บทที่ 271 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (1)
“สุราดอกบ๊วยชั้นเลิศหมักบนเขา! ไม่เข้มข้นไม่เอาเงิน!”
“ปลาย่างจ้า ปลาย่างหอมๆ จ้า!”
“เอารากบัวต้มสอดไส้ข้าวเหนียวไหมเจ้าคะ นายท่านเอาสักจานหรือไม่ แค่เก้าเหวิน จานละเก้าเหวินเท่านั้น!”
ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนถนนขายของกินเล่นที่แขวนโคมไฟไว้อย่างคึกครื้น
หลี่ซุ่นซีเดินตามบุรุษผมขาวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝือและจนปัญญา
บุรุษผมขาวที่เดินอยู่ด้านหน้าเขา มีรอยกรีดรอยหนึ่งบนหน้าผาก ดวงตาอ่อนโยนลุ่มลึก ไม่มีความดุร้ายแม้แต่น้อย เขาใส่เสื้อนักศึกษาที่ซักจนขาว แขนเสื้อกว้างที่พัดพลิ้วทำให้มีบุคลิกของบัณฑิตตกอับอยู่หลายส่วน
“ไปนั่งกันในสถานที่ด้านหน้าเถอะ” บุรุษผมขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ภายนอกเขามีอายุไม่มากนัก เพียงแค่สามสี่สิบปี แต่ตอนพูดจากลับเหมือนมีประสบการณ์โชกโชน ไม่แตกต่างกับชายชราอายุเจ็ดแปดสิบปีมากนัก
หลี่ซุ่นซีจะพูดอะไรได้ สหายร่วมเป็นร่วมตายตกอยู่ในมืออีกฝ่าย เขาไร้ความสามารถต่อต้านโดยสิ้นเชิง
แค่มองจากภายนอกเกรงว่าจะไม่มีใครนึกออกว่า บุรุษวัยกลางคนผมขาวท่าทางทรงภูมิปัญญาตรงหน้าผู้นี้คือลัวซีหมู่ ผู้บัญชาการใหญ่ทัพมารในปัจจุบัน
ทั้งสองเดินตามกัน เข้าไปในร้านสุราที่ชื่อว่าสุราบ่มนาน ลูกค้าจากทั่วทุกสารทิศนั่งอย่างไม่เป็นระเบียบกันด้านใน เสียงตะโกนโอ้อวดประจบประแจงดังไม่ขาดหู
ลัวซีหมู่ให้คนยกสุราดำหมักสิบปีกาหนึ่งขึ้นโต๊ะ จอกสุราสีเหลืองเข้มขนาดเล็กสองจอกถูกวางไว้ด้านหน้าแต่ละคน
จากนั้นเขาก็ยกกาสุรารินให้หลี่ซุ่นซีจอกหนึ่งอย่างช่ำชอง
“ความจริงข้าเลื่อมใสมนุษย์เช่นพวกเจ้ายิ่ง” ลัวซีหมู่รินสุราให้ตัวเองหนึ่งจอกเช่นกัน ก่อนจะยกขึ้นจิบเบาๆ
“พวกเจ้าพัฒนาเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย การเดินทาง ไปจนถึงการสันทนาการได้ดียิ่ง” ลัวซีหมู่เอ่ยพลางยิ้มบาง “บ้านเกิดของข้าเป็นหนองบึงมืดครึ้มไร้แสงอาทิตย์ ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนอายุสองร้อยปี ก็ไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์ ทุกๆ วันได้แต่ดิ้นรนเข่นฆ่าเพื่อเอาตัวรอด เทียบกันแล้ว พวกเจ้าช่างโชคดีจริงๆ”
“ใต้เท้าผู้บัญชาการใหญ่ หรือว่าเผ่ามารทั้งหมดจะโดดเดี่ยวเดียวดายแบบนี้” หลี่ซุ่นซีถามเสียงแผ่ว ความจริงเขาไม่ต้องกระซิบก็ได้
ลัวซีหมู่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ทัพมาร ย่อมมีสนามพลังเร้นลับหลากหลายชนิด วนเวียนอยู่รอบตัว ต่อให้เขาพูดคำสำคัญของเผ่ามารออกมาเสียงดัง ก็จะถูกสนามพลังกั้นไว้จนไม่มีใครได้ยิน
“ถ้าใช้คำพูดของมนุษย์เช่นพวกเจ้าก็ใช่ ยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งเดียวดาย ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ลัวซีหมู่ถอนใจ
“ตอนแรกพวกเราไม่มีแนวคิดอย่างเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ภายหลังค่อยมีการแบ่งว่าพวกมีหนามอยู่ด้วยกัน พวกมีขนอยู่ด้วยกัน พวกรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกันอยู่ด้วยกัน แต่ในความจริงแล้วพวกเขายังคงเป็นปัจเจกที่เดียวดาย ปัจเจกที่มีสติปัญญาต่างก็ต่อสู้เพื่อความแข็งแกร่งและการอยู่รอดของตัวเอง”
หลี่ซุ่นซีเว้นเล็กน้อย “อย่างนั้นใต้เท้าผู้บัญชาการใหญ่ บอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่า ทำไมครั้งนี้ถึงเลือกต้าซ่งเป็นจุดแตกหัก”
ลัวซีหมู่ยิ้มเฉิดฉัน
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ต้าซ่ง ทางรัฐมหาเกียรติก็มีจุดแตกหักเหมือนกัน ความละโมบเป็นสันดานของพวกเรา คิดจะยึดครองสิ่งที่ดีกว่าเดิมทั้งหมดและกลืนกินสังหารผู้อ่อนแอทุกคน นี่เป็นความต้องการทางสรีระวิทยาพื้นฐานของเผ่ามารเช่นพวกเรา”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอบังอาจถามใต้เท้าผู้บัญชาการใหญ่…ท่านเก็บข้าไว้ข้างตัวโดยไม่ฆ่า…ที่แท้เพราะอะไรกันแน่”” หลี่ซุ่นซีถามอีกครั้ง
ลัวซีหมู่พลันหัวเราะ ยื่นมืออกมาป้องหู
“ฟังสิ…เจ้าได้ยินอะไรในสายลมของที่นี่ไหม”
หลี่ซุ่นซีงุนงงเล็กน้อย กำลังจะตอบ ทันใดนั้น ก็เห็นลัวซีหมู่ยื่นนิ้วชี้ออกมาแตะหน้าผากของตนเบาๆ
หวึ่ง!
ศีรษะของเขาชาดิกและสั่นไหว กระแสปราณเย็นเยียบนับไม่ถ้วนทะลักเข้าสู่สมอง สติและสายตาเริ่มพร่าเลือน
ตูม!
พริบตานั้นหยกลี้ลับพลันสาดแสงสีขาวในร่างกายของเขา ปฏิกิริยาของพลังงานอันรุนแรงทำให้เขาหน้ามืด แล้วสิ้นสติไปในทันที
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ หลี่ซุ่นซีฟื้นขึ้นมา สติค่อยๆ กลับคืน
‘ที่นี่…คือที่ไหน…’ หนังตาเขากระตุก ลืมตาขึ้นช้าๆ
เลือด!
สิ่งที่เห็นล้วนเป็นเลือด!
หลี่ซุ่นซีตกใจกลัว ชนโต๊ะเก้าอี้กระเด็นแล้วลุกขึ้น โต๊ะที่แตกหักล้มลงอยู่บนพื้น แหลกสลายเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน
ในร้านสุราว่างเปล่าไร้ผู้คน มีแต่เลือดที่จับตัวจนกลายเป็นพรม
เลือดสีแดงก่ำปกคลุมพื้น ผนัง และเพดานของร้านสุรา แมลงวันหัวแดงจำนวนมากจับกลุ่มกัน บินไปบินมาพลางส่งเสียงหึ่งๆ น่าขยะแขยง
‘ที่…ที่นี่คือ…!?’ หลี่ซุ่นซีหวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อก่อนหน้า ความรู้สึกเหมือนตอนเขาใช้หยกลี้ลับในยามปกติ
‘ที่นี่คือร้านสุราใช่หรือไม่ ร้านสุราที่ข้ากับลัวซีหมู่ ผู้บัญชาการใหญ่แห่งทัพมารดื่มสุราด้วยกันใช่หรือไม่’ เขาจำเครื่องเรือนที่คุ้นเคยตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
หลี่ซุ่นซีที่จิตใจสับสนเดินออกจากร้านสุรา เงยหน้าขึ้นมองไป
รอบๆ ตัวล้วนเป็นสิ่งที่ผุพัง ทรุดโทรม และสีแดงก่ำ
ซากปรักหักพัง แขนขาและชิ้นเนื้อที่เน่าเปื่อย ภูเขาย่อมๆ ที่เกิดจากซากศพมากองสุมรวมกัน เข้าสู่คลองจักษุ ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ
ไม่ว่ามนุษย์หรือมาร
กรวยสามเหลี่ยมขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่งหมุนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือศีรษะ นั่นเป็นสิ่งก่อสร้างประหลาดขนาดมหึมาที่เกิดจากการเอาศีรษะคนจำนวนไม่ถ้วนมากองรวมกัน
หยกลี้ลับหมุนเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ในตัวของหลี่ซุ่นซี กระแสข้อมูลนับไม่ถ้วนไหลเข้าสู่สมองของเขา
‘ที่นี่…คือเมืองกระดิ่งขาวในอีกสองร้อยปีให้หลังหรือ’ หลังจากข้อมูลไหลเข้ามา เขาก็รู้อย่างรวดเร็วว่าที่นี่คือเมืองกระดิ่งขาวที่เขาอยู่มาตลอดในช่วงเวลานี้
พีธีเลือด ประตูเลือดเนื้อ บ่อเลือดหมื่นมาร วิญญาณมารดวงที่สาม…ข้อมูลชุดหนึ่งทำให้สมองของเขาเหมือนกำลังจะระเบิด ปวดหัวแทบแตก
“เจ้าเห็นอะไร” อยู่ๆ เสียงที่เหมือนระฆังก็ทะลุเข้าสมองเขา แล้วสะกดทุกอย่างในพริบตา ทำให้หลี่ซุ่นซีตัวสั่น หลุดออกจากสภาพเจ็บปวดไร้หนทางช่วยเหลือนั้นได้
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นอย่างที่เห็นในตอนแรกสุด ร้านสุราชื่อสุราบ่มนานยังคงเสียงดังเซ็งแซ่ ผู้บัญชาการใหญ่ลัวซีหมู่ ยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าเขาและจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเห็นอะไร” ลัวซีหมู่ถามอีกครั้ง
หลี่ซุ่นซีอ้าปากอ้ำๆ อึ้งๆ กลับพูดอะไรไม่ออก เขารู้ว่าเมื่อครู่ลัวซีหมู่ มอบพลังงานจำนวนมากให้เขากับหยกลี้ลับเพื่อให้เขาเห็นภาพในอีกสองร้อยปีให้หลัง
ความเงียบของเขาทำให้ลัวซีหมู่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
“เอาเถอะ ไม่ต้องบอกข้าก็พอจะเดาออก สุดท้ายพวกเราชนะกระมัง”
หลี่ซุ่นซีเงียบงันไม่พูดจา
เมืองกระดิ่งขาวรวมถึงหลายๆ เมืองที่อยู่ใกล้ๆ ถูกยึดเป็นดินแดนแห่งความตาย วิญญาณมารดวงที่สามถือกำเนิด สำนักล่มสลาย ตระกูลซั่งหยางล่มสลาย ต้าซ่งเสียหายสาหัส
แผ่นดินอันรุ่งเรืองผืนนี้จะกลายเป็นสถานที่ ที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะถูกทำลายในอีกสองร้อยปีให้หลัง อาณาเขตผืนนี้จะค่อยๆ มุ่งสู่ความย่อยยับทีละก้าวๆ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงในเรือนสุดประจิม
“มา ดื่มอีกจอก” ลัวซีหมู่ ยิ้มพร้อมกับชูจอกขึ้น
หลี่ซุ่นซีมองรอยยิ้มของอีกฝ่าย ไม่อยากแตะต้องสุราแม้แต่น้อย เขาอยากจะไปแจ้งเรือนสุดประจิม เพื่อแก้ไขทุกสิ่ง แต่เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางให้เขาไป
“ได้ยินหรือไม่ว่าคนรอบๆ กำลังคุยอะไรกัน” ลัวซีหมู่ชี้โต๊ะสุราที่อยู่รอบๆ ตัว
หลี่ซุ่นซีอดมองคนอื่นๆ ไม่ได้ เสียงมากมายส่งมาเข้าหูเขาไม่ขาดสาย ล้วนเป็นเรื่องประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
คนหายสาบสูญ คนบ้ารวมตัวกัน เงาที่ขยับได้ รวมถึงมือปราบและทหารที่ไล่สืบไปทั่วอย่างร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ
โต๊ะในร้านสุราสามโต๊ะจะมีสักโต๊ะหนึ่งที่คนคุยกันถึงหัวข้อเดียวกันนี้ บรรยากาศในเมืองตึงเครียดจนทำให้คนหายใจไม่ออก
ผ่านไปทุกช่วงเวลาหนึ่ง ด้านนอกจะมีทหารลาดตระเวนเข้าร้านมาถามไถ่ตรวจสอบ ในร้านสุราไม่ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ที่บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ด่าทอเหมือนยามปกติ ไม่มีทหารรับจ้างและผีสุราหยอกล้อเด็กสาวที่คอยยกสุรามาให้ และไม่เห็นร่องรอยคุณชายบ้านรวยที่ยามปกติจะมาสุมหัวกันที่นี่
หลี่ซุ่นซีนั่งเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ ยากจะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เมืองกระดิ่งขาวที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ จะกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย และกลายเป็นโถงสวรรค์อันสิ้นหวังที่ให้กำเนิดมารในอีกสองร้อยปีให้หลัง
ตระกูลซั่งหยางจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ในมหันตภัยครั้งนี้ ร้อยเส้นสายก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปด้วยเช่นกัน จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือการเปลี่ยนแปลงในเรือนสุดประจิมที่กำลังจะมาถึง
“ดื่มสุรา” ลัวซีหมู่เอ่ยยิ้มๆ
…
จ่านหงเซิงเดินกะโผลกกะเผลกออกจากถ้ำ พอสัมผัสได้ถึงหางที่หดเข้าไปในร่างอย่างอธิบายไม่ถูก ก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ลู่เซิ่งใช้ขาโต๊ะของโต๊ะไม้ สั่นสะเทือนกล้ามเนื้อตรงจุดซ่อนเร้นและทรวงอกของนาง ด้วยความแรงเหมือนเส้นด้ายผ่านเสื้อผ้าที่กั้นเอาไว้ หลังจากปรับเล็กน้อย ก็ถ่ายทอดทักษะการหดกระดูกให้นางได้สำเร็จ
สามารถเก็บหางที่กลายพันธุ์นี้เข้าไปในร่างได้แล้ว เพียงแต่เมื่อจ่านหงเซิงนึกถึงการกระทำด้วยความวู่วามก่อนหน้านี้ของตนเอง ก็หน้าแดงเล็กน้อย เกิดความอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
ลู่เซิ่งเดินตามออกมาจากในถ้ำ
“กลับไปตั้งใจฝึกฝนให้ดี เดี๋ยวนานไปก็จะเป็นธรรมชาติเอง ไม่มีอะไรต้องกลัว ถ้าหากยังกลัวอีก ก็ไปหาพวกสตรีกางร่มอิงอิง พวกนางมีสภาพแบบนี้เหมือนกัน”
เขาบอกวิธีการติดต่อกับพวกสตรีกางร่มให้จ่านหงเซิงอย่างละเอียด จากนั้นก็กำชับนางว่าห้ามแพร่งพราย ก่อนจะไล่คนไป
หลังจ่านหงเซิงรู้ว่ายังมีพวกเดียวกัน ก็แทบทนรอไปพบพวกสตรีกางร่มไม่ไหว นางในตอนนี้ทำใจกับความจริงได้แล้ว รู้ว่า ไม่ว่าตนจะทำอย่างไร ก็สลัดจากการควบคุมของลู่เซิ่งไม่พ้น เช่นนั้นก็ถือว่าตัวเองเป็นบริวารของลู่เซิ่งเสีย ถึงอย่างไรการคบหากับคนผู้นี้ก็ไม่นับว่าลำบากอะไร
หลังจากปลงตกแล้ว จิตใจนางก็ปลอดโปร่งขึ้นมา
ฮ่าห์ๆ!
มีเสียงฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของศิษย์จำนวนมาก ดังมาจากบนลานด้านล่าง จ่านหงเซิงกวาดตามอง ไม่นานก็เจอพวกอิงอิงสตรีกางร่มที่ยืนอยู่ด้านใน
ต่อให้จะแย่อย่างไร นางก็เป็นศิษย์สำนัก อีกทั้งยังมีพลังฝึกปรือสูงกว่าระดับทวิลักษณ์ แม้อยูไกลก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่เหมือนกันบนร่างพวกสวีชุยและนิ่งซาน
นางรีบเร่งลงบันไดพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังลานกว้างหลังจากเจอเป้าหมาย
ลู่เซิ่งส่งจ่านหงเซิงเรียบร้อยแล้ว ก็มองดูศิษย์สำนักมารกำเนิดที่กำลังฝึกฝนทักษะการต่อสู้อยู่บนลานกว้าง
ความจริงเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ภาพนี้ดูเหมือนเจริญรุ่งเรือง แต่แท้จริงแล้วเหมือนหอห้องว่างเปล่าและจอกแหนไร้ราก ถึงอย่างไรวิชาลับก็ฝึกยาก จำเป็นต้องใช้เวลามากมายในการฝึกฝนและสั่งสม ถ้าใช้เวลาไม่ถึงสิบกว่าปี ศิษย์เหล่านี้ก็ไม่อาจสำเร็จ
เขากวาดตามองรอบๆ เห็นเหอเซียงจื่อกับศิษย์น้องสองคนกำลังสอนเด็กชายและเด็กหญิงหลายคนร่วมกัน
เด็กกำพร้าที่เหลือตัวคนเดียวเพราะครอบครัวตายไปในสงครามเหล่านี้ จึงเป็นพลังหลักที่แท้จริงของสำนักมารกำเนิดในภายหลัง
‘ในโลกใบนี้ อาวุธเทพศัสตรามารถือกำเนิดและปรากฏผ่านช่องทางลึกลับ อีกทั้งยังแหลกสลายและถูกทำลายในการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง’ ลู่เซิ่งเคยอ่านเจอในคัมภีร์ว่ามีคนโชคดีได้รับอาวุธเทพศัสตรามารโดยบังเอิญ จากนั้นก็กลายเป็นตระกูลขุนนาง และมีบางคนที่ครอบครัวถูกทำลายเนื่องจากไม่รู้จักของล้ำค่า ทั้งๆ ที่ตัวเองมีศักยภาพของสายเลือดตระกุลขุนนาง กลับไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร จนถูกล้างโคตรดั่งที่กล่าวว่าผิดเพราะครอบครองหยก
ก่อนหน้านี้ตอนที่เหอเซียงจื่อพูดกับเขา นางเคยบอกว่าเด็กที่รับไว้เที่ยวนี้มีชาติกำเนิดแบบนี้
……………………………………….