ตอนที่ 90 ตายตาหลับ!

สุขสันต์วันเปิดร้านใหม่ ช่างปลื้มปีติยินดี

สำหรับโจวเจ๋อแล้ว การตกแต่งและปรับปรุงห้องเช่ารวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของร้านใหม่เท่าที่จะนึกออกทั้งหมด อันที่จริงแล้วนั้นโจวเจ๋อไม่ได้เป็นคนออกเลยสักหยวน

สวี่ชิงหล่างออกให้ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเป็นเงินที่แลกมาจากข้าวของในหลุมศพของไป๋อิงอิง

แน่นอนว่า ต่อไปสวี่ชิงหล่างเตรียมจะ ‘กึ่งเกษียณ’ แล้ว เพียงวางแผนที่จะทำกาแฟและทำขนมขายในร้านหนังสือพอให้ชีวิตดำเนินผ่านไปแบบสุขภาพจิตดี

เรื่องการหาเงิน ก็อาศัยโจวเจ๋อก็แล้วกัน

โชคดีที่ทุกคนไม่สงสัยในความสามารถในการหาเงินของโจวเจ๋อมากนัก ร้านใหม่ตั้งอยู่ที่ถนนหนานต้า ผู้คนสัญจรหนาแน่นและก็น่าจะมีผีสัญจรไม่น้อยเช่นกัน

ตราบใดที่เถ้าแก่โจวตั้งใจทำงานเต็มที่ พร้อมจะสานต่อ หนึ่งไม่กลัวความลำบากและสองไม่กลัวนอนดึก ขยันส่งผีตามบ้านเหล่านี้ไปลงนรกไม่หยุดไม่หย่อนและยอมรับการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นคนใหม่อีกครั้ง การที่จะหาเงินกระดาษเป็นกอบเป็นกำไม่เป็นปัญหาใหญ่เลย

จนถึงตอนนั้นทุกคนจะนั่งยองๆ เผาเงินกระดาษที่หน้าประตูร้านหนังสือ จากนั้นรอให้ใครบางคนทำกระเป๋าเงินหล่นก็ได้แล้ว และแม้แต่ค่าธรรมเนียมที่ไปธนาคารก็ยังยกเว้นอีกด้วย

โทนสีโดยรวมของร้านหนังสือมีความละมุนและสีคมเข้ม ชั้นหนังสือด้านในไม่ได้วางติดกันแน่นจนเกินไป หนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกใหม่ค่อนข้างเร็วจะปรับให้แยกเรียงเป็นแถวเดียว ประเภทนิยายจะอยู่อีกแถวหนึ่ง และหนังสือจริงจังอื่นๆ จะอยู่ในพื้นที่แยกต่างหาก

สำหรับสิ่งของประเภทอุปกรณ์ช่วยสอน โจวเจ๋อไม่ได้ซื้อเข้ามาอีกแล้ว

ร้านหนังสือมีชั้นสอง ที่นั่นถูกกั้นไว้เป็นสามห้องและมีหนึ่งห้องน้ำ ถือว่าเป็นพื้นที่ใช้สอยของทุกคน

วันแรกของการเปิดกิจการ ไม่มีพลุดอกไม้ไฟ ไม่มีกระเช้าดอกไม้ ทุกอย่างดูเรียบง่ายและสงบมาก

นักพรตเฒ่าและไป๋อิงอิงช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาดอย่างรู้หน้าที่ และโจวเจ๋อนั่งจิบค็อกเทลที่สวี่ชิงหล่างเพิ่งผสมมาให้จากหลังบาร์

หลังจิบไปหนึ่งอึกแล้ววางแก้วไวน์ลง เจ้าลิงน้อยหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแอบจิบไปหนึ่งอึก จากนั้นรู้สึกว่าไม่อร่อยสุดๆ ไปเลย แลบลิ้นแหยๆ ไม่หยุด

ถังซืออยู่ในห้องนอนชั้นบนคนเดียว เธอชอบอยู่แต่ในบ้านมาก ปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องอะไรละก็ เธอสามารถอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาทั้งวันยังได้และเธอก็ไม่รู้สึกเบื่อด้วย

เมื่อเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยและเตรียมพร้อมที่จะต้อนรับลูกค้าจริงๆ นั้น ก็เป็นเวลาพลบค่ำและท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

ไป๋อิงอิงถือแผ่นป้ายไว้ในมือข้างหนึ่งเอาป้าย ‘ร้านหนังสือยามวิกาล’ ขึ้นไปแขวนแล้วกระโดดลงมา หลังจากยืนยันว่าแขวนตรงแล้วก็ปรบมือและยิ้มอย่างพึงพอใจ

จากนั้น นางก็ทำตามคำสั่งของเถ้าแก่ นำแผ่นป้ายคำโคลงคู่ ‘ลองฟังสักนิดดูก่อนเถิด’ และ ‘อย่างที่ฉันได้ยินมาเช่นนี้’ สองแผ่นนี้แยกกันยกขึ้นแขวนยึดตรึงไว้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

นี่เป็นป้ายที่เอาจากร้านเก่ากลับมาด้วย

ไป๋อิงอิงเคยถามความหมายของ ‘ลองฟังสักนิดดูก่อนเถิด’ และ ‘อย่างที่ฉันได้ยินมาเช่นนี้’ กับโจวเจ๋อมาก่อน โจวเจ๋อก็อธิบายตามเรื่องราวที่ตัวเองได้ยินมาอย่างง่ายๆ และบอกเล่าให้ทุกคนฟัง

ไม่ได้หมายถึงมุมมองของตัวเอง ทุกคนก็แค่ฟังกันเพลินๆ ไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง

ที่ร้านหนังสือทำยังคงเป็นธุรกิจกับคนตายส่วนธุรกิจกับคนเป็นถือว่าเป็นงานเสริมเท่านั้น เพราะจากจุดที่ไม่ไกลจากถนนหนานต้านัก มี ‘ร้านหนังสือทงเฉิง’ อยู่อีกแห่ง เป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่ขายหนังสือเล่มโดยเฉพาะ ถ้าอยากแข่งกับมันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แต่มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย

โจวเจ๋อจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ‘ร้านหนังสือทงเฉิง’ ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวแทนร้านหนังสือที่ทรงอิทธิพลที่สุดในใจชาวทงเฉิง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดหนังสือเล่มถูกกดดันและเจอสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร้านหนังสือทงเฉิงต้องปรับตัวลดขนาดพื้นที่ธุรกิจให้เล็กลง ถ้าเทียบกับสมัยก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าจะดูซอมซ่อกว่ามาก

พูดได้อย่างเดียวว่าความนิยมในการอ่านในโทรศัพท์และบนหน้าจอที่แพร่หลาย ทำให้คนส่วนใหญ่ค่อยๆ ลืมนิสัยรักการอ่านด้วยกระดาษพิมพ์น้ำหมึกไปแล้ว

ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์และมาถูกทางแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรอให้ลูกค้าเดินเข้ามา

ความเป็นจริงนั้น การเปิดให้ลูกค้าเดินเข้ามาก็นับว่าไวมาก เปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงตอนนี้ มีลูกค้ามาหลายกลุ่มแล้ว แต่ทั้งหมดนั้นสั่งกาแฟหรือไม่ก็เครื่องดื่มอื่นๆ นั่งคุยสัพเพเหระตรงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนเป็นทั้งนั้น

เมื่อคนเป็นมา โจวเจ๋อก็ไม่ได้ขยับไปไหนเลย กลับกันกับสวี่ชิงหล่างที่ทั้งทักทายและผสมเครื่องดื่มไม่หยุดไม่หย่อน ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้

เมื่อส่งลูกค้ากลุ่มนี้ออกไปก็เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว สวี่ชิงหล่างจิบน้ำ มองโจวเจ๋อที่ยังคงนั่งโยกไปมาอยู่บนเก้าอี้โยก ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกว่าไม่สมดุลเลย!

“เถ้าแก่โจว ผมคิดว่าเราน่าจะแขวน ‘คนเป็นห้ามเข้าข้างใน’ ไว้อีกป้ายนะ คุณคิดว่าเป็นอย่างไร”

“แล้ววันที่สองพวกเจ้าหน้าที่จากอุตสาหกรรมพาณิชย์ก็บุกมาหาถึงที่” โจวเจ๋อปฏิเสธข้อเสนอของสวี่ชิงหล่างอย่างไม่ลังเล

“แต่ผมรู้สึกเหนื่อยกว่าเปิดร้านบะหมี่อีกนะ” สวี่ชิงหล่างมีสีหน้าเศร้า

ก่อนหน้าที่เขาเปิดร้านบะหมี่ คนที่มากินข้าวที่ร้านจริงๆ นั้นมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคำสั่งซื้อกลับบ้านทั้งนั้น ถ้าเขาอยากพักผ่อนก็เพียงแค่ปิดแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารไปเลย แต่ตอนนี้เมื่อลูกค้าเข้ามาแล้ว คุณจะไล่ลูกค้ากลับไปได้เหรอ

“ดูสิ ก็มาแล้วนี่ไง”

โจวเจ๋อมองไปยังด้านนอกประตู

ดูเหมือนว่าสาเหตุจะเป็นเพราะทำเลที่ตั้งจริงๆ ธุรกิจจริงๆ จังๆ ของวันนี้ ก็มาไวมากเหมือนกัน

คนที่เข้าประตูมาเป็นหญิงชราคนหนึ่ง ยันพิงไม้เท้าอยู่ ร่างกายซูบผอมดูเหี่ยวแห้งเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างราวกับว่าตายตาไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น

ตัวหญิงชรามีความรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย นี่ก็หมายความว่าจริงๆ แล้วเธอยังคงมีห่วงอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่สามารถไปนรกและก็ไม่ได้ไปเกิดใหม่

แต่ความแค้นของเธอในจุดนี้ยังห่างไกลจากการเป็นผีร้ายอยู่มากโข และเธอยังจัดเป็นผีประเภทที่ ‘ไม่มีพิษภัย’ อีกด้วย

“เตรียมอาหารหน่อย” โจวเจ๋อพูดกับสวี่ชิงหล่าง

ครั้งนี้สวี่ชิงหล่างไม่ได้บ่นลำบากบ่นเหนื่อย อันที่จริงการเตรียมอาหารให้คนที่กำลังจะถูกส่งไปนรกเป็นคำแนะนำที่เขาเสนอออกมาเอง

เขารู้สึกว่าการกระทำในการส่งผีไปยังนรกทันทีของโจวเจ๋อเมื่อก่อนนั้นดูง่ายและมุทะลุไปหน่อย ไม่มีการปรับอารมณ์ก่อนเลยแม้แต่น้อย ดูกระด้างและขาดคุณสมบัติการบริการที่ดี

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแนะนำว่าก่อนที่จะส่งคนไปนรก ให้สั่งอาหารสักมื้อและค่อยส่งคนออกไป ถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะทิ้งเงินกระดาษไว้ให้มากขึ้นก็ได้

มันเหมือนกับหลักการเดียวกับโรงภาพยนตร์ที่ว่านอกจากรายได้มหาศาลจากตั๋วหนังแล้ว ยังมีรายได้มหาศาลจากการขายโค้กและป็อปคอร์นอีกด้วย

อาหารก็เรียบง่ายเช่นกัน หัวไชเท้าแห้งหนึ่งจาน ถั่วลิสงหนึ่งจาน ข้าวปักตะเกียบชามหนึ่ง และเหล้าเหลืองโบราณหนึ่งแก้ว

ล้วนเป็นของสำเร็จรูปทั้งหมด แค่ใส่จานก็เรียบร้อยแล้วไม่ยุ่งยาก

นักพรตเฒ่าวางโต๊ะเล็กๆ และเตรียมม้านั่งตัวเล็กๆ ไว้ และดึงม่านขึ้นเพื่อบดบังจากสายตาภายนอก ไม่เช่นนั้นลูกค้าคนอื่นๆ ที่เข้ามาอาจจะตกใจเมื่อเห็นฉากนี้

ห้องนี้ยังเป็นห้องส่วนตัวขนาดเล็ก ห้องส่วนตัวขนาดเล็กที่เตรียมไว้สำหรับผีโดยเฉพาะ

โจวเจ๋อเดินไปพร้อมกับถ้วยน้ำชาในมือและพูดกับหญิงชราว่า “เชิญครับ”

หญิงชราลังเลเล็กน้อย ดูออกได้ทันทีว่าเธอกลัวเล็กน้อย แต่เธอกลัวโจวเจ๋อยิ่งกว่าอีก ในตอนนี้เธอทำได้เพียงนั่งทั้งที่ตัวสั่นเทา

สวี่ชิงหล่างส่งน้ำตาวัวขวดหนึ่งที่ผสมให้ได้สัดส่วนพอดีกับน้ำยันต์ส่งให้นักพรตเฒ่า นักพรตสัมผัสเข้าที่ดวงตา และมองเห็นหญิงชรา

บอกตามตรงว่า ตั้งแต่ที่ทิ้งร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายมา นักพรตเฒ่าไม่เคยพบเห็นการเปิดประตูต้อนรับผีแบบนี้อีกเลย ชั่วขณะหนึ่ง เขาถอนหายใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเถ้าแก่ที่ยังอยู่ในหรงเฉิง

แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะ

นักพรตเฒ่าได้ส่งการแจ้งเตือนไปยังเพื่อนร่วมกระทู้ของตัวเองในช่องถ่ายทอดสดที่ตัวเองไม่ได้ออกอากาศมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และเขาจะเริ่มการถ่ายทอดสดในช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 1 เมษายน และก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนยี่สิบนาทีหลังวันที่ 31 มีนาคมนั่นเอง

วันนั้นเป็นวันที่เถ้าแก่บอกว่าจะกลับมา

ไป๋อิงอิงก็ยกม้านั่งตัวเล็กเข้ามานั่งด้วยเช่นกัน หญิงชราประหม่าเล็กน้อย ผีดิบหนึ่งตัว ยมฑูตหนึ่งตน นักบำเพ็ญตบะหนึ่งคน เพิ่มนักพรตเฒ่าเข้าไปอีกคน

หญิงชราแสดงเป็นอเล็กซานเดอร์

ความขุ่นเคืองเล็กๆ น้อยๆ ของเธอเมื่ออยู่ภายใต้การรายล้อมไปด้วยหมาป่ากลุ่มนี้ มันไม่น่าพูดถึงเลยจริงๆ

“กินเถอะ กินเสร็จแล้วจะได้เดินทางต่อ”

โจวเจ๋อเร่งเร้า

หญิงชรายิ้ม ก้มหน้าลงและเริ่มลงมือกิน

ก็เหมือนกับเสือที่แสนน่ากลัว แต่เมื่อเสือเผชิญหน้ากับคนเลี้ยงสัตว์ในสวนสัตว์ก็เหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง หลักการเดียวกันเลย

หากหญิงชราออกไปและบังเอิญสบตาคนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เดาว่าอาจทำให้คนตกใจจนป่วยหรือเป็นลมได้ แต่ในเวลานี้ เธอทำได้เพียงกินอย่างเชื่อฟังเท่านั้น

“คุณป้า คุณเป็นอะไรตาย” นักพรตเฒ่าเริ่มถามขึ้นมาในเวลานี้

นักพรตเฒ่าเป็นคนกระตือรือร้นมากคนหนึ่ง แม้จะมีอายุแล้วก็ยิ่งพูดมากตามอายุ

ปกติแล้วเขาก็มักจะคุยกับเจ้าลิงน้อย และบอกว่าตัวเองกำจัดปีศาจและปราบราชาวานรเมื่อห้าร้อยปีก่อนที่ตีนหุบเขาห้านิ้วได้อย่างไร

เจ้าลิงประจบประแจง ตราบใดที่นักพรตเฒ่าซื้อขนมให้ เจ้าลิงสามารถนั่งฟังนักพรตเฒ่าคุยโวได้ตลอดทั้งบ่าย แถมยังโบกไม้โบกมือบ้างเป็นครั้งคราว

“พูดได้เยี่ยมเลย!”

“ซานเพิ่งสือหลี่”

นักพรตเฒ่างุนงง เขารู้ว่าหญิงชราพูดภาษาถิ่นจึงมองไปที่โจวเจ๋อ

“ป่วยตายน่ะ” โจวเจ๋อแปลให้

ภาษาถิ่นทงเฉิงและภาษาจีนกลางแตกต่างกันมากทีเดียว

“คุณป้า ไม่ได้เลยนะ ถึงจะเป็นผีก็อย่าลืมที่จะเรียนรู้สิ เราต้องเรียนภาษาจีนกลางด้วย ไม่อย่างนั้นพอไปถึงนรกแล้ว คุณลองคิดดูนะ ถึงบนเส้นทางสู่นรกมีคนตั้งเยอะตั้งแยะ แต่คุณจะหาใครที่พูดภาษาถิ่นทงเฉิงเป็นมันยากนะ จนถึงตอนนั้นแม้แต่คนคุยเล่นด้วยระหว่างทางก็ไม่มี มันน่าเบื่อจะตายชัก”

นักพรตเตือนด้วยความหวังดี

คุณป้ารู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ทำได้เพียงก้มหน้ากินข้าว

“มีลูกไหมครับ” นักพรตเฒ่าเริ่มถามอีกครั้ง

“อวี๋กั่วโอ๋เท่อ”

นักพรตเฒ่ามองไปที่โจวเจ๋ออีกครั้งสื่อความหมายให้รีบแปลเร็วๆ

“มีลูกสาวหนึ่งคน” สวี่ชิงหล่างแปลให้

“ถ้าอย่างนั้นลูกสาวคุณคงเผาเงินกระดาษให้คุณเยอะมากๆ เลยใช่ไหม” นักพรตเฒ่าถูมือ

เมื่อหญิงชราได้ยินก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี” (สวี่ชิงหล่างแปล)

“ฐานะทางบ้านไม่ดีเหรอ” นักพรตเฒ่าไม่ย่อท้อและพูดต่อ “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเงินกระดาษก็ไม่แพงอยู่ดี ตราบใดที่ลูกคุณยังนึกถึงคุณอยู่ในใจ เงินกระดาษก็จะมีมากขึ้น”

“นอนป่วยเป็นผักอยู่บนเตียง ไม่มีเงินรักษา” (สวี่ชิงหล่างแปล) หญิงชราพูดพลางวางตะเกียบลงและเช็ดน้ำตา

“ช่างน่าสงสาร” นักพรตเฒ่าปาดน้ำตาไปพร้อมกัน

ไป๋อิงอิงเบะปาก ในใจก็รู้สึกรับไม่ได้

“ลูกสาวฉันถามฉันที่เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลว่าจะจ่ายเงินเพื่อรักษาตัวต่อหรือเปล่า ตอนนั้นฉันนอนอยู่บนเตียงไม่สามารถพูดหรือขยับตัวได้เลย เธอร้องไห้และบอกกับฉันว่าถ้าไม่อยากทำการรักษาต่อ ก็แค่กระพริบตา และถ้าฉันไม่กระพริบตา ก็จะขนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีออกมารักษาฉันต่อไป”

“ลูกสาวคนนี้ไม่เลวเลย” นักพรตเฒ่าพูด “คุณทำอย่างไรล่ะ”

“ฉันกะพริบตาน่ะสิ จากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านแล้วก็เสียชีวิตไป” หญิงชราเช็ดน้ำตาต่อ

“มันไม่ง่ายเลย คุณก็ยังคิดเผื่อลูกของคุณด้วย ยิ่งใหญ่มาก มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ลูกของคุณก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนกัน” นักพรตเฒ่าเสียใจตามไปด้วย

ในความเป็นจริง เรื่องพวกนี้มีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อตอนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยระยะสุดท้าย นั่นหมายถึงการทุ่มเงินลงไปอย่างต่อเนื่อง และหลายๆ ครอบครัวก็ไม่สามารถทุ่มเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยวิธีแบบนี้ได้

“คุณป้า คุณยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน” ไป๋อิงอิง

“ผมรินให้อีกแก้ว” สวี่ชิงหล่าง

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นคนรอบๆ ตัวโจวเจ๋อต่างก็พากันน้ำตาซึม โจวเจ๋อก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เขาชี้ไปที่ดวงตาของหญิงชราที่จ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่เริ่มเข้าประตูมาและเอ่ยถาม

“แล้วคุณกระพริบตาได้อย่างไร”

เมื่อหญิงชราได้ยินสิ่งที่ถาม ก็หยุดร้องไห้ ทันใดนั้นก็พูดอย่างดุดัน

“เธอถามฉันว่า

‘แม่คะ หนูขอถามแม่นะ ถ้าแม่ไม่อยากทำการรักษาต่อก็กระพริบตา ถ้าไม่กระพริบตาละก็ หนูจะขนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีออกมารักษาแม่ต่อไป’

จากนั้น รออยู่ห้านาที

จนฉันทนไม่ไหวจริงๆ เลยกระพริบตา

เธอก็เริ่มเช็ดน้ำตาทันทีแล้วพูดว่า ‘ได้ค่ะ แม่คะ หนูเข้าใจความหมายของแม่แล้ว เราจะไม่รักษาต่อแล้ว’”

……………………………………………………….