทียนช่าง เขาเป็นคนรักเด็กมาก

ตอนที่อวี้เฟิงแต่งงาน เขาฝันว่าในอนาคต จะมีลูกชายสักสองสามคนและลูกสาวหนึ่งคน เพื่อที่ลูกชายทั้งหลายจะได้ปกป้องดูแลลูกสาวของเขา

แต่ผ่านมาสิบปีแล้ว ตอนนี้เด็กสาวที่เขาคอยดูแลประคบประหงมนั้นกลายเป็นแม่คนแล้ว ส่วนเขายังไม่มีลูกอย่างที่ตนเองปรารถนาเลย นอกจากนี้เหมยรั่วหลินยังไม่อยากจะมีลูกอีกด้วย

เขาอาจจะยอมรับความจริงข้อนั้นได้ แต่ว่าทำไมนางถึงต้องใจร้ายกับเขาขนาดนั้นด้วย

อวี้เฟิงยืนอยู่ริมแม่น้ำและมองดูกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ก่อนจะกระโดดลงไป และปล่อยให้น้ำชำระล้างตัวของเขา

หลังจากเหมยรั่วหลินออกมาจากห้องของหนิงเมิ่งเหยา ก็ไม่เห็นอวี้เฟิง ตอนแรกนางคิดว่าเขาคงไปที่โรงงาน จึงมิได้ใส่ใจอะไรนัก ก่อนจะเข้าไปอยู่ในห้องของตัวเอง เพื่อคิดทบทวนคำพูดของหนิงเมิ่งเหยาตามลำพัง

แต่เมื่อตกกลางคืน อวี้เฟิงก็ยังไม่กลับมา เหมยรั่วหลินจึงเริ่มตื่นตระหนก

“เทียนช่าง เจ้าเห็นอวี้เฟิงหรือไม่” เหมยรั่วหลินเอ่ยถามอย่างร้อนรน

เฉียวเทียนช่างมองนางอย่างสงสัย ก่อนเอ่ยตอบ “ช่วงบ่ายวันนี้ ข้าเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าห้องของพวกเราครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็บอกว่าอยากไปเดินเล่นข้างนอก แล้วเขาก็ออกไปเลย”

สีหน้าของเหมยรั่วหลินซีดเผือดในทันที ก่อนความคิดหนึ่งจะแวบเข้ามาในหัว ‘เขาได้ยินทุกอย่างหรือ’

ตอนนี้อวี้เฟิงยังไม่กลับมา แล้วเขาไปอยู่ที่ใดกันเล่า

“ข้าจะออกไปตามหาเขา” นางจากไปโดยไม่สนใจท่าทีของคนอื่น

เฉียวเทียนช่างมองเหมยรั่วหลินอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่านางคุมสติอารมณ์ของตนเองไม่ได้

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงกลับมาที่ห้องของตน “เหยาเหยา อวี้เฟิงออกไปข้างนอกตั้งแต่ช่วงบ่ายและยังไม่กลับมา เหมยรั่วหลินจึงออกไปตามหาเขา”

“ข้ารู้แล้ว” หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจอย่างแผ่นเบา และหวังว่าครั้งนี้นางจะรู้หัวใจตัวเองสักที

“หืม”

“มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ พวกเราช่วยอะไรสองคนนั้นไม่ได้หรอก” จากนั้นหญิงสาวจึงเล่าเรื่องความสัมพันธ์สิบกว่าปีของพวกเขาให้สามีฟังอย่างอดไม่ได้

ชายหนุ่มผงกศีรษะอย่างเข้าใจ “หากข้าเป็นอวี้เฟิงที่รอคอยมานานนับสิบปีเช่นนั้น ข้าก็คงต้องการจะสงบสติอารมณ์ก่อน อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดว่าเหมยรั่วหลินจะไม่รู้สึกอะไรกับอวี้เฟิงเลย เพราะหลังจากที่นางรู้ว่าสามีหายตัวไป สีหน้านางก็ซีดเผือดและดูเป็นกังวลอย่างมาก”

“ให้ใครสักคนติดตามนางไปด้วยเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย

“ข้าจะส่งชิงเซวียนไป”

“ตกลง ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปกินข้าวเถอะ”

เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ เมื่อเห็นหญิงสาวดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก เขาจึงเอ่ยขึ้น “อีกเดี๋ยว ข้าก็จะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า อย่าคิดมากเลย”

“เข้าใจแล้ว”

แต่หลังจากที่เหมยรั่วหลินออกไปได้ไม่นาน อวี้เฟิงก็กลับมาด้วยอาการหนาวสั่น สภาพร่างกายของเขาดูไม่สู้ดีนัก นอกจากนี้เสื้อผ้าของเขายังยับย่น ราวกับว่ามิได้เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นเวลานาน

เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วขณะมองดูอีกฝ่าย “เจ้ามิได้สวนทางกับเหมยรั่วหลินหรือ”