Ep.558 – เผชิญหน้ากระทันหัน

 

ชั้นเปลือกน้ำแข็งบางๆ สาดแสงสีน้ำเงินจางๆออกมา

 

ความเย็นของมัน กัดกินจากฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน เสียดแทงลึกเข้าไปในกระดูก

 

พลังวิญญาณแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถที่จะต้านทานความหนาวเย็นนี้ได้ ไม่แตกต่างไปกับตอนที่เขาอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง

 

กู่ฉิงซานนั่งยองๆลง แล้วสังเกตมันอย่างระมัดระวัง

 

สีน้ำเงินกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

 

มันไพศาลไม่ต่างกับทุ่งน้ำแข็งที่เขาควบม้าทมิฬวิ่งผ่านมาในก่อนหน้านี้เลย

 

‘แล้วฉันจะทะลุผ่านชั้นน้ำแข็ง เข้าสู่โลกเบื้องล่างนี้ได้อย่างไร?’

 

กู่ฉิงซานเคาะลงบนชั้นเปลือกน้ำแข็ง

 

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

กู่ฉิงซานลองคิดเกี่ยวกับมันอีกสักพักหนึ่ง แล้วลองกระทุ้งกำปั้นลงบนชั้นเปลือกน้ำแข็งอย่างแรง

 

คราวนี้ชั้นเปลือกน้ำแข็งเริ่มที่จะปลดปล่อยแสงสีทองเล็กๆน้อยๆออกมา

 

ตามด้วยภาษาเขียนสีทองอันลึกลับที่ปรากฏขึ้นบนพื้น แพร่กระจายออกไปรอบทิศทางอย่างไม่รู้จบ

 

พร้อมกับกลิ่นอายอันตรายที่เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่ว

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“อำนาจเทวะ : กฏเกณฑ์ต้องห้ามแห่งโลกทวยเทพกำลังพยายามที่จะเปิดใช้งาน”

 

“โปรดหยุดการโจมตีคุกคามของคุณเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นแล้ว อำนาจที่ว่านี้จะโถมเข้าทำลายคุณจนถึงแก่ความตาย!”

 

ขนของกู่ฉิงซานลุกซู่

 

พอย้อนนึกไปถึงประสบการณ์อันน่าขมขื่นของราชามารวิญญาณมรณะ กู่ฉิงซานก็เร่งชักมือของเขากลับ และใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจทันที

 

เมื่อภัยคุกคามหายสาปสูญไป แสงสีทองก็หยุดแพร่กระจายลงในที่สุด

 

หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีทองทั้งหมดก็สลายหายไป

 

ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นมาตรการป้องกันที่ถูกติดตั้งไว้โดยเทพบรรพกาล เพื่อหลีกเลี่ยงการรุกรานจากภายนอก” ลอร่ากล่าว

 

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย

 

ในสายตาของเขา บรรทัดแสงหิ่งห้อยยังคงปรากฏอยู่บนหน้าต่างเทพสงคราม

 

“คุณได้ค้นพบโลกใหม่แล้ว และหากคุณต้องการที่จะรู้ความลับของโลกใบนี้ โปรดจงทุ่มเทอย่างหนักต่อไป”

 

“โปรดทราบด้วยว่า : นี่คือโลกใหม่ที่ไม่เคยถูกค้นพบหรือมีข้อมูลบันทึกมาก่อน ดังนั้นตัวระบบเทพสงครามเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ของมันเป็นเช่นไร”

 

“คุณจะต้องค้นหาวิธีที่จะเข้าไปที่นั่น และได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมัน”

 

อ่านจบ กู่ฉิงซานก็ส่ายศีรษะของเขาอย่างหมดหนทาง

 

แต่พอลองคิดดูดีๆแล้ว .. เนื่องจากนี่เป็นอารยธรรมที่หลงเหลืออยู่ของเทพบรรพกาล ถ้าอย่างนั้นดาบเช่าหยินที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลก็น่าจะ …

 

เขากระชับดาบเช่าหยิน และพยายามที่จะใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกระทมกับชั้นเปลือกน้ำแข็ง

 

ทันใดนั้นชั้นเปลือกน้ำแข็งก็เริ่มแยกออกจากกัน ฉากนี้มันเหมือนกับตอนทางปากทางเข้าถ้ำในวิหารบนยอดเขาอย่างไรอย่างนั้นเลย!

 

และรอยแยกที่ว่า ก็เพียงพอสำหรับให้กู่ฉิงซานกับลอร่าผ่านเข้าไป

 

ลอร่าจ้องมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ

 

จากจุดที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ เหนือหัวเป็นมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด ขณะที่ชั้นเปลือกน้ำแข็งที่พวกเขายืนอยู่ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจเทวะของทวยเทพ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดที่กล่าวมา เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบยาวของกู่ฉิงซาน พวกมันก็หลีกลี้ เปิดทางให้กับพวกเขาโดยไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย

 

ลอร่ามองดาบยาวในมือของกู่ฉิงซาน จ้องเขม็งไปที่มันด้วยดวงตาสาดประกายสดใส ไม่อาจละสายตาไปจากมันได้เลย

 

อาวุธที่สามารถควบคุมกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลได้ แน่นอนว่ามันย่อมต้องถูกสร้างขึ้่นอย่างพิถีพิถันโดยเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน

 

ดาบยาวเล่มนี้ … มันชักจะต้องตาเกินไปแล้ว!

 

หากตัวเธอเองได้ครอบครอง และโบกสะบัดมัน ก็คงจะดูเท่ไม่น้อยเลย

 

“ดาบยาวของเจ้ามันยอดเยี่ยมไปเลย! เจ้าพอจะแลกเปลี่ยนมันกับเราได้หรือไม่?”

 

ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงเจรจา

 

“สิ่งนี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ สำหรับกระหม่อมแล้ว ดาบก็เหมือนอุปกรณ์ไว้ใช้หากิน” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“งั้นเราจะแสดงสิ่งประดิษ์ฐ์เทวะบางอย่างให้เจ้ารับชมดูดีไหม? เผื่อว่าเจ้าจะได้ลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบอีกครั้ง”

 

“ไม่แลกพะยะค่ะ หากเป็นคนอื่นไล่บี้ถามกระหม่อมแบบนี้ กระหม่อมคงใช้ดาบเล่มนั้นแทงมันไปแล้ว” กู่ฉิงซานยื่นมือไปดีดหน้าผากของล่อร่าเบาๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

แต่เมื่อครู่นี้เขาพูดจริงๆนะ ถ้ามีใครอยากได้ดาบของเขา เขาก็จะมอบดาบเล่มนั้นให้โดยการแทงเข้าใส่มันแทน!

 

อย่างไรก็ตาม ลอร่าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอมิได้มีความปรารถนาในมันเช่นนั้น เธอเพียงแค่รู้สึกนึกสนุกก็เท่านั้นเอง

 

นอกจากนี้ เธอก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะทราบความหมายเกี่ยวกับแก่นแแท้ของผู้ฝึกดาบ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับสิ่งที่เด็กอย่างเธอกล่าวมา

 

“ก็ได้ๆ เจ้าคนตระหนี่เอ๊ย”

 

ลอร่ากุมหน้าผากของเธอ บ่นด้วยความหงุดหงิด

 

แล้วทั้งสองก็ทะลุผ่านช่องว่างไป

 

พวกเขาเข้าสู่โลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล

 

บนท้องฟ้าสูง

 

ไร้ซึ่งแรงลมใดๆ

 

มีเพียงความเงียบงันที่อยู่โดยรอบ

 

ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่จะสามารถมองเห็นเมืองหลายเมืองที่อยู่ห่างไกลกันออกไป

 

เมืองเหล่านี้เปล่งแสงสีฟ้าอ่อน คล้ายกับว่ามันทำมาจากผลึกน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ แต่ในชั้นอากาศกลับไม่มีร่องรอยของความเย็นเลย

 

กู่ฉิงซานโบกดาบยาวของเขา และยกเลิกพลังศักดิ์สิทธิ์ ข้ามผ่านมหาสมุทร

 

แล้วชั้นเปลือกน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหลังก็ปิดลงทันที

 

ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมอกของกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็เอาชั้นผ้าสีดำขึ้นมามัดปิดดวงตาของเธอ

 

“พวกเราจะสามารถลงไปเร็วกว่านี้หน่อยจะได้ไหม มันสูงเกินไป เรากลัวนะ”

 

“แต่อย่างน้อยฝ่าบาทก็รู้จักหาวิธีรับมือกับมัน ต่างจากเมื่อก่อน”

 

“ผู้ใหญ่มักจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสิ่งที่ตนหวาดกลัวอยู่เสมอ ฉะนั้นการที่เรามีวิธีจัดการกับมันบ้าง จะไปแปลกอะไร?”

 

“ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีนะฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ กระหม่อมจะเร่งลงไปโดยเร็วที่สุด”

 

ว่าจบ เขาก็เลือกเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด และวูบบบบ! มุ่งลงไปเต็มกำลัง

 

ความว่องไวของเขาน่ะรวดเร็วเป็นอย่างมาก เมื่อประจวบกับการใช้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วเป็นครั้งคราว ระยะทางที่ไกลก็เลยดูแคบลงไปทันตา

 

เกือบจะในทันที เท้าของกู่ฉิงซานก็สามารถแตะลงบนพื้นดินได้อย่างอ่อนโยน

 

“เรียบร้อย” กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆและกล่าว

 

“อ๋า? ทำไมถึงได้เร็วจังเลย?” ลอร่าอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ลอร่าถอดผ้าปิดตาสีดำออก และถอนหายใจเบาๆ “รู้สึกดีจริงๆที่ได้เห็นพื้นดินอีกครั้ง”

 

เธอกระโดดลงจากอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน และเหยียบลงบนพื้น

 

พื้นดินช่างแข็งกระด้างและหนาแน่น แต่มันกลับเป็นสีฟ้า

 

เมื่อมองไกลออกไปสุดสายตา จะเห็นว่าเมืองทั้งเมืองไม่ได้ทำมาจากน้ำแข็ง

 

แสงสีฟ้าจางๆที่เห็นจากบนท้องฟ้า แท้จริงแล้วเป็นวัสดุที่เหมือนกันกับแก้วเคลือบสี ส่งผลให้ตัวเมืองทั้งหมด เปล่งแสงสีน้ำเงินน้อยๆออกมา

 

ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานเลือก เป็นจุดที่ห่างไกล อยู่เกือบสุดขอบของตัวเมืองทั้งหมด นอกจากนี้ ช่วงเวลานี้ยังเป็นกลางคืน ดังนั้นจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอยู่โดยรอบ

 

แต่เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย บวกกับที่เคยได้สัมผัสกับมาตรการป้องกันของเทพบรรพกาล ส่งผลให้กู่ฉิงซานยังคงไม่ลดความระแวงลง เขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ตนจึงไม่คิดปล่อยจิตสัมผัสเทวะครอบคลุมทั้งเมืองไปเลยตรงๆ

 

ลอร่าหันไปมองรอบๆ

 

อืม …

 

ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอ มีชายและหญิงสองคนกำลังกอดกันอยู่

 

พวกเขาทั้งสองคนดูเด็กมาก และมีรูปร่างไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาเลย ยกเว้นก็แต่สีผิวของทั้งสองที่เป็นสีฟ้าอ่อน

 

ลอร่าจึงรีบหันกลับไปอีกทางทันที และตะโกนอย่างเร่งรีบ “ขออภัยด้วย! เราไม่ทันสังเกต เลยวิสาสะขัดจังหวะพวกท่านโดยไม่รู้ตัว นี่ถือว่าเสียมารยาทจริงๆ ”

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงจ้องมองทั้งสองที่กอดกันอย่างเงียบๆ มิคิดเบนสายตาหลบใดๆ

 

แต่เดิม เขาสังเกตเห็นทั้งสองคนตั้งนานแล้ว และตั้งใจที่จะเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่จำเป็นแล้ว

 

กู่ฉิงซานค่อยๆอุ้มลอร่าขึ้นมาอย่างเงียบๆ

 

ในขณะเดียวกัน ดาบบินทั้งสามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาในความว่างเปล่า เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”

 

ลอร่าที่เห็นท่าทีของเขา เธอก็เริ่มรู้สึกประหม่า

 

“พวกเขาตายไปแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ตายหรอ?”

 

ลอร่าชะงักไป แล้วจึงค่อยเพ่งสายตามองทั้งสองอย่างรอบคอบ

 

เห็นแค่เพียงทั้งสองกำลังกอดกันด้วยความสิ้นหวัง บนใบหน้าเด่นชัดถึงความหวาดกลัว

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าโชคชะตาใดจะที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปกับพวกเขา

 

“รู้สึกว่า … จะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

 

เพียงแค่เอ่ยปาก กู่ฉิงซานก็ต้องขมวดคิ้ว

 

เพราะในการรับรู้ทางจิตวิญญาณ(ลางสังหรณ์)ของเขา จู่ๆก็มีเงาทะมึนปรากฏขึ้น

 

ในอดีต หากภายในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาปรากฏถึงสิ่งใดที่คล้ายคลึงกับประเภทนี้เกิดขึ้นมา -ไม่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ มันก็เป็นวิกกฤตร้ายแรงถึงชีวิตและความตาย!

 

มองไปยังสองศพที่กอดกันเกลียว ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เริ่มระแวดระวังมากขึ้น มากขึ้น

 

แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว-

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระโดยไม่ลังเล และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

 

นี่คือดิสก์ค่ายกลจากโลกล่องเวหา มันเป็นดิสก์ค่ายกลระดับสูงที่อยู่ในห้องลับของนิกายกวงหยาง ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยหวังหงษ์เต๋า

 

ซึ่งในโลกล่องเวหา นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของกู่ฉิงซาน เพราะเขาได้ฉกของดีจากในห้องลับนิกายมาจนหมดเกลี้ยง!

 

แน่นอน ว่ารวมไปถึงระดับการจัดวางค่ายกลของเขาด้วย

 

เพื่อที่จะสร้างดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลก แล้วหลบหนีออกมา กู่ฉิงซานจึงทำการเรียนรู้เทคนิคค่ายกลจากในใบหยกจนเขาสามารถทะยานขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของโลกใบนั้นได้เลยโดยตรง

 

ดังนั้นด้วยระดับการจัดวางค่ายกลในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ดิสก์ค่ายกลที่หยิบมานี้ การจะเปิดใช้งานมันจึงง่ายดายราวกับของเด็กเล่น

 

ด้วยมือของเขาที่พรมลงอย่างรวดเร็วบนตัวดิสก์ ในไม่ช้า เขาก็สามารถจัดวางค่ายกลป้องกันในระยะหลายสิบเมตรได้อย่างรวดเร็ว

 

ทันทีหลังจากนั้น เขาก็จัดวางค่ายกลป้องกันสัตว์อสูร , ค่ายกลป้องกันเผ่ามาร , ค่ายกลป้องกันดาบบิน , ค่ายกลป้องกันเทคนิคมนตรา ค่ายกลต่อต้านพลังศักดิ์สิทธิ์ และค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย

 

ในโลกล่องเวหา ทุกชนนิดของค่ายกลป้องกันระดับสูง ถูกจัดวางลงทั้งหมดโดยเขา

 

ยกเว้นไว้แต่เพียงเฉพาะค่ายกลอำพราง 

 

ภายใต้การจัดการของกู่ฉิงซาน แสงสวรรค์เรืองรองก็ส่องสว่างบนดิสก์ค่ายกล คล้ายเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ สาดชั้นแสงงดงามปกคลุมรอบทิศทาง

 

“มันสะดุดตาเกินไปนะ แบบนี้มันง่ายต่อการดึงดูดความสนใจ” ลอร่าเร่งเตือนด้วยความกังวล

 

“เดิมทีกระหม่อมตั้งใจที่จะสำรวจโลกใบนี้อย่างช้าๆ” กู่ฉิงซานยังคงจัดตั้งค่ายกล ปากฝืนยิ้มอธิบายออกมา “แต่อันดับแรก ตอนนี้คงต้องให้ความสำคัญกับชีวิตก่อน เรื่องอื่นๆเอาไว้ทีหลัง”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็ตกใจ

 

เพราะเธอไม่เพียงจ้องมองการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน แต่ยังสังเกตเห็นถึงลางไม่ดีในน้ำเสียงของเขาอีกด้วย!

 

ในที่สุด ชั้นค่ายกลทั้งหมดก็ถูกจัดตั้ง

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่ายกล เริ่มใช้สัมผัสรับรู้อย่างเงียบๆ

 

เพียงไม่นาน เขาก็หันมองไปยังทิศทางหนึ่ง เป็นความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรในทันใด

 

นั่นคือหนึ่งในชั้นค่ายกลที่ดีที่สุด ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อยับยั้งวิญญาณชั่วร้าย!

 

“เป็นผู้ใดที่มาเยือน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

บังเกิดลมกรรโชก

 

ทว่าไม่มีใครตอบคำถามของเขา

 

แล้วจู่ๆค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายก็ระเบิดกลุ่มก้อนแสงสดใสออกมา

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าค่ายกลป้องกันกำลังเริ่มบีบอัดอย่างรุนแรง!

 

-มีบางอย่างต้องการที่จะทะลุผ่านค่ายกล ตรงเข้ามายังใจกลาง!

“นั่นมันบ้าอะไรกัน!?” ลอร่าสูญเสียเสียงของเธอ

 

เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าที่โปร่งใส สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏตัวออกมา

 

กะโหลกของมันมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับบ้านห้าชั้น และกำลังถูกบีบอัดอย่างหนักหน่วงอยู่ภายในค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย แต่มันก็ยังคงพยายามที่จะฝ่าเข้ามา

 

ห่างออกไปจากค่ายกล กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงขนสีเขียวยาวเหยียด เขี้ยวแหลมคม และใบหน้ากระดูกที่สลักไปด้วยอักษรรูนอันประหลาดตา

 

สัตว์ประหลาดผีจ้องมองมายังกู่ฉิงซานด้วยคู่ดวงตาสีดำลึก

 

“เปรี๊ยะ!”

 

ทันใดนั้นค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายก็ระเบิดออกทันที

 

คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น สองมือของเขาพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างต่อเนื่อง

 

ฝุบ ฟิ้ว ฟิ้ว!

 

ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน เขาก็ได้จัดตั้งค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายซ้อนทับกันลงไปถึงสามครั้ง!

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสิ่งนี้แล้ว แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงไม่หยุดมือ สร้างค่ายกลต่อไป

 

นี่มันน่าแปลกจริงๆ

 

ค่ายกลอื่นๆที่ถูกจัดวาง ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย ยกเว้นไว้เพียงค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายที่สามารถขัดขวางมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น!

 

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว กู่ฉิงซานเร่งจัดวาง36 ค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายลงในพื้นที่นี้ภายในลมหายใจเดียวทันที!

 

สัตว์ประหลาดผีพึ่งจะทะลวงค่ายกลมาได้ และกำลังจะวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน แต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยค่ายกลเดิมอีกรอบในฉับพลัน

 

เจ้าผีร้ายพอถูกขัดขวางซ้ำๆ มันก็แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวป็นอย่างมาก

 

และแล้วสิ่งที่ไม่น่าคาดคิดก็เกิดขึ้น มันเริ่มที่จะอ้าปากกว้าง และทำการงับ! ฉีดกัดค่ายกลทิ้งไปทั้งๆอย่างงั้น!