ตอนที่ 286 ตบคนก็ต้องตบที่หน้า (1)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ไม่ทราบว่าสะใภ้ใหญ่ได้…” จงฉิงเฟิงเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเริงร่า คำพูดที่เหลือก็พูดต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวในปีนั้นแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่จะมายังลี่โจวกลับเข้าใจถึงสาเหตุที่ไปที่มาอย่างชัดเจน ทั้งตามเบาะแสเส้นนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงรู้ว่าหลังจากจงเสวี่ยฉิงออกจากเซิ่งจิง ชีวิตก็ตกต่ำไปมาก กระทั่งยังแต่งให้พ่อค้าวานิชธรรมดาที่เห็นแต่เงินอยู่ในสายตา แม้ว่าพ่อค้าผู้นั้นจะแต่งจงเสวี่ยฉิงเป็นภรรยารอง ทั้งคอยบริจาคเงินเล็กๆ น้อยๆ เพื่อชื่อเสียงในด้านคุณงามความดี แต่ก็ยังคงสลัดกลิ่นหน้าเงินของเขาไม่พ้น จงฉิงเฟิงรู้ดีเช่นกัน ปีนั้นขอเพียงแค่ท่านปู่ยื่นมือช่วยเหลือ จากคุณสมบัติของจงเสวี่ยฉิง แม้ว่าจะไม่อาจเหมือนอย่างกุ้ยเฟยได้ แต่ย่อมไม่ตกต่ำจนถึงขั้นนั้นแน่นอน

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนที่อยู่แต่ในห้องหับไม่ออกไปไหน คงไม่เข้าใจจุดสำคัญที่อยู่ภายใน คิดจะอาศัยยามที่พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวไม่อยู่ ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมรับตระกูลจงเป็นตระกูลเดิมของตัวเอง คล้อยหลังเรื่องทั้งหมดดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายจะไม่รู้อะไร กลับแสดงการปฏิเสธอย่างชัดเจน รอหลังจากได้ยินเรื่องในปีนั้นจากปากของพวกซั่งกวนฮ่าว จะรู้สึกแย่และมองตระกูลจงเป็นศัตรูมากกว่าเดิมหรือเปล่า?

เขารู้ว่าเรื่องราวดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเขาไม่มีความได้เปรียบแม้แต่น้อย แต่ว่า…มองอ๋องรุ่ยที่มีสีหน้าอย่างเช่นเคย ทั้งมองจงอิ้งซีที่ใช้แววตาเร่งเร้าเขา เรื่องนี้เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันทำต่อไปเท่านั้น!

“เมื่อวานข้าได้ฟังเรื่องในอดีตมาอยู่บ้าง ทั้งเข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงเอาแต่พูดว่าท่านตาของข้าเป็นเพียงบัณฑิตซิ่วไฉที่สอบตกผู้หนึ่ง ยิ่งกระจ่างใจว่าไฉนมารดาจึงไม่เคยบอกข้าว่าที่แท้นางเคยมีท่านลุงและพี่สาวที่โดดเด่นถึงเพียงนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างเรียบนิ่ง พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวตั้งใจหนีหน้าออกไป หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ไม่ได้เข้ามา เพื่อที่จะไม่ต้องรบกวนนาง ให้นางสามารถคิดได้อย่างอิสระ จะพูดอะไรก็พูดไป อย่าได้กังวลอันใด

“เช่นนั้นหมายความว่าสะใภ้ใหญ่ยอมรับแล้วว่าเจ้าก็คือลูกผู้น้องของพวกเรา!” แม้ว่าน้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเย็นชา ใบหน้าก็สงบนิ่ง แต่จงฉิงเฟิงยังคงได้ยินความรู้สึกเกลียดชังที่ฝังอยู่ภายใน ดูท่าในใจของนางคงโกรธแค้นตระกูลจงเป็นอย่างมาก ทั้งยิ่งชิงชังสนมจงกุ้ยเฟยที่สูงส่งเป็นที่สุด

“ท่านตาของข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของมหาเสนาบดีจงจริงๆ จุดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมรับอย่างมีขอบเขต บางครั้งไม่อาจแสร้งใสซื่อไปเสียหมดได้ แต่ก็ไม่อาจแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเขาได้เช่นกัน คนพวกนี้หากให้หน้าย่อมต้องเหลิงจนลืมตัวเป็นแน่

“ข้าว่าแล้วท่านพี่ต้องยอมรับพวกเรา!” จงอิ้งซีเผยยิ้มเตรียมจะเข้ามาใกล้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทันที ระหว่างพี่น้องก็ควรจะสนิทสนมกันหน่อย แต่จื่อหลัวและช่าจื่อกลับขวางจงอิ้งซีโดยพลัน ไม่ให้นางเข้าใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แสดงท่าทีอะไร พวกนางย่อมไม่อาจให้หญิงสาวที่เจอกันครั้งแรกก็ทำตัวอย่างเป็นสหายเก่าคนนี้เข้าใกล้อย่างแน่นอน

“ท่านพี่…” จงอิ้งซีย่ำเท้าอย่างกระเง้ากระงอด “สาวใช้ไม่มีหูมีตาสองคนนี้คิดจะทำอะไร?”

“คำว่าท่านพี่จากคุณหนูจง เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับไม่ไหวหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างเยือกเย็น ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย ทำให้จงฉิงเฟิงยิ่งคาดเดาไม่ได้เรื่อยๆ

“ท่านพี่ไม่ใช่ยอมรับแล้วหรือ ท่านตาของเจ้าเป็นน้องชายของท่านปู่ มารดาของเจ้าก็คือท่านน้าเสวี่ยฉิง?” จงอิ้งซีข่มกลั้นนิสัยเจ้าอารมณ์ของตัวเองเผยยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าอายุมากกว่าข้า ย่อมต้องเป็นท่านพี่สิ!”

“ได้ยินว่าปีนั้นก่อนท่านตาออกจากเซิ่งจิง ท่านปู่ทวดและท่านปู่ของท่านได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้ว ท่านตาไม่มีความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลจงอีก แม้จะตายไกลบ้านก็อย่าได้แขวนป้ายชื่อลูกคนรองของอำมาตย์จงทำให้คนอื่นเข้าใจผิด…ท่านตาของข้ากระทั่งตายก็ล้วนไม่ลืมว่าตัวเองไม่ใช่ลูกชายอำมาตย์จงแล้ว เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีบ้านเกิดให้กลับ หนำซ้ำมารดาของข้าหลังจากคนใกล้ชิดที่รักและสนิทสนมที่สุดลาลับไปแล้ว แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ฝังศพโดยไม่มีสุสานบรรพบุรุษก็ไม่ได้ไปอ้อนวอนขอร้องต่อใคร เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาล้วนตัดขาดความ สัมพันธ์กับตระกูลจงแล้วหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่าท่านพี่ที่คุณหนูเรียก ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร?” คำพูดที่เยือกเย็นอย่างถึงที่สุดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของจงอิ้งซีแข็งทื่อทันที ยืนนิ่งเป็นหุ่น กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น

“นี่คือจดหมายของท่านปู่ที่มอบให้สะใภ้ใหญ่ อย่างไรขอสะใภ้ใหญ่อ่านดูเสียหน่อยเถิด!” ครั้งนี้จงฉิงเฟิงไม่ได้ถือโอกาสเรียกคำว่าน้องสาว เขาไม่ได้เป็นคนหน้าหนาถึงเพียงนั้น ยังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นที่เพิกเฉยคำเสียดสีของคนอื่น กลับมอบจดหมายของเสนาบดีจงฉบับนั้นให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แทน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะเล็กน้อย ช่าจื่อก็ก้าวไปรับจดหมายมาทันที จงอิ้งซีฉวยโอกาสกลับไปนั่งประจำที่เช่นกัน ในใจนั้นเกลียดชังเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่ไว้หน้าเป็นอย่างมาก

“ที่จริงจดหมายฉบับนี้ไม่ต้องอ่านข้าก็รู้แล้วว่าเขียนอะไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พิจารณาจดหมายในมือเล็กน้อย กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “คงจะอธิบายว่าปีนั้นเขาจำใจต้องทำโดยไม่มีทางอื่น ลงลึกว่าปีนั้นเขาจนใจ ทั้งจะกล่าวถึงความคิดและความละอายใจช่วงหลายปีมานี้ หลังจากได้ยินข่าวคราวของข้าก็ดีใจ ทั้งหวังให้ทุกคนสามารถไปมาหาสู่ได้อย่างปกติ อย่าได้ทำเป็นคนห่างคนไกล…”

ยามที่มหาเสนาบดีจงเขียนจดหมายฉบับนี้ จงฉิงเฟิงได้คอยฝนหมึกให้อยู่ด้านข้าง ย่อมรู้ว่าในนั้นเขียนอะไรกันแน่ เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง กระทั่งดูก็ยังไม่ดู กลับสามารถคาดเดาเนื้อหาในจดหมายได้อย่างชัดเจน ในใจนั้นแทบไม่ต้องพูดอันใด แม้ใบหน้าจะไม่แสดงให้เห็นชัด แต่แววตาที่ตกตะลึงกลับไม่อาจจะปกปิดได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมรู้ว่าตัวเองนั้นเดาได้แม่นยำ ทำให้จงฉิงเฟิงที่ประเมินนางสูงขึ้นมาตกใจไปอีกครั้ง

“ดังนั้นจดหมายฉบับนี้ จะอ่านไม่อ่าน สำหรับข้าย่อมไม่มีความแตกต่าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางจดหมายไว้อีกด้านเบาๆ กล่าวอย่างเรียบเย็น “อย่างไรขอคุณชายใหญ่จงส่งต่อคำพูดให้มหาเสนาบดีจงเสียหน่อย กล่าวว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รบกวนตระกูลจงให้เปลืองแรงแล้ว ไม่ต้องมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ทั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้จักกัน เมื่อก่อนเป็นเช่นไร ภายหลังก็ยังคงเป็นเช่นนั้นเถิด”

จงฉิงเฟิงลอบถอนหายใจ เห็นมี่เอ๋อร์ก็รู้แล้วว่า มารดาของนาง จงเสวี่ยฉิงเป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมเช่นไร ผู้หญิงเช่นนั้นกลับถูกท่านปู่ทวดและท่านปู่ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลจงเพราะหูตาไม่กว้างไกล จะไม่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับตระกูลจงได้อย่างไร! หากตอนแรกท่านปู่ทวดและท่านปู่ปกป้องพวกเขาอย่างไม่สนใจอันใด ยามนี้ตระกูลจงอาจจะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งไปแล้ว!

“จดหมายของท่านปู่ ท่านพี่จะไม่ดูเลยหรือ?” จงอิ้งซีเห็นจดหมายของท่านปู่ที่ตัวเองเห็นเป็นดั่งเทพสวรรค์ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ละเลยเช่นนั้น โทสะในใจที่เดิมก็ไร้ทางควบคุม ทั้งไม่สนใจการกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าของจงฉิงเฟิงก่อนหน้านี้ เวลานั้นก็กระโดดขึ้นมาทันที กล่าวตำหนิ “เจ้าทำเกินไปแล้วกระมัง ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่แล้วงั้นหรือ? เจ้ามันอกตัญญู เนรคุณ หากคนอื่นรู้เข้า เจ้ายังคิดหรือว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ…”

“คุณหนูจงพูดพอหรือยัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจงอิ้งซี่อ้าปากโต้แย้งตัวเองอยู่ตรงนั้นอย่างไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย รอในยามที่นางหยุดพักก็เผยยิ้มกล่าว “หากยังพูดไม่พอ เชิญคุณหนูจงดื่มน้ำแล้วค่อยกล่าวต่อ พูดจนเสียงแหบออกมาย่อมไม่ดีแน่!”

“เจ้า…เจ้า…” แต่ไหนแต่ไรจงอิ้งซีก็ไม่เคยพบเจอคนแบบเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาก่อน นางเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลจง เป็นหลานสาวที่สนมจงกุ้ยเฟยเอ็นดูที่สุด จะเดินไปที่ใดก็ล้วนถูกคนชื่นชมว่าเป็นหญิงสาวที่ยอดเยี่ยม แม้ฐานะคนพวกนั้นจะไม่ด้อยไปกว่านาง หญิงสาวสูงส่งที่ไม่ถูกกับนาง ก็เพียงเยาะเย้ยแดกดันอย่างอ้อมๆ เท่านั้น ไหนเลยจะเคยถูกคนปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน เวลานั้นก็ไร้วิธีที่จะรับมือ

“ในเมื่อคุณหนูจงพูดจบแล้ว เช่นนั้นข้าอยากถามไม่กี่ประโยค!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเยียบเย็น “ปีนั้นท่านปู่ทวดของเจ้าลบชื่อท่านตาของข้าออกจากตระกูลจง และยามนั้นท่านปู่ทวดของเจ้าก็พูดอย่างชัดเจนแล้วว่า สายเลือดบ้านรองทั้งหมดไม่อาจเห็นเป็นคนของตระกูลจงอีกต่อไป เช่นนั้นการกระทำทั้งหมดของปู่เจ้าในยามนี้นับว่าเนรคุณหรือไม่ล่ะ?”

จงฉิงเฟิงยิ้มหยัน “ปีนั้นท่านปู่ทวดก็เพียงพูดคำพวกนี้เท่านั้น หลังจากปู่น้อยออกจากเซิ่งจิงไป เขาก็เสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งยามนั้นก็อยากจะรับปู่น้อยและท่านน้ากลับเซิ่งจิง ท่านปู่ในยามนี้เพียงยึดตามคำสั่งเสียของท่านปู่ทวดกระทำเรื่องเท่านั้น!”

“เช่นนั้นหากว่าตามความคิดของคุณชายใหญ่จง ท่านปู่ของท่านก็เป็นเพียงคนพูดจากลับกลอกคนหนึ่ง สามารถพูดตัดขาดเช่นนั้นออกมาแล้ว จู่ๆ มาเปลี่ยนแปลงความคิด ก็สามารถปฏิเสธคำพูดของตัวเองได้แล้ว คนเช่นนี้ยังนับว่าเป็นขุนนางชั้นสูงของราชสำนักหรือ?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์คมคายขึ้นเรื่อยๆ จงอิ้งซีเผยแววตาเยือกเย็นโดยไม่ต้องสงสัย กระทั่งจงฉิงเฟิงก็ประดับรอยยิ้มไว้ที่หน้าไม่ได้เช่นกัน พวกเขาไม่เคยได้ยินคำพูดที่ไม่ไว้หน้าเช่นนี้มาก่อน ทำให้พวกเขาที่คิดว่าตัวเองเป็นคนชั้นสูงถูกเหยียบหน้าอย่างแรง(มี่เอ๋อร์กล่าวเสริมอย่างเย็นเยียบ ‘เพียงแค่วางบนพื้นเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเหยียบเลย!’) เพราะพวกเขาได้เตรียมใจไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ตอกกลับอย่างตรงๆ แต่หากจะให้พวกเขาทำเป็นไม่สนใจเลยย่อมไม่มีทาง

“คนในครอบครัวยากที่จะหลีกเลี่ยงกระทบกระทั่งกัน พูดคุยยามที่มีโทสะย่อมพูดคำที่น่าโมโหออกมา รอจนสงบอารมณ์แล้ว ก็ยังคงเป็นครอบครัวอย่างเช่นเคยมิใช่หรือ?” หยางรุ่ยเฟิงไกล่เกลี่ยอย่างทันที แม้จะกล่าวว่ามหาเสนาบดีจงเป็นตาของเขา แต่สำหรับผู้ที่มีฐานะเชื้อพระวงศ์อย่างเขา นั่นก็เป็นเพียงขุนนางที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรล่วงเกินไม่ได้แต่อย่างใด ย่อมไม่ได้โมโหเหมือนดั่งสองคนนั้น ทั้งสามารถกล่าวประนีประนอมได้ทันที

“นั่นก็ถูก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “แม้กระทั่งลิ้นยังถูกฟันกัดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันบ้าง! ปีนั้นกุ้ยเฟยใช้ชีวิตของเด็กสาวแรกรุ่นมาบีบบังคับ ก็คงเป็นเพียงเรื่องขำขันเล็กๆ เท่านั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากคนที่ถูกจับตัวเปลี่ยนเป็นตัวกุ้ยเฟยเอง นางจะแค้นฝังใจไปชั่วชีวิตหรือไม่?”

หยางรุ่ยเฟิงหนีห่างทันที นึกถึงที่สนมจงกุ้ยเฟยกล่าวไว้ หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้รับการสืบทอดนิสัยจากมารดา เช่นนั้นย่อมมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ต้องระวังรอบคอบจึงจะถูก น่าเสียดายที่จากการตรวจสอบของพวกเขา ล้วนกล่าวว่าสะใภ้ใหญ่ใจกว้างจิตใจดี มีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น ทำให้พวกเขาละเลยคำพูดของสนมจงกุ้ยเฟยไป

“ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะตระกูลจงและสนมจงกุ้ยเฟย ท่านน้าและปู่น้อยจะเอาตัวรอดจากข้อหากบฏได้อย่างไร? จุดนี้สะใภ้ใหญ่ก็คิดจะปฏิเสธหรือ?” จงฉิงเฟิงรู้ว่าโจมตีด้วยความอ่อนโยนย่อมไม่มีผลแล้ว ทำได้เพียงใช้แผนและวิธีอื่นเท่านั้น

“กบฏ?” รอยยิ้มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุ่มลึกเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านตา หรือลูกคนรองตระกูลจง หรือน้องชายพ่อตาของรัชทายาท แม้ว่ามารดาของข้าจะเพียงถูกคนหลอกใช้ คาดว่าก็คงยากจะรอดพ้นชะตาติดร่างแหไปด้วย จุดนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ!”

จงฉิงเฟิงไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย ฝีมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เขาได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว รีบกล่าวไปทันที “ปีนั้นท่านปู่ทวดไล่พวกปู่น้อยออกจากตระกูลจง ก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวปู่น้อย! หากพวกเขายังรั้งตัวอยู่ในตระกูลจง รั้งอยู่ที่เซิ่งจิง ย่อมยากที่จะหลบหลีกจากสายตาผู้คน ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าจะถูกดึงมาติดร่างแหอีกเมื่อใด จุดนี้สะใภ้ใหญ่คงคาดไม่ถึงกระมัง!”

“อื้ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าทั้งยิ้มรับเล็กน้อย นับว่ายอมรับการแก้ต่างของจงฉิงเฟิง

“เรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องซักไซ้ไล่เลี่ยให้ละเอียดถึงขนาดนั้น!” จงฉิงเฟิงคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดง่ายถึงขนาดนี้ แต่ข้าก็ไม่กล้าพูดมาก หญิงสาวคนนี้หลักแหลมและเก่งกาจเป็นอย่างมาก พูดมากไปยิ่งง่ายจะถูกนางจับจุดอ่อน เอาแต่พองามจึงจะเป็นแผนที่ดีกว่า เขากล่าวทั้งรอยยิ้มทันที “เช่นนั้น ฉิงเฟิงคงเรียกว่าคำว่าน้องตรงๆ ได้แล้วกระมัง!”

———————————-