บทที่ 272 ฟากฝั่งสองชีวิต ผู้อริยะจู่โจม
จิตใจของเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงแหลกสลาย
เขาเป็นคนวางแดนปรโลก เชื่อมต่อกับจิตใจเขา
ตอนนี้เขตแดนตำหนักปรโลกเล็กตรงใจกลางถูกทำลาย เขาจึงสัมผัสได้ในทันที
แน่นอนว่าเขตแดนถูกทำลายเป็นเพียงเรื่องเล็ก ขอแค่ให้เวลาเขาหน่อยก็จะวางกลับมาใหม่ได้
ปัญหาคือสมบัติสุดยอดในตำหนักปรโลกเล็กก็ลอยออกไปด้วย!
ต้องรู้ว่าเขาหลอมสมบัติสุดยอดนั้นเป็นอาวุธชีวิตของตนเพื่อบ่มเพาะมัน เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงตั้งใจวางแดนปรโลกบ่มเพาะมันมาหลายพันปีแล้ว
เดิมทีคิดจะรอวันที่มารสวรรค์พุ่งชนดาวชิกสัวะแล้วทำสำเร็จในทีเดียว แต่ไม่นึกเลยว่าจะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมในช่วงเวลาสำคัญ
“บัดซบ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก พวกเจ้ากล้าชิงสมบัติสุดยอดของข้า นี่จะทำเกินไปแล้ว!”
เปลวไฟสีดำทางขวาของเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงหมุนม้วนด้วยความโกรธ ปรากฏอักขระสันสกฤตขึ้นมาอีกครั้ง
อีกทั้งอักขระสันสกฤตยังดูทรงอานุภาพกว่าก่อนหน้านี้ แผ่กลิ่นอายแปลกประหลาดและน่ากลัวออกมา
“ประมุขวิหารชีซา ประมุขวิหารโพ่จวิน ประมุขวิหารทันหลาง สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว พวกเจ้านำบัญญัติของอาตมาไปสังหารศัตรูที่แดนปรโลกก่อน”
สามคนข้างล่างมองหน้ากัน เหมือนรู้ว่าเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดี ตอนนี้เชื่อฟังจะดีที่สุด
“รับทราบ!”
…….
เส้นทางมิติเปิดออก ร่างคนสามคนก้าวเข้าไปในเส้นทางมิติ
ขณะเดียวกัน บนฟ้าอาณาจักรโบราณอู๋เลี่ยง
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกที่กำลังกวาดสายตามองทั้งอาณาจักรโบราณอู๋เลี่ยงเหมือนสัมผัสอะไรได้ แววตาเป็นสมาธิเล็กน้อย
“ในที่สุดก็มาแล้วรึ”
อาวุธวิเศษรูปร่างจันทร์เต็มดวงด้านหลังเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเปล่งแสงสว่าง เหมือนทะลวงได้ทุกสิ่งอย่าง “ไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้อริยะถึงสามคน วิหารเจ็ดสังหารไม่ใช่ธรรมดาแล้ว!”
สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สั่นไหวเบาๆ “มีเทียนเอ๋อร์อยู่ หากวิหารเจ็ดสังหารไม่มีอะไรพิเศษ นั่นต่างหากที่ไม่สมเหตุผล เทียนเอ๋อร์น่าจะพบมหาโชคลิขิตสะท้านโลกอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นผู้อริยะลัทธิชั่วร้ายพวกนี้คงไม่ร้อนใจเช่นนี้”
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ พาเทียนเอ๋อร์มาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ฝึกฝนและผจญภัยนี่สิคือเส้นทางลัดที่ทำให้บุตรแห่งโชคแข็งแกร่งขึ้นได้เร็วที่สุด!
ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อม ร่างพลันกลายเป็นเศษประกายสายฟ้านับไม่ถ้วนหายวับไป
ถึงเวลาช่วยอันมีค่าแล้ว เทียนเอ๋อร์เจ้าหาสมบัติอย่างสบายใจเถอะ คนชั่วที่ปองร้ายเจ้าพวกนี้ อาจารย์จะจัดการให้กับเจ้าเอง
คิดจะแตะต้องบุตรแห่งโชคของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ข้ารึ รนหาที่ตาย!
เมื่อเห็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตามไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกยังอึ้งไป
ได้ยินมาตลอดว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนนี้ให้ความสำคัญกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนมาก วันนี้ได้เห็นแล้วไม่เกินจริงไปเลย
แต่มาคิดดูแล้วก็ถูก เสิ่นเทียนสร้างเรื่องราวปาฏิหาริย์มาตลอด ทำให้ทุกคนต้องให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็มีดวงชะตาดีมาก
กระทั่งเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกคิดในใจว่าหากเสิ่นเทียนยินดีเข้าแดนแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก เกรงว่ากฎที่ธารหยกไม่รับบุรุษ ก็คงอาจจะไตร่ตรองและละเว้นให้เขาได้
อย่างน้อยจากการคาดเดาของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก เหล่าผู้อาวุโสหญิงสูงวัยพวกนั้นในแดนศักดิ์สิทธิ์น่าจะไม่ปฏิเสธ
ถึงอย่างไรบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มีหน้าตาหล่อเหลา คนหล่อย่อมมีสิทธิพิเศษ
“เฮ้อ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ!”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกถอนหายใจ ก่อนจะกลายเป็นแสงจันทร์ตามไป วางแผนจะร่วมมือกับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สกัดผู้อริยะลัทธิวิญญาณร้ายพวกนั้น
อย่างน้อยก็ต้องผูกวาสนาดีกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียน
…….
เสิ่นเทียนไม่รู้ว่าตอนนี้มีผู้อริยะกลุ่มหนึ่งกำลังสะเทือนอารมณ์เพราะตน
เขาเหม่อมองดอกไม้กระดูกสีแดงสดเข้มบนถาดวัฏจักรหกมรรคนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ทว่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่ด้านข้างมีแววตาเร่าร้อนอย่างยิ่ง “ดอกไม้นี้โผล่มา แสดงว่าดอกไม้ฟากฝั่งสวามิภักดิ์หมดแล้ว หรือว่า…นี่จะเป็นจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่ง”
ในแดนปรโลกแห่งนี้ แม้จะมีดอกไม้ฟากฝั่งบานสะพรั่ง แต่ดอกไม้ฟากฝั่งพวกนั้นไม่มีร่างจริง แต่สร้างขึ้นจากพลังของเขตแดน
มีเพียงดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานในมือเสิ่นเทียนที่เป็นพืชระดับเซียนที่อยู่อันดับสามในรายนามไม้วิญญาณ…จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่ง
เล่าลือว่าจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งเป็นดอกไม้ที่จะเบ่งบานตรงส่วนลึกของวัฏจักร มีทั้งหมดสองรูปแบบ แบ่งเป็นดอกไม้สีแดงกับดอกไม้สีขาว
ดอกไม้นี้ตั้งอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย อยู่ระหว่างมายากับความจริง อยู่ระหว่างหยินและหยาง มีอภินิหารน่าเหลือเชื่อหลายอย่าง
ลำพังแค่ดอกไม้แมงมุมแดงกับดอกลำโพงม่วงที่แยกกำเนิดจากตัวมัน ก็เป็นดอกไม้เซียนระดับสูงสุดหายากยิ่งในโลกบำเพ็ญเซียนแล้ว
แต่หากมีจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งเบ่งบานสมบูรณ์และได้รับการยอมรับจากมัน ก็จะมีความสามารถกุมความเป็นตาย พลิกกลับหยินหยาง สลับความจริงกับมายา
แม้แต่ในโลกเซียน นี่ก็เป็นสมบัติสุดยอดที่ขุมอำนาจมากมายแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
เสียงเยี่ยฉิงชางดังขึ้นในความคิดเสิ่นเทียน “ดูท่า ดอกไม้ฟากฝั่งนี่คงถูกลบสติปัญญาไปแล้ว เหลือเพียงสัญชาตญาณดั้งเดิม เจ้าคนที่ปลูกดอกไม้ฟากฝั่งนี่น่าจะไม่อยากให้มันรับเป็นนาย แต่เตรียมจะกลืนกินหลอมรวมมัน หลอมเป็นอาวุธชีวิต”
อาวุธชีวิตที่ว่าก็คืออาวุธที่หลอมรวมในร่างตนและยกระดับขึ้นตามตัวเอง
มองจากในระดับบางอย่าง น้ำมวลหนักปฐมกาล เถากลืนกินเซียน และทองคำเซียนปีกปักษาในตัวเสิ่นเทียนล้วนเป็นอาวุธชีวิต
หากจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งนี้ถูกผู้แข็งแกร่งลัทธิวิญญาณร้ายคนนั้นบ่มเพาะจนเบ่งบานและหลอมเป็นอาวุธชีวิต ศักยภาพของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฝ่ายเซียนเลย
เสิ่นเทียนถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าของจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งนี่ถึงไม่กินมันก่อนล่ะ”
เยี่ยฉิงชางหัวเราะเยาะ “จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งเป็นสมบัติระดับใด มันเบ่งบานแค่ในแดนวัฏจักร การกินมันตอนเบ่งบานจะได้พลังอันยิ่งใหญ่ของมันมาทั้งหมด
เจ้านั่นตั้งใจลบสติปัญญาของดอกไม้ฟากฝั่ง จากนั้นตั้งอกตั้งใจวางแดนปรโลกยิ่งใหญ่แห่งนี้ เดาว่าก็คงอยากจะเลียนแบบแดนแห่งวัฏจักร จากนั้นหลอกให้จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งเบ่งบานและหลอมรวมมันกระมัง! น่าเสียดายที่แม้จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณ
จะใช้เขตแดนปลอมหลอกให้มันเบ่งบาน คิดว่าจะง่ายขนาดนั้นรึ ดินวัฏจักรของเจ้ายังน่าสนใจกว่าเลย”
ถาดวัฏจักรหกมรรคในมือเสิ่นเทียนหลอมขึ้นจากดินบริสุทธิ์ของแดนวัฏจักร แฝงไว้ด้วยพลังแห่งวัฏจักร
และเพราะเหตุนี้เอง เมื่อครู่เยี่ยฉิงชางถึงยืมมือเสิ่นเทียนทำลายค่ายกลผนึกแล้ว เพียงแค่ปล่อยพลังวัฏจักรไปเสี้ยวหนึ่ง ก็ทำให้จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งลอยออกมาเองได้
ได้แต่บอกว่าของปลอมก็คือของปลอม ไม่อาจเทียบกับของจริงได้
“เทียนเอ๋อร์ ส่งพลังฤทธิ์กระตุ้นถาดวัฏจักรหกมรรค ให้ดอกไม้ฟากฝั่งนี่ดูดซับ”
เสิ่นเทียนส่งพลังฤทธิ์ในกายเข้าไปในถาดวัฏจักรหกมรรคตามการชี้นำของเยี่ยฉิงชาง
ทันใดนั้น ถาดวัฏจักรหกมรรคนั้นก็แผ่กลิ่นอายที่ลึกลับและลึกลับออกมาเสี้ยวหนึ่ง ก่อนถูกดอกไม้ฟากฝั่งสูบกินไปช้าๆ
เมื่อจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งสูบกินพลังจากดินบริสุทธิ์วัฏจักรมากขึ้นเรื่อยๆ ดอกตูมที่หุบแน่นในตอนแรกก็เริ่มเบ่งบานออกช้าๆ
ก้านช่อดอกไม้ไม่เคยไยดีแขก แต่จะเปิดประตูต้อนรับเพียงเจ้า
ดอกไม้ฟากฝั่งงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเบ่งบานตรงหน้าเสิ่นเทียน
ไม่มีคำพูดใดบรรยายความสง่างามของดอกไม้นี้ได้ มันจะเกิดสีแดงโลหิตปีศาจเป็นบางครั้ง เร่าร้อนอย่างกับไฟ เหมือนกับมีความอ่อนโยนของเด็กสาว
บางครั้งก็ออกเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เย็นเยือกเข้ากระดูก อบอวลไปด้วยพลังหยินเข้มข้น ดั่งดอกไม้แห่งความตาย
รูปแบบสองชนิดวนเวียนไปไม่หยุด เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่กลับดูกลมเกลียวกันอย่างยิ่ง
ราวกับว่าดอกไม้นี้ควรจะเบ่งบานเช่นนี้อยู่แล้วถึงจะเป็นธรรมชาติ
……..
“จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งบานแล้ว!”
ตอนนี้เองมีเสียงตื่นเต้นดังมาจากในมวลอากาศ
มิติแยกออก ก่อนจะมีฝ่ามือโลหิตมหึมาสิบกว่าจั้งปรากฏเหนือศีรษะเสิ่นเทียน ฝ่ามือโลหิตกดลงมาคลุมเขา ปิดผนึกทางหนีทั้งหมด หลบไม่ได้เลย
“เทียนเอ๋อร์ระวัง!”
ตอนนี้เองมีแสงสว่างสีเงินคลุมตัวเสิ่นเทียนไว้
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่กระตุ้นอาวุธอริยะกระจกฐานหยกให้คุ้มกันเสิ่นเทียน จะได้ไม่บาดเจ็บจากการโจมตีของผู้อริยะลัทธิวิญญาณร้าย
ต้องบอกว่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่สมกับเป็นผู้โดดเด่นในผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพจริงๆ ระดับพลังห่างจากระดับฝ่าด่านเคราะห์เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
ประกอบกับมีอาวุธอริยะกระจกฐานหยกอยู่ในมือ จึงมีกำลังรบมากพอจะต้านผู้อริยะได้หลายกระบวนท่า
นี่นับว่าหาได้ยากมาก ถึงอย่างไรผู้อริยะกับไม่ใช่ผู้อริยะก็คนละความหมายกันเลย กำลังรบต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
ฝ่ามือโลหิตกระแทกใส่แสงสีเงินอย่างแรง ทำให้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่หน้ามืดลงเล็กน้อย กลิ่นอายพลังรอบตัวเกิดคลื่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง
“ลอบจู่โจมเป็นการกระทำของคนต่ำช้า เจ้าคู่ควรกับคำว่าผู้อริยะหรือ”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงแค่นเสียงขึ้นจมูก ดาบใหญ่ในมือระเบิดปราณดาบเปลวไฟร้อยจั้ง ช่วงที่กวาดประกายคมไปยังเหมือนกับมีขนนกไฟนับหมื่นปลิวว่อน
ชิ้ง~
ปราณดาบทรงพลังพุ่งขึ้นฟ้า ประกายคมผ่านไปที่ใด มวลอากาศจะระเบิดตรงนั้น
มิติสีดำน่าสะพรึงลากตามคมดาบ ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็ฟันใส่ศีรษะคนนั้น
ฝ่ามือโลหิตปาดใส่ดาบใหญ่ ปราณดาบกับไอโลหิตหายไปอย่างเร็วไว สุดท้ายทั้งสองก็ระเบิดพร้อมกัน
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงสมกับเป็นสุดยอดผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ การโจมตีและป้องกันไม่ด้อยไปกว่าผู้อริยะในเงามืดเลย
หากมีเพียงผู้อริยะลอบโจมตีคนเดียวก็อาจจะทำอะไรพวกนางสองคนไม่ได้จริงๆ
ทว่าตอนนี้เองมีผู้อริยะอีกสองคนทะลวงมิติมา ยืนข้างผู้อริยะลัทธิวิญญาณร้ายคนแรก
“ฮิๆ ชีซาเจ้านี่ไม่ไหวเลย! แค่เด็กหญิงน้อยน่ารักสองคนยังจัดการไม่ได้”
“พูดแดกดันให้มันน้อยๆ หน่อย นางสองคนนี่มีอาวุธอริยะ คิดว่าพวกเศรษฐีแดนศักดิ์สิทธิ์สมควรตายพวกนี้รับมือง่ายนักรึไง”
“มีอาวุธอริยะแล้วอย่างไร กระจกฐานหยก ดาบหงส์เพลิง บัวแดงไฟกรรม อาวุธอริยะสามชิ้นพอดี พวกเราสามคนร่วมมือกัน ฆ่าพวกนางแล้วมาแบ่งกัน”
เพิ่งเอ่ยจบ ผู้อริยะสามคนต่างระเบิดพลังล้นฟ้าออกมา
มีโซ่แห่งลำดับกฎเกณฑ์ปล่อยมาจากตัวพวกเขาสามคน เปล่งประกายเซียน หลอมรวมเข้าไปในอากาศ
ไม่นาน เขตแดนอริยะมหึมาก็ล้อมผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงและเสิ่นเทียนไว้ข้างใน
นี่คือพลังของผู้อริยะ ผู้อริยะทุกคนจะมีการตระหนักพลังแห่งกฎของตนเอง ขณะเดียวกันยังเพิ่มการควบคุมมิติรอบตัวให้แกร่งขึ้นไปอีกขั้นได้
และพลังการควบคุมมิตินี้ถูกเรียกว่า ‘เขตแดนอริยะ’ การสู้กับศัตรูในเขตแดนอริยะของตน จะได้เปรียบอย่างมหาศาล
และสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ผู้อริยะสามคนจากลัทธิวิญญาณร้ายชำนาญวิชาผสานรวมบางอย่าง รวมเขตแดนอริยะของทุกคนเข้าด้วยกัน เพิ่มอานุภาพมากขึ้นไปอีก
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงกระตุ้นอาวุธอริยะดาบหงส์เพลิงในมืออย่างเต็มที่ ก่อนฟันใส่เขตแดนอริยะ ก็ยังทำได้แค่ให้เขตแดนอริยะเกิดคลื่นกระเพื่อม
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย เขตแดนอริยะซาโพ่หลางนี่คือเขตแดนอริยะที่รวมกันของเราสามคน ต่อให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มาก็อาจจะทำลายไม่ได้ กับอีแค่ยัยเด็กระดับหลอมรวมเทพอย่างเจ้า ยอมถูกจับเสียเถอะ!”
เสียงแหบแห้งดังขึ้น ผู้อริยะชุดคลุมโลหิตหนึ่งในนั้นมองผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่เชิงเย้าหยอก “หญิงเซียนระดับสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก เป็นเตาหลอมชั้นเลิศไว้ใช้สูบกินจริงๆ วันนี้ข้าทันหลางถือว่ามีโชคแล้ว เอานางนี่ให้ข้า แม่เสือแก่จากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ให้พวกเจ้า ไม่มีปัญหานะ!”
แม่เสือแก่รึ
สารเลว กล้าดูถูกข้าเช่นนี้เชียวรึ!
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงโกรธจนไฟลุกท่วม บัวแดงไฟกรรมคลุมศีรษะ เผามวลอากาศแหลกลาญ
ภาพปรากฏการณ์วิหคชาดผลาญแปดทิศมหึมาลากผ่านผืนฟ้า ดาบใหญ่ในมือผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงเหมือนคืนชีพขึ้นมา ส่งเสียงหงส์ทะลวงเมฆทลายหินผา
“จงแหลก!”
ปราณดาบฟันทะลวงเมฆ ฟันใส่เขตแดนอริยะอย่างรุนแรง
สามผู้อริยะทำหน้าเย้ยหยัน กับอีแค่ระดับหลอมรวมเทพตัวเล็กๆ ยังคิดจะทำลายเขตแดนอริยะรวมของผู้อริยะ ช่างไม่รู้จัก…
กึก~
ทว่าตอนนี้เองสามผู้อริยะหน้าเปลี่ยนไป
เขตแดนอริยะสีโลหิตแข็งแกร่งนั้นเกิดรอยร้าวขึ้นมา ก่อนที่รอยร้าวจะลุกลามไปด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน สุดท้ายก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
นี่เป็นไปได้อย่างไร!
ผู้อริยะสามคนยังไม่ทันตกใจก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากสวรรค์เก้าชั้น “ปราบมารพิทักษ์คุณธรรม คลำทองยึดทรัพย์ ใครกล้าแย่งกับข้า!
เทียนเอ๋อร์ ศิษย์น้องหญิงตันอู่ ศิษย์น้องหญิงบัวแดง พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าพาทุกคนมาช่วยพวกเจ้าแล้ว!”
เมื่อเอ่ยจบ ก็มีนักพรตชราสวมชุดเซียนยันต์แปดทิศดูสุขภาพแข็งแรงลงมาจากบนฟ้า
กล้ามเนื้อทั้งตัวเขาปูดขึ้น เปลวไฟสีมรกตสว่างจ้าพุ่งขึ้นมาจากศีรษะ
กระบองยาวสีทองในมือหนักดั่งภูเขาไท่ซาน ยืดยาวขึ้นตามสายลม
ทันใดนั้นเงากระบองไม่มีที่สิ้นสุดก็สาดลงมา
“หนึ่งกระบองยันฟ้าแห่งกระบองตามใจนึก!
พบรูปักเข็มแห่งกระบองตามใจนึก!
ฟาดมังกรทองแห่งกระบองตามใจนึก!
พลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรแห่งกระบองตามใจนึก!
โค่นล้างพันทัพแห่งกระบองตามใจนึก!
หนึ่งทะลวงต่อเนื่องแห่งกระบองตามใจนึก!
หนึ่งรอยรั่วดั่งน้ำหลากแห่งกระบองตามใจนึก!”
……….
นักพรตชรากวัดแกว่งกระบองเทพทองคำในมือออกมาเป็นเงากระบองเต็มฟ้า
ทุกกระบวนท่ากวนมวลอากาศไม่มีสิ้นสุด ทำให้เขตแดนอริยะที่เกิดรอยร้าวอยู่แล้วระเบิดออกทันที
ทุกกระบองของเขาฟาดใส่ดาบยาวในมือผู้อริยะทันหลาง บีบให้เขาถอยไปเรื่อยๆ กดดันอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์
ใช้กายเนื้อแห่งผู้สูงศักดิ์สวรรค์สู้กับผู้อริยะ ยังกดดันผู้อริยะได้ถึงขนาดนี้
ฉู่หรงเหอในตอนนี้เปล่งประกายแสงหมื่นจั้ง!
เมื่อเห็นฉู่หรงเหอที่อยู่กลางไฟประหลาดสีมรกตแล้ว ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่เคลิบเคลิ้มไปทีละนิด
ศิษย์พี่ฉู่เหอยังคงองอาจเกรียงไกรเหมือนในตอนนั้นจริงๆ ทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นโครมคราม
อีกทั้งกระบองของศิษย์พี่ฉู่เหอยังร้ายกาจมาก ทำให้ใครเห็นก็รู้สึกปลอดภัย จะว่าไปเขาคงตั้งใจมาช่วยข้ากระมัง!
เมื่อคิดได้ดังนั้น แม้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่จะเป็นหญิงสูงวัยพันกว่าปี แต่ก็ยังอดหัวใจเต้นระรัวไม่ได้
“ชีซา โพ่จวิน พวกเจ้ามัวยืนดูอะไร เข้ามาช่วยสิ!”
หลังโดนฟาดอีกกระบอง ผู้อริยะทันหลางปลิวออกไป หลังศีรษะมีซาลาเปาลูกใหญ่นูนออกมาชัดเจน แม้แต่สติยังพร่าเลือน
เขาไม่กล้ายึดมั่นในศักดิ์ศรีของผู้อริยะอีก เพราะตอนนี้เขามีความคิดน่ากลัวอย่างหนึ่งในใจ
ขืนสู้ต่อไป เขา…อาจจะตายจริงๆ ก็ได้!
เจ้าบัวมรกตนี่…แข็งแกร่งจริงๆ
…………………………………..