ตอนที่ 255 เขียวเป็นมันขลับบนหัว

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ปกติกุฏิของฟางเจิ้งเขาจะอยู่เอง หมาป่าเดียวดายจะวิ่งเข้ามาอยู่ด้วยเป็นบางครั้ง ลิงอยู่ในห้องครัว ฟางเจิ้งปูฟูกให้มัน กระรอกมีบ้านเล็กๆ ของตัวเอง ดังนั้นตอนนี้จึงมีแค่ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวที่นอนเกาะอยู่

ฟางเจิ้งเพ่งมอง เห็นมีบางสิ่งกำลังสั่นในความมืดอยู่ข้างๆ นาข้าวผลึก!

“คงไม่ใช่ขโมยมาขโมยข้าวอาตมาหรอกนะ?” ฟางเจิ้งพึมพำ หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นหูตั้งขึ้นโดยพลัน! ขโมยข้าวผลึก แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน? นั่นคือเสบียงอาหารของท่านหมาป่า! ขุดดินเหนือหัวเทพไท่ซุ่ย[1]? รนหาที่ตาย?

คิดถึงตรงนี้หมาป่าเดียวดายวิ่งออกไป ฟางเจิ้งไม่วางใจมันจึงตามไปด้วย สวมรองเท้าข้ามฟาก สวมจีวรขาวจันทร์ ไม่สนลมฝนข้างนอกแม้แต่น้อย เมื่อออกประตูไปก็ดิ่งไปยังนาข้าวผลึก เห็นหมาป่าเดียวดายยืนอึ้งกลางสายฝนไกลๆ ตรงหน้ามันเหมือนมีบางสิ่ง

ฟางเจิ้งเข้าไปใกล้ ฟ้าแลบลงมากลางฟ้า สะท้อนยอดเขาสว่างวาบ ในที่สุดเขาก็เห็นชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร! มันมีสีเขียวมรกต เปล่งแสงเขียวพร่างพรายภายใต้สายฟ้าแลบ! นั่นคือต้นไผ่!

“โอ้พระพุทธองค์ นี่เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหนเอง มันสูงเมตรหนึ่งแล้ว?” ฟางเจิ้งเคยอ่านข้อมูลมาก่อน รู้ว่าหน่อไม้จะเติบโตเร็วที่สุดหลังฝนตก ทั่วไปโตสามเซนติเมตรถือว่าปกติมาก ที่โดดเด่นในนั้นที่โตเมตรกว่าในอึดใจเดียวไม่มีทางเป็นไปได้! แต่ว่าใครเคยเห็นไหมว่าปลูกกลางวัน กลางคืนสูงเมตรกว่า? อีกอย่างเจ้านี่ยังเติบโตขึ้นโดยเห็นได้ด้วยตาเนื้อ!

“ระบบ นายมั่นใจนะว่านี่คือไผ่ ไม่ใช่ไผ่ปีศาจไผ่?” ฟางเจิ้งถาม

น่าเสียดายระบบไม่สนใจเขาเลย

การเติบโตของไผ่หนาวเหนือกว่าที่ฟางเจิ้งจินตนาการ คืนนี้เขานั่งยองดูไผ่ข้างๆ มองมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโตยิ่งหนา สุดท้ายพบว่ามีความหนาเท่าขาคน สูงสิบเมตรกว่า!

“คืนเดียวกลายเป็นต้นไผ่แล้ว?” ฟางเจิ้งอ้าปากกว้าง แม้จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับ ถึงอย่างไรไผ่นี่ก็เติบโตเร็ว ไผ่ทั่วไปสามสิบสี่สิบวันถึงจะโต มิหนำซ้ำยังเป็นสินค้าจากระบบ? นอกจากนี้ข้าวผลึกยังสุกในคืนเดียวได้ ไผ่หนาวย่อมไม่ทิ้งกัน

ส่วนความหนาของไผ่นี่ ฟางเจิ้งรู้สึกตกใจนิดๆ เท่านั้น เพราะทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนก็มีไผ่ที่ชื่อว่าไผ่มังกรยักษ์อยู่ เส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบเซนติเมตร ไผ่หนาวตรงหน้าเทียบกับไผ่มังกรยักษ์ยังหุ่นดีกว่าเล็กน้อย…

ขณะฟางเจิ้งเหม่อลอย พลันรู้สึกว่าใต้เท้ามีบางสิ่งพุ่งมาจากดิน เขารีบขยับออก เป็นไผ่อีกต้นพุ่งออกมาจากดิน แทบเป็นขณะเดียวกันหมาป่าเดียวดายที่นั่งอยู่บนพื้นพลันกระโดดขึ้น หันไปจ้องใต้ก้นด้วยความโกรธ! เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกที่ถูกใครบางลอบระเบิดรูทวารทำให้มันไม่พอใจมาก!

แต่ใต้ก้นเดิมทีที่มันนั่งอยู่เป็นไผ่งอกออกมาอีกต้น

ฟางเจิ้งมองไปรอบๆ พระเจ้า พื้นดินรอบๆ เหมือนจะมีตัวกราวด์ฮอกพากันมุดหัวขึ้นมา!

ฟางเจิ้งถอยหลังไปตามจิตใต้สำนึก ชิดกับไผ่ต้นหนึ่ง แทบเป็นขณะเดียวกัน เขาสัมผัสถึงปฏิกิริยาลุ่มลึกอย่างหนึ่ง สัมผัสได้ว่ารากไผ่หนาวเติบโตไปถึงไหนแล้ว พร้อมกันนั้นยังสัมผัสได้ว่าไผ่หนาวใหม่จะเติบโตตรงไหน แถมเขามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือควบคุมตำแหน่งการเติบโตของไผ่หนาวได้!

เพียงเคลื่อนความคิด รากที่เดิมทีมุดเข้าไปใต้นาข้าวผลึกถอยกลับมา จากนั้นอ้อมนาข้าวผลึกไปเติบโตต่อ ฟางเจิ้งวางแผนว่าจะใช้ไผ่หนาวบังนาข้าวผลึกไว้ อย่างน้อยคนนอกมองแวบแรกจะไม่เห็น ในเวลาเดียวกันเขาควบคุมไผ่หนาวให้เติบโตไปทางวัด ล้อมวัดเอาไว้ และยังวางรากไว้ตามมุมวัด เขาว่าจะใช้ไผ่พวกนี้เป็นเครื่องประดับ และจะได้ไล่ยุงไปในตัวด้วย

สุดท้ายฟางเจิ้งวางคำสั่งกับต้นไผ่หลักไว้ว่าห้ามเติบโตออกนอกภูเขาเอกดรรชนี ถ้าออกไปจะตายทันที มีคำสั่งนี้อยู่ไผ่หนาวเลยเติบโตมั่วซั่วไม่ได้ ไม่อย่างนั้นด้วยความเร็วในการเติบโตอันน่ากลัวของมันแล้ว คาดการณ์ว่าไม่นานจะต้องยึดโลกนี้ได้แน่…นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย

ฟางเจิ้งเก็บความคิดกลับมาก่อนมองไผ่เล็กที่งอกมาทีละต้น จากนั้นตบหัวโล้นร้องขึ้น “เฮ้ย! เกือบลืมไปเลย! เจ้าลิง ลงเขา! ไปยืมจอบบ้านซ่งเอ้อโก่วมา! รีบไปรีบกลับ ช้าจะหักกับข้าวนาย! เจ้าหมาป่านายก็ไปด้วย!”

หมาป่าเดียวดายไม่รู้ว่าฟางเจิ้งจะทำอะไร แต่เห็นเขาจริงจังแบบนี้จึงไม่กล้าล่าช้า รีบวิ่งไปทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งเห็นหมาป่าเดียวดายวิ่งเร็วสุดชีวิต ความเร็วนั้นราวกับสายฟ้าสีเงินพุ่งออกไป! เขาทำหน้าอึ้งๆ ‘นี่คือรถแข่งในหมู่หมาป่าชัดๆ’ จากนั้นตรึกตรองอย่างชั่วร้าย ‘ไม่รู้ว่าถ้าใส่อานเข้าไปจะขี่เป็นยังไง…’

ทว่าฟางเจิ้งก็แค่คิด ถึงกินข้าวผลึก ดื่มน้ำบริสุทธิ์จะปรับเปลี่ยนร่างกายสิ่งมีชีวิตอย่างต่อเนื่อง แต่หมาป่าก็เป็นหมาป่า หัวมันแข็งกระดูกแข็งแต่ช่วงหลังราวกับเต้าหู้ ถ้าเขานั่งบนหลังมันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่ามันจะรับไหวหรือไม่

ฟ้าสว่าง ลิงกวาดวัดอย่างรู้หน้าที่ พอได้ยินเสียงตะโกนจากฟางเจิ้งและเห็นหมาป่าเดียวดายวิ่งลงเขาไปเหมือนลิงโลด แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังตามลงไป

ส่วนฟางเจิ้งโทรศัพท์หาซ่งเอ้อโก่ว

“ยืมจอบ? ได้สิ ให้พวกมันมาเลย ผมจะวางจอบไว้ในลานบ้าน เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ถ้าไม่วางใจให้ผมเอาไปให้เอาไหม?” ซ่งเอ้อโก่วพูด

“ไม่เป็นไร ให้พวกเขาไปเอานั่นแหละ” ฟางเจิ้งปฏิเสธทันที ตอนนี้ต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงฤดูกาลเพาะปลูก

หมู่บ้านเอกดรรชนีต่างกับหมู่บ้านอื่น ตอนนี้หมู่บ้านจำนวนมากต่างตอบรับคำเรียกร้องจากประเทศ เปลี่ยนนาลุ่มให้เป็นนาดอน ไม่ปลูกข้าวนาดำแล้ว แต่ปลูกข้าวโพดทั้งหมด ทว่าชาวบ้านเอกดรรชนียังเลือกปลูกข้าวนาดำต่อไป แต่หมู่บ้านเอกดรรชนีก็มีจุดที่ลำบากเหมือนกัน นั่นคือใต้ดินมีทรายเยอะ ไม่ว่าฝนจะตกมากเพียงใด ไม่นานจะซึมลงใต้ดินหมด การจะกักน้ำบนดินนั้นยากมาก

ดังนั้นแล้วการที่หมู่บ้านเอกดรรชนีจะปลูกข้าวนาดำจะอาศัยแค่ฝนตกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีคนท้องถิ่นคอยสูบน้ำเข้า

ขณะเดียวกันด้วยความที่หมู่บ้านกันดารเกินไป เครื่องยนต์สูบน้ำจึงยังไม่มีทั่วหมู่บ้านเอกดรรชนี ดังนั้นทุกคนจึงใช้วิธีสูบน้ำหรือโปรย แต่ละคนสูบน้ำบ้านของตน ข้างไร่นาทุกบ้านจะมีบ่อน้ำคนละหนึ่งบ่อ ติดเครื่องปั๊มน้ำ จากนั้นใช้มือดึงติดเครื่องสูบน้ำเข้าไป

วิธีนี้ดูเหมือนสมัยใหม่มาก แต่ปัญหาคือเครื่องยนต์ดับได้ พังได้ ต้องเติมน้ำมันเติมน้ำ ฉะนั้นถ้าพวกชาวบ้านอยากจะยืนยันให้มันสูบน้ำไม่ขาดตอนจริงๆ ก็ได้แต่ต้องเฝ้าทั้งวันทั้งคืน แทบจะไม่ได้กลับบ้าน และหน้าที่นี้ตกเป็นของผู้ชายของทุกครอบครัว เลยต้องสร้างเพิงเล็กๆ กินอยู่ข้างไร่นา ตกเย็นสู้กับยุง กลางวันสู้กับดวงตะวัน ลมพัดดวงอาทิตย์สาดส่อง ลำบากมาก

ผู้หญิงในครอบครัวก็ไม่ต่างกัน ทำงานในบ้านทั้งหมด เลี้ยงลูก ทำอาหาร ส่งอาหารให้ผู้ชายในครอบครัว ว่างๆ ยังต้องไปช่วยงานอีก

……………………

[1] ขุดดินเหนือหัวเทพไท่ซุ่ย คนโบราณเชื่อว่าห้ามขุดดินตรงตำแหน่งที่ตรงกับเทพไท่ซุ่ยซึ่งเป็นชื่อดาวหนึ่งในระบบดาราศาสตร์ของจีน ไม่อย่างนั้นจะเจอกับภัยอันตราย