ตอนที่ 112 การประเมินผลของซ่างกวนซวี่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ชีวิตก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในศตวรรษที่ 21 การฝึกสมรรถภาพทางกายถือเป็นการฝึกขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการเรียนศิลปะการต่อสู้ ฉินอวี้โม่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีรูปแบบการฝึกฝนเช่นนี้อยู่ในดินแดนมายาแห่งนี้ด้วย รูปแบบการฝึกของซ่างกวนซวี่แม้ว่าจะดูโหดร้ายก็จริงแต่ก็พูดได้ว่ายังด้อยกว่าสิ่งที่นางเคยฝึกมาในชีวิตก่อน

ฉินอวี้โม่ยังจำได้ว่าส่วนมากนางจะฝึกท่าจางหม่าปู้ครั้งละสิบสองชั่วยาม ซึ่งหลังจากครบสิบสองชั่วยามแล้ว นางจะรู้สึกราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายเดิมของตัวเองอีกต่อไป

“โอ้ เป็นอย่างนี้เองหรือ เช่นนั้นนักเรียนอวี้โม่ ร่างกายของเจ้าก็คงจะมีสมรรถภาพที่ดีมากใช่หรือไม่ ?”

ซ่างกวนซวี่ยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ตั้งแต่วันแรกที่นักเรียนใหม่เข้ามาในโรงเรียน ทางโรงเรียนก็จะแจ้งประวัติและภูมิหลังครอบครัวของนักเรียนแต่ละคนให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้ทราบ

ตามที่ซ่างกวนซวี่รู้มา ฉินอวี้โม่คือบุตรสาวคนสุดท้องของฉินเทียนผู้ที่ออกจากนครไป๋อวิ๋นไปตั้งรกรากยังเมืองหลิงซีเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน และยังเขาทราบมาจากหน่วยข่าวของโรงเรียนด้วยว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนฉินอวี้โม่ยังเป็นเพียงสตรีโฉมงามผู้ไร้พลังไร้พรสวรรค์ไม่อาจฝึกฝนวิชายุทธ์ใด ๆ ได้ เป็นสตรีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าไร้ค่า ทว่ามาบัดนี้คนรุ่นเยาว์ผู้นี้กลับบอกเขาว่านางฝึกฝนสมรรถภาพมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้ทำให้ซ่างกวนซวี่เกิดความเคลือบแคลงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านอาจารย์ ข้ายังบอกรายละเอียดไม่ได้ แต่สำหรับข้าตอนนี้การฝึกเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์”

ฉินอวี้โม่ยิ้มนอบน้อมพลางจ้องมองซ่างกวนซวี่แล้วกล่าวต่อ “อาจารย์ซ่างกวน ข้าอยากจะถามท่านว่าหากข้ามาเข้ารับการสอบประเมินผลของท่านในเดือนหน้าเลยโดยไม่เข้าร่วมการฝึกจะได้หรือไม่ ?”

“แน่นอน ตราบใดที่เจ้ามีเหตุผลเพียงพอข้าก็ไม่มีปัญหา แต่จงอย่าลืมว่าหากเจ้าสอบตกครบสามครั้งก็มีสิทธิ์ถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ”

ซ่างกวนซวี่พยักหน้า

“อาจารย์ซ่างกวน ข้าใกล้จะก้าวข้ามขอบเขตแล้ว ข้าอยากจะไปยังหอคอยวิญญาณเพื่อฝึกฝนสักระยะ และข้าจะออกมาตอนที่ข้าทะลวงพลังข้ามขอบเขตสำเร็จแล้ว”

ฉินอวี้โม่เอ่ยปาก นางไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นประกายแห่งความเจ้าเล่ห์อยู่ในแววตาของซ่างกวนซวี่ อาจารย์ผู้นี้คงจะไม่อนุญาตโดยง่ายอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินฉินอวี้โม่กล่าวว่าตนเองใกล้จะก้าวข้ามขอบเขตแล้ว ซ่างกวนซวี่ก็ผงะไป หากว่าเขาจำไม่ผิด แม่นางน้อยผู้นี้คือจอมยุทธ์นภมายาเก้าดารา ถ้าหากนางใกล้จะทะลวงพลังข้ามขอบเขตแล้ว นั่นก็หมายความว่านางกำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนในเร็ว ๆ นี้ อายุเพียงสิบหกปีก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนแล้ว นี่ไม่เท่ากับว่านักเรียนใหม่ผู้นี้อยู่ระดับเดียวกับสองปีศาจในตำนานแห่งโรงเรียนราชสำนักเลยหรือ ?

อย่างไรก็ตามซ่างกวนซวี่ก็ตั้งใจอยากจะทดสอบฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมออกปากอนุญาตง่าย ๆ

“อวี้โม่ นี่เป็นปีแรกที่ข้าได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาและสอนในวิชาสามัญ เพียงแค่เริ่มสอนวันแรกเจ้าก็ไม่เห็นชั้นเรียนข้าอยู่ในสายตาเสียแล้ว เช่นนั้นชื่อเสียงของข้าจะไม่ป่นปี้ย่อยยับไปหมดอย่างนั้นหรือ ? ยิ่งกว่านั้นจะให้ข้ารายงานท่านอธิการเพียงเพราะเชื่อวาจาของเจ้าเช่นนั้นก็คงจะดูไร้เหตุผลจนเกินไป อย่างไรการที่นักเรียนใหม่ไม่ยอมเข้าชั้นเรียนสามัญก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์ ท่านต้องการจะทดสอบข้าอย่างไรก็เชิญกล่าวมาได้เลย”

ฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายของซ่างกวนซวี่ดี อดีตนักฆ่าสาวคิดว่าอาจารย์ท่านนี้น่าจะเป็นบุคคลที่เจรจาด้วยเหตุผลได้ไม่ยาก นางจึงเอ่ยถามออกไปตรง ๆ

“นักเรียนอวี้โม่ เจ้าเป็นเด็กฉลาดโดยแท้” ซ่างกวนซวี่ชื่นชมด้วยรอยยิ้มและกล่าวต่อ

“เอาอย่างนี้ ข้าเองก็ไม่อยากจะขัดขวางความก้าวหน้าของเจ้า เอาเป็นว่าหากเจ้าทำจางหม่าปู้ที่ข้าสอนได้จนพระอาทิตย์ตกดิน เดือนนี้ข้าจะอนุญาตให้เจ้าไม่เข้าชั้นเรียน”

การทดสอบนี้ถือว่าไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ได้จัดว่าโหดร้ายจนเกินไป หากว่าฉินอวี้โม่สามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าบทเรียนเสริมสร้างสมรรถภาพก็ไร้ประโยชน์สำหรับนางอย่างแท้จริง

“ได้ ท่านอาจารย์ ตกลงตามนั้น !”

ฉินอวี้โม่แหงนมองท้องฟ้าก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

หากใช้หน่วยการคำนวณตามเวลาในชีวิตก่อนของนาง ตอนนี้ก็คือสิบนาฬิกา ยังเหลืออีกประมาณเจ็ดชั่วโมงหรือสามชั่วยามครึ่งกว่าจะถึงช่วงที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การทำจางหม่าปู้ไม่ถึงสิบชั่วโมงยังไม่ถือว่ายากสำหรับฉินอวี้โม่

กล่าวจบคุณหนูตระกูลฉินก็ไม่ลังเลอีก นางหาจุดที่เหมาะสมกางขา ย่อเขา แล้วหลับตาลง

‘สาวน้อยผู้นี้น่าสนใจโดยแท้ แม้จะทำท่าจางหม่าปู้อยู่ก็ยังดูสงบและผ่อนคลายได้ถึงเพียงนั้น ดูเหมือนว่าการทดสอบนี้จะไม่สามารถทำให้นางรู้สึกกดดันได้เลย เป็นไปได้ว่าหากจะกดดันสาวน้อยผู้นี้คงต้องใช้ห้าชั่วยามเป็นอย่างน้อย’

เมื่อซ่างกวนซวี่เห็นการกระทำของฉินอวี้โม่ เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

การสนทนาของฉินอวี้โม่และซ่างกวนซวี่ไม่ได้ดังมาก นักเรียนคนอื่น ๆ จึงไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยสิ่งใด พวกเขาเห็นเพียงว่าทั้งคู่สนทนากันสั้น ๆ จากนั้นคุณหนูตระกูลฉินก็ไปหาที่ว่างแล้วทำจางหม่าปู้เหมือนเช่นทุกคน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ซ่างกวนซวี่ก็นำเก้าอี้มานั่งและมองดูนักเรียนทุกคนทำท่าจางหม่าปู้อย่างสงบ

เป็นเพราะลานฝึกแห่งนี้เป็นลานกลางแจ้งและเปิดโล่ง นักเรียนทั้งหมดจึงถูกแสงตะวันอันแรงกล้าเล่นงาน ในตอนนี้ทั่วร่างกายของแต่ละคนมีเหงื่อไหลโทรม เสื้อผ้าของพวกเขาชุ่มโชกไม่ต่างจากเปียกน้ำแล้ว

ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม ขาของบางคนก็อ่อนยวบและสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ พวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถทำท่าทางนี้ต่อไปได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ รอบกายยังไม่มีผู้ใดยอมแพ้จึงกัดฟันและพยายามฝืนทนต่อไป

เมื่อครบหนึ่งชั่วยามถ้วน บางคนก็ทนไม่ไหวจนต้องนั่งพับลงไปกับพื้นเพราะขาทั้งสองข้างนั้นสิ้นเรี่ยวแรงไปอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะยังมีสติอยู่อย่างครบถ้วน ทว่าก็ไม่สามารถทนอยู่ในท่าทางนั้นต่อไปได้อีก

“ถ้าคนไหนไม่ไหวแล้วก็มาพักตรงนี้ได้ แต่ถ้ายังทำไหวก็ทำต่อไป”

ซ่างกวนซวี่กล่าว นี่เป็นเพียงชั้นเรียนวันแรก เขาจึงไม่ได้เคร่งครัดหรือมีความคาดหวังที่สูงมากนัก เมื่อเห็นว่ามีนักเรียนบางคนที่ทนไม่ไหวหลังจากทำจางหม่าปู้มาหนึ่งชั่วยาม ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย เพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปการจะฝึกให้นักเรียนทั้งหลายของเขาอดทนได้จนครบสองชั่วยามภายในหนึ่งสัปดาห์ก็คงไม่ยาก

เมื่อได้ยินเสียงของซ่างกวนซวี่ บางคนที่ทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ก็เดินไปยังจุดพักที่ท่านอาจารย์บอก ตอนนี้ยังเหลือนักเรียนที่สามารถอดทนต่อไปได้อีกประมาณสิบกว่าคน

ผู้ที่ดูสงบที่สุดในกลุ่มนักเรียนที่เหลือคือเสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิง ภายในป่าแสงจันทร์ ฉินอวี้โม่ได้ออกแบบการฝึกร่างกายให้พวกเขาในระหว่างการเก็บตัวครึ่งปี แค่ทำท่าจางหม่าปู้สองชั่วยามสำหรับคนทั้งสองจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นแม้แต่น้อย

แม้ว่าสถานการณ์ของหลิงซวงและเยว่ชิงเฉิงจะไม่ดีนัก แข้งขาของพวกนางสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา ทว่าด้วยแรงใจที่แข็งแกร่งทำให้สตรีทั้งสองยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

ด้านองค์ชายฉีอวี้และลั่วอวิ๋นนั้นดีกว่าบ้าง แม้ใบหน้าของพวกเขาจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แต่ต้นขากลับมีอาการสั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือแทบจะเรียกว่าเลวร้ายก็ว่าได้ พวกเขากำลังฝืนทนกันอย่างเต็มที่

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะหลับตาอยู่ตลอดช่วงเวลาแห่งการฝึก ทว่านางก็ไม่ได้หยุดสังเกตสถานการณ์โดยรอบ นางสังเกตเห็นว่าระหว่างการฝึกเหล่าสหายของนางยังสามารถอดทนได้ดี นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มที่ยังคงไม่ได้มีสภาพย่ำแย่

อดีตนักฆ่าสาวสังเกตเห็นว่าคนของสือซานยังกัดฟันทนได้ นั่นนับว่าพวกเขามีความอดทนที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย แต่เดิมนางคิดว่าพวกเขาจะถอดใจไปตั้งแต่ช่วงแรกแล้วเสียอีก

ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ร่างของเยว่ชิงเฉิงก็สั่นอย่างรุนแรงจนนางได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมจำนน

“เฮ้อ สองชั่วยามงั้นหรือ ดูเหมือนว่าข้ายังต้องฝึกอีกมาก”

หลังจากกล่าวอย่างถอดใจ คุณหนูช่างหลอมก็ล้มตัวลงนั่งและหันไปมองเสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงที่อยู่ใกล้ ๆ “เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองถึงดูสบาย ๆ ถึงเพียงนั้น ?”

“ฮ่า ๆ ๆ การฝึกแบบนี้พวกเราเคยผ่านมาก่อน แค่ท่าจางหม่าปู้สำหรับเราแล้วไม่ยากเลย”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มเยาะ แล้วหัวเราะเสียงดังปิดท้าย เขามองอดีตคู่หมายด้วยท่าทางราวกับเป็นผู้ชนะ กล่าวตามตรงว่าในตอนแรกที่ฉินอวี้โม่ออกแบบตารางฝึกให้เขาและเสี่ยวโร่ว เขายังแอบคิดว่าการฝึกเช่นนี้มันคงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับเขานัก

ทว่ามาจนถึงตอนนี้คุณชายรองตระกูลโอวหยางทราบแล้วว่าการฝึกนี้มีประสิทธิภาพที่ดีและใช้งานได้จริง เขารู้สึกว่าความทนทานของร่างกายตนเองเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวทีเดียว

“ชิ !  คนวิปริต”

เยว่ชิงเฉิงเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับสาดสายตาใส่บุรุษขี้อวดของนางอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งแล้วเดินไปยังจุดพัก

ขณะที่ทางกลุ่มพี่น้องสือซานก็ช่วยกันพยุงกันและกันไปยังจุดพัก ร่างกายของพวกเขาก็มาถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน

ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ฉีอวี้ หลิงซวงและลั่วอวิ๋นก็ไม่สามารถทนต่อไปได้ พวกเขาเดินไปยังจุดพักที่อาจารย์เตรียมไว้ให้ ในตอนนี้ผู้ที่เหลืออยู่มีเพียงฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่ว

เมื่อทุกคนเห็นฉินอวี้โม่ที่ยังมีใบหน้าสงบเรียบเฉยราวกับว่าสิ่งที่นางทำอยู่คือการนั่งสมาธิ รวมทั้งเสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงที่ยังไม่มีเหงื่อไหลออกมาให้เห็นเลยด้วยซ้ำ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมคนทั้งสามจากหัวใจ

ในที่สุดก็ผ่านไปจนครบสองชั่วยาม เสี่ยวโร่วกับโอวหยางชิงเฟิงหันหน้ามองกันและหยุดทำท่าจางหม่าปู้ พวกเขาลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่ที่ยังคงค้างอยู่ในท่านั้น อัจฉริยะตระกูลโอวหยางกล่าวกับสหายด้วยใบหน้าฉงน

“อวี้โม่ ตอนนี้มันครบสองชั่วยามแล้วนะ ไปพักกันเถอะ”

“ไม่ได้หรอก ชิงเฟิง ตอนนี้ข้ากำลังทำการทดสอบของอาจารย์ซ่างกวน ข้าจะต้องรอจนกว่าอาทิตย์จะตกดิน เจ้าทั้งสองไปกันก่อนได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและดวงตาที่ปิดสนิท โดยไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง

“ก็ได้ พวกเราไปพักกันก่อนเถอะ”

โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าและหันไปมองเสี่ยวโร่วก่อนคนทั้งคู่จะพากันเดินไปยังจุดพัก

“พวกเจ้าทั้งสองทำได้ดีมาก แม้ว่าจะผ่านไปสองชั่วยามแล้วก็ยังดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย”

ซ่างกวนซวี่มองดูนักเรียนทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะกล่าวชื่นชม

“อาจารย์ซ่างกวน พวกเราแค่เคยฝึกเช่นนี้มาก่อนก็เท่านั้น”

โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยตอบอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม กล่าวตามตรงว่าตอนที่เจอการฝึกนี้ในครั้งแรกพวกเขาก็อดทนให้ครบตามเวลาที่ฉินอวี้โม่กำหนดไม่ไหวเช่นกัน

“ฉินอวี้โม่เป็นคนสอนพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”

ซ่างกวนซวี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ข้อมูลมาจากฉินอวี้โม่ และเขาก็รู้ข้อมูลจากหน่วยข่าวของโรงเรียนมาอีกด้วยว่าโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วเคยอยู่ในป่าแสงจันทร์ด้วยกันอยู่ช่วงหนึ่ง

“ใช่”

โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วพยักหน้าโดยไม่คิดปกปิด

“เป็นสตรีที่น่าสนใจมากจริง ๆ”

เมื่อซ่างกวนซวี่เห็นโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วพยักหน้า เขาก็มองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนควรจะกลับไปทานอาหารและพักผ่อนได้แล้ว ชั้นเรียนของวันนี้จบลงแล้ว ชั้นเรียนในวันพรุ่งนี้ก็ยังเริ่มที่นี่และเวลาเดียวกันกับวันนี้ เรายังคงฝึกท่าจางหม่าปู้กันต่อ”

ซ่างกวนซวี่กล่าวกับนักเรียนทุกคน ตอนนี้เหล่านักเรียนหน้าใหม่ทั้งหลายต่างอ่อนล้าจากการฝึกฝนท่าจางหม่าปู้อย่างหนักหน่วงมากแล้ว พวกเขาทุกคนโหยหาเวลาพักผ่อนเต็มที

“ขอบคุณอาจารย์ซ่างกวน”

ทุกคนโค้งคำนับอาจารย์ก่อนจะพากันเดินกลับออกไป แม้จะเคยได้ยินได้ฟังคำเล่าลือมาไม่น้อย แต่พวกเขาต่างก็ไม่คาดคิดว่าชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนจะยากและโหดหินได้ถึงเพียงนี้

“ส่วนพวกเจ้าสองคน ข้าให้วันหยุดพวกเจ้าเจ็ดวัน พวกเจ้าผ่านการทดสอบของบทเรียนแรกแล้ว ภายในเจ็ดวันนี้พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็ตามสะดวก”

ซ่างกวนซวี่กล่าวกับเสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิง เขารู้สึกดีและโล่งใจมากที่เห็นว่าอย่างน้อย ๆ ก็มีนักเรียนเสี่ยวโร่วและนักเรียนโอวหยางชิงเฟิงที่สามารถผ่านการทดสอบแรกของเขาได้ เช่นนี้แล้วชั้นเรียนสามัญปีแรกของเขาคงจะราบรื่นเป็นแน่

“ขอบคุณท่านอาจารย์”

โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วมองหน้ากันก่อนจะยิ้มกว้างออกมา

พวกเขารู้สึกดีใจมาก ไม่คิดเลยว่าชั้นเรียนแรกของตัวเองจะราบรื่นและน่าพึงพอใจมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งเจ็ดวันต่อไปนี้พวกเขาอยากจะทำสิ่งใดก็สามารถทำได้อีกด้วย

นักเรียนร่วมชั้นหลายคนมองไปที่ฉินอวี้โม่ที่ยังอยู่บนลานฝึก แม้ว่าจะสงสัยแต่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามและทยอยกลับออกไปพักผ่อน ทว่าก็มีบางคนเลือกจะอยู่ดูต่อ เพียงแค่โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วที่สามารถอดทนได้ถึงสองชั่วยามพวกเขาก็รู้สึกว่าน่าชื่นชมมากเหลือเกินแล้ว ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยังคงอยู่ในท่าจางหม่าปู้ต่อไป พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าสตรีเก่งกาจผู้นั้นจะสามารถทนได้นานเพียงใด เพราะแม้แต่พวกเขาในตอนนี้ที่ทำจางหม่าปู้มาได้ไม่ถึงสองชั่วยามก็ยังเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแข้งขาอ่อนจนเดินไปไหนมาไหนยากลำบากมากแล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่มีนักเรียนคนใดคิดจะยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ เพราะแม้แต่เสี่ยวโร่วสตรีตัวเล็กและอ่อนเยาว์ก็ยังทนได้นานขนาดนั้น พวกเขาเองก็เชื่อว่าในอีกไม่นานตัวเองจะต้องทำได้เช่นกัน

“ชิงเฉิง ฉีอวี้ พวกเจ้ากลับกันไปก่อนเถอะ ข้ากับเสี่ยวโร่วจะอยู่ที่นี่รออวี้โม่”

โอวหยางชิงเฟิงกล่าว เขาและเสี่ยวโร่วไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้ามากนักจึงยังไม่อยากกลับไปพัก พวกเขาอยากอยู่รอฉินอวี้โม่มากกว่า

“ไม่ พวกเราก็จะอยู่รอนางที่นี่ ไว้พวกเราค่อยกลับไปพร้อมกันแล้วพักทีเดียว”

เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ส่ายศีรษะอย่างแรง พวกเขายังไม่คิดจะกลับไปพัก พวกเขาทั้งหมดไม่ได้อิจฉาโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่ว แต่ในเวลานี้ทุกคนกำลังรู้สึกมีแรงฮึดสู้เพราะพวกเขามีเป้าหมายอันท้าทายที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ !

.