ตอนที่ 255 ออกเรือน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เมื่อโจวเสาจิ่นเห็นว่าสภาพจิตใจของโจวชูจิ่นกลับคืนสู่ปกติแล้ว ก็ลอบรู้สึกยินดีแทนพี่สาวอย่างอดไม่ได้

สะใภ้ใหม่ที่เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านไปจะต้องเผชิญกับสายตาที่จ้องจับผิดมากมาย หากว่าพี่สาวยิ่งมีท่าทีที่สงบนิ่งเพียงใด ก็ยิ่งเผชิญหน้าได้อย่างใจเย็นเพียงนั้น

นางรู้สึกเบาใจลง ยามที่มีเวลาว่างก็เริ่มจัดเก็บเครื่องประดับข้าวของมีค่าของตน

ชุนหว่านยิ้มพลางถามว่า “คุณหนูรองต้องการทำอะไรหรือเจ้าคะ หลายวันมานี้ภายในบ้านค่อนข้างยุ่งๆ อีกทั้งพวกเราก็ไม่รู้จักนิสัยใจคอของบรรดาผู้ที่มาช่วยงานพวกเราดีนัก หากว่าถูกคนหนึ่งคนใดที่มีเจตนาพบเห็นแล้วเก็บไว้ในใจคงจะไม่ดีแน่ ท่านรีบเก็บข้าวของเหล่านี้ไปดีกว่า อย่าวางสมบัติล้ำค่าไว้อย่างโจ่งแจ้งจึงจะดีที่สุดนะเจ้าคะ!”

โจวเสาจิ่นตอบว่า “หลังจากท่านพี่ออกเรือนแล้ว พวกเราก็ต้องตามฮูหยินไปเมืองเป่าติ้ง หากจัดเก็บข้าวของเหล่านี้ให้เรียบร้อยเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาออกเดินทางจะได้ไม่ต้องเร่งจนมือเท้าเป็นระวิง”

ชุนหว่านตกใจเป็นอย่างมาก

ตอนที่คุณหนูรองเพิ่งกลับมานั้นยังลังเลอยู่เลยว่าจะอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไปหรือจะกลับมาอยู่ที่บ้านตระกูลโจว ไฉนเพียงพริบตาเดียวก็คิดจะตามฮูหยินไปเป่าติ้งเสียแล้ว

นางเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง มีข่าวคราวอะไรมาจากนายท่านหรือเจ้าคะ…”

“เปล่าๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินเข้าบ้านมาแล้ว ภายในบ้านก็มีผู้ดูแลจัดการการงานต่างๆ ในเรือนแล้ว ข้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไปอีก จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องตามฮูหยินไปเป่าติ้ง!”

เดิมทีนางหมายจะรั้งอยู่ในตระกูลเฉิง อยากจะเตือนเฉิงจิงผ่านทางเฉิงฉือ ตอนนี้เรื่องที่นางควรทำก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้รั้งอยู่ที่จินหลิงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก ยิ่งกว่านั้นในความทรงจำจากชาติที่แล้ว ในการสอบขุนนางช่วงสารทฤดู[1] ในปีนี้เฉิงสวี่จะสอบได้เจี้ยหยวน หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็เกิดเรื่องนั้นขึ้น…ถ้าหากนางออกจากจินหลิงไปเสีย ก็จะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นได้พอดี

ชุนหว่านย่อมต้องติดตามโจวเสาจิ่นไปด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่นางเกิดที่จินหลิงและโตที่จินหลิง จู่ๆ ได้ยินว่าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง ก็รู้สึกเสียดายที่จะจากไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่บ้าง

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะตัดสินใจเองได้

นางทำได้เพียงแต่เก็บซ่อนอารมณ์หดหู่ของตนเอาไว้ แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านกำหนดวันเดินทางแล้วหรือยัง ทางด้านพี่สาวปี้อวี้ ก่อนออกเดินทางข้าอยากจะไปล่ำลาพวกนางสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“นั่นมันเรื่องแน่อยู่แล้ว” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ตอนที่พวกเราจะออกเดินทาง ย่อมต้องไปอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับพวกปี้อวี้อย่างแน่นอน ส่วนจะออกเดินทางเมื่อใดนั้น…เอาไว้จะบอกหลังจากที่ข้ากับฮูหยินหารือกันเรียบร้อยแล้วก็แล้วกัน! ตอนนี้ทุกคนต่างยุ่งกับงานแต่งของท่านพี่กันอยู่!”

ชุนหว่านรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เริ่มเก็บข้าวของอย่างเงียบๆ

ไม่นาน หลี่ซื่อก็ทราบข่าว

เพียงแต่วันถัดมาเป็นวันที่ตระกูลเลี่ยวมาเร่งให้แต่งงาน นางเป็นภรรยาที่อายุยังน้อยผู้หนึ่ง ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องประเภทนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ต้องจัดการเรื่องภายในตระกูลโจวในสถานะของนายหญิง แต่ละเรื่องล้วนอยากจะทำให้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ทุกวันยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้น ไหนเลยจะมีเวลามานั่งคุยเรื่องไปเป่าติ้งกับโจวเสาจิ่นอย่างละเอียด แต่ถ้าปล่อยเอาไว้โดยไม่สนใจเช่นนี้ หากว่าสามีมีเจตนาให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิงล่ะก็ ถึงเวลานั้นนางจะอธิบายให้สามีฟังอย่างไรเล่า!

สิ้นปีหน้าโจวเสาจิ่นก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว ยามที่พูดคุยเรื่องแต่งงาน ตระกูลเฉิงมีญาติสนิทมิตรสหายและลูกศิษย์ลูกหามากมาย มีคุณชายให้เลือกสรรหลายคน ไม่ใช่ว่าด้วยเหตุนี้โจวชูจิ่นถึงได้แต่งงานเป็นสะใภ้ของทายาทสายตรงคนโตของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียงหรอกหรือ

เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจพูดให้กระจ่างชัดภายในสองสามคำได้

นางรู้สึกเป็นกังวลจนมุมปากมีตุ่มใสๆ ผุดขึ้นมา

หลี่มามาเอ่ยถามหลี่ซื่อว่า “เช่นนั้นท่านปรารถนาจะให้คุณหนูรองตามท่านไปที่จวนเป่าติ้ง หรือว่าไม่อยากให้ไปด้วยเจ้าคะ”

“ข้าย่อมหวังให้นางตามไปด้วยแน่นอน” หลี่ซื่อใช้สายตาที่สื่อนัยว่าเจ้าช่างโง่งมเหลือเกินตวัดมองหลี่มามาครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “ข้าเพียงดูแลคุณหนูรองอย่างนอบน้อมประหนึ่งพระโพธิสัตว์มาโปรดสักสองปี คุณหนูรองก็น่าจะออกเรือนแล้ว ข้าทั้งได้ประจบประแจงนายท่านและได้รับชื่อเสียงอันดีอีกด้วย การค้าขายที่ดีเช่นนี้ ต้องเพราะมีน้ำไหลเข้าสมองข้าจนเลอะเลือนเท่านั้นข้าถึงจะไม่สนใจความต้องการของนางแล้วปล่อยให้นางรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไป!”

หลี่มามาไม่ได้ใส่ใจนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “หรือไม่ ท่านก็เขียนจดหมายไปให้นายท่านสอบถามความคิดเห็นของนายท่านสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ!” หลี่ซื่อกล่าว “วันนี้ข้าให้คนนำจดหมายไปส่งที่หอส่งข่าวตั้งแต่เช้าแล้ว”

“เช่นนั้นท่านยังกังวลเรื่องอะไรเจ้าคะ” หลี่มามาเอ่ยถามอย่างฉงน

หลี่ซื่อตอบ “เจ้านี่อะไรๆ ก็ดีไปหมด เพียงแต่ประสบการณ์น้อยไปสักหน่อย เวลากระทำอะไรจึงโลกทัศน์คับแคบอยู่หลายส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าไม่บอกเจตนาของข้าแก่คุณหนูรองให้ชัดเจน หากนายท่านไม่เห็นด้วยเรื่องคุณหนูรองไปเมืองเป่าติ้ง แล้วคุณหนูรองเกิดสงสัยคิดว่าข้าเป็นผู้ยุแยงล่ะก็ มิใช่ว่าต่อให้ข้ากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ล้างมลทินได้ไม่หมดหรอกหรือ!”

หลี่มามารู้สึกกระดากอาย

หลี่ซื่อใคร่ครวญแล้ว วันถัดมาหลังจากส่งคนของตระกูลเลี่ยวที่มาเร่งให้แต่งงานกลับไปแล้ว ก็ไปที่ห้องของโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นกำลังปรึกษากับชุนหว่านว่าจะนำดอกไม้สองสามกระถางนั้นไปเป่าติ้งด้วยดีหรือไม่ พอเห็นหลี่ซื่อเดินเข้ามา ชุนหว่านก็รีบลุกขึ้นมายกตั่งปักลวดลายตัวหนึ่งมาให้หลี่ซื่อ ทั้งยังไปยกน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ด้วยตนเอง

หลี่ซื่อยิ้มพลางดื่มน้ำชา เอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองกำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่หรือ พรุ่งนี้คุณหนูใหญ่ก็จะออกเรือนแล้ว ตามประเพณีแล้ว ควรจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายของพวกเจ้าที่แบกคุณหนูใหญ่ไว้บนหลังขณะออกจากเรือน แต่น่าเสียดายที่ข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจให้กำเนิดน้องชายให้พวกเจ้าสักคนได้” ขณะที่นางกล่าว ขอบตาก็แดงขึ้นมา “หลังจากที่ข้าปรึกษากับฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ก็ได้เชิญคุณชายใหญ่เก้าจากซอยจิ่วหรูมาแบกพี่สาวของเจ้าไว้บนหลังยามออกเรือน เพียงแต่ว่าตระกูลเลี่ยวได้บอกเอาไว้แล้วว่า ถึงแม้เจ้าจะทำได้เพียงส่งพี่สาวของเจ้าออกจากห้องหอเท่านั้น แต่ซองแดงนี้ก็ไม่อาจขาดของเจ้าไปได้ เป็นการบอกชัดแล้วว่ามอบให้เจ้าส่วนหนึ่ง ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ยามที่พี่สาวของเจ้าอยู่ในห้องเพื่อรอให้บรรดาสตรีผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการ[2] มาเชิญนางออกเรือนนั้น เจ้าก็ช่วยประคองพี่สาวของเจ้าสักหน่อย เพียงเท่านี้คนของตระกูลเลี่ยวก็จะรู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร คนของตระกูลเลี่ยวจะยื่นซองแดงซองหนึ่งให้เจ้า เจ้ารับมาก็พอ รอให้ถึงยามที่เจ้ามีหลานสาว ค่อยมอบคืนกลับไปก็ได้แล้ว”

ดูเหมือนว่าตระกูลเลี่ยวจะไว้หน้าตระกูลโจวพอสมควร

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกยินดี เห็นใบหน้าของหลี่ซื่อเต็มไปด้วยความอิดโรย ทว่าพอพูดเสร็จกลับไม่ออกไป นั่งดื่มน้ำชาอยู่ในห้องของนางต่อไป จึงรู้แล้วว่านางยังมีเรื่องจะคุยกับตนอยู่ ด้วยนิสัยของนางที่ชื่นชอบความสงบไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวายเป็นทุนเดิม หากเป็นยามปกติ ต่อให้หลี่ซื่อจะนั่งอยู่กับนางทั้งวันเช่นนี้ นางก็นั่งคุยกับหลี่ซื่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่สะทกสะท้านได้ แต่พรุ่งนี้เป็นวันที่พี่สาวจะแต่งงาน นางไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ในวันพรุ่งนี้เป็นอันขาด จึงยกเรื่องมาพูดกับหลี่ซื่อให้ชัดเจนไปเลย “ฮูหยินยังมีเรื่องอะไรจะบอกข้าหรือเปล่าเจ้าคะ”

ระหว่างที่หลี่ซื่อยังไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดีนั้น โจวเสาจิ่นก็ยื่นบันไดอันหนึ่งมาให้แล้ว นางรีบคล้อยตามบทสนทนาแล้วรับบันไดนั้นมาปืนขึ้นไป “เมื่อวานข้าได้ยินว่าคุณหนูรองต้องการกลับเมืองเป่าติ้งพร้อมกับข้า รู้สึกดีใจยิ่งนัก เนื่องจากวันนี้ตระกูลเลี่ยวมาเร่งให้แต่งงาน จึงไม่มีเวลาว่างมาคุยเรื่องนี้กับคุณหนูรองดีๆ เจ้าก็รู้ว่า เป็นครั้งแรกที่ข้ารับผิดชอบดูแลเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ วันนี้ทุกอย่างล้วนผ่านไปอย่างราบรื่น ข้าตื่นเต้นไปชั่วขณะจนนอนไม่ค่อยหลับ จึงมาหาคุณหนูรองเพื่อสนทนา ไม่ทราบว่าคุณหนูรอง…”

โจวเสาจิ่นไม่ใช่ผู้ที่ชื่นชอบสร้างความลำบากใจแก่ผู้อื่น พอได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางกล่าว “ข้าก็คิดเอาไว้เช่นนี้ เพียงแต่กลัวว่าฮูหยินกับท่านพ่อจะมีแผนการอื่น กะเอาไว้ว่าหลังจากที่พี่สาวออกเรือนแล้วจะหารือเรื่องนี้กับฮูหยินอีกที นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะรอบคอบถึงเพียงนี้ ไม่รอให้ข้าได้ทันเอ่ยปากก็ถามไถ่ขึ้นมาเสียก่อนแล้ว”

หลี่ซื่อตอบอย่างลิงโลด “เช่นนั้นหมายความว่าคุณหนูรองเตรียมจะกลับเมืองเป่าติ้งพร้อมกับข้าใช่หรือไม่ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ข้าจะได้มีคนสนทนาด้วยคนหนึ่ง โย่วจิ่นน้องสามของเจ้าก็จะได้มีเพื่อนเล่นด้วยคนหนึ่ง หากบิดาของเจ้าทราบ จะต้องดีใจมากเป็นแน่”

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้ม

ชะตาของบิดาถูกลิขิตให้มีบุตรชาย

รอให้หลี่ซื่อให้กำเนิดบุตรชายแล้ว ครอบครัวนี้ก็ดูเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมากขึ้นแล้ว

จะไม่เหมือนกับชาติที่แล้วอีกที่คนในครอบครัวแตกแยกไปคนละทิศคนละทาง และต้องเจ็บปวดกันทุกคน

นึกถึงตรงนี้ นางก็ลุกขึ้นมา กล่าวว่า “ฮูหยินรอสักครู่นะเจ้าคะ ข้ามีของบางอย่างจะมอบให้ท่าน”

โจวเสาจิ่นหมุนกายไปหยิบอิฐที่ถูกห่ออยู่ในผ้าสีเหลืองซึ่งนำกลับมาจากเจดีย์เหลยเฟิงก้อนนั้นออกมามอบให้หลี่ซื่อ “นี่คืออิฐที่ขอมาจากเจดีย์เหลยเฟิงตอนที่ข้าติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปเขาผู่ถัวแล้วเดินทางผ่านเมืองหังโจว มีทั้งหมดสองก้อน ก้อนหนึ่งมอบให้พี่สาวนำติดตัวไปตระกูลเลี่ยว ส่วนก้อนนี้มอบให้ฮูหยิน กล่าวว่าเป็นอิฐที่ถวายใต้บาทพระโพธิสัตว์กวนอิม ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักเจ้าค่ะ!”

หลี่ซื่อได้ยินแล้วก็รู้ทันทีว่าคืออะไร

ดวงตาของนางก็รื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตันขึ้นมาในทันใด

การที่นางไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายได้ นับเป็นความทุกข์ใจเรื่องหนึ่งในใจนาง

แม้นางจะปฏิบัติต่อโจวเสาจิ่นสองพี่น้องเป็นอย่างดี แต่แทนที่จะเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างดี น่าจะต้องเรียกมันว่ารักษาระยะห่างอย่างเคารพนบนอบจะถูกต้องกว่า

แต่ไม่คาดคิดว่าโจวเสาจิ่นจะจริงใจกับนางถึงเพียงนี้

ในใจของนางบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นไม่ได้ต้องการความซาบซึ้งใจของหลี่ซื่อ

นางทำเช่นนี้ก็เพื่อบิดา

พี่สาวก็ดี หรือนางก็ดี ครั้นถึงวัยก็ต้องออกเรือน ไปมีชีวิตของตนเอง แต่ผู้ที่จะอยู่เคียงข้างบิดา อยู่เป็นเพื่อนบิดาในช่วงบั้นปลายชีวิต  และดูแลบิดาในชีวิตประจำวันได้นั้นกลับเป็นหลี่ซื่อ นางปรารถนาให้หลี่ซื่อรับรู้ถึงเจตนาดีของนาง แล้วจากนี้ไปก็ดูแลบิดาให้ดียิ่งขึ้น

โจวเสาจิ่นยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้หลี่ซื่อ พลางปลอบโยนนางว่า “ฮูหยินยังอายุน้อย ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้าได้ยินแม่นมของข้าเล่าให้ฟังว่า มีสตรีคนหนึ่งแต่งงานไปในหมู่บ้านของพวกนางมาสิบกว่าปีแล้วแต่ยังไม่มีบุตรสักคน ปรากฏว่าจู่ๆ วันหนึ่งก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินใจดีต่อพวกข้าเช่นนี้ คนดีย่อมได้รับแต่สิ่งที่ดีตอบแทนเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อพยักหน้าอย่างขัดเขิน แต่ก็ไม่อาจกล่าวอะไรกับโจวเสาจิ่นได้มากนัก สุดท้ายโจวเสาจิ่นก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกเรือน

ทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค จากนั้นหลี่ซื่อก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา

โจวเสาจิ่นส่งหลี่ซื่อออกไป

แต่กลับพบกับหลี่มามา

หลี่มามายิ้มพลางยอบกายทำความเคารพโจวเสาจิ่น แล้วกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนออกมาจากห้องของคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองรีบกลับห้องเถอะ กลางคืนลมค่อนข้างเย็น คุณหนูรองระวังจะต้องลมหนาวเอาได้”

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างฉงน “ดึกถึงเพียงนี้ท่านป้าใหญ่ยังไม่กลับไปอีกหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”

หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “ไม่มีอะไรหรอกๆ! ท่านป้าใหญ่ของเจ้าเพียงมีเรื่องต้องการคุยกับพี่สาวของเจ้าสักหน่อยเท่านั้น” น้ำเสียงคล้ายกับพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างอยู่

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ชอบใจ ครั้นส่งหลี่ซื่อออกไปแล้ว ก็ไปหาพี่สาว

ใครจะรู้ว่าพี่สาวกลับลงกลอนประตูห้อง ฉือเซียงกับตงหว่านล้วนไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงสาวใช้เด็กสองสามคนที่พูดคุยกันเงียบๆ อยู่ใต้ชายคาที่แขวนไว้ด้วยโคมไฟสีแดงจ้าเท่านั้น

นางเคาะประตู แม้ปากพี่สาวจะเอ่ยว่า “มาแล้วๆ” แต่นานครู่ใหญ่กว่าจะมาเปิดประตูให้นาง พอเปิดประตูแล้วดวงหน้าก็แดงเถือก ท่าทางดูเหมือนเขินอายยิ่งนัก

โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกคลางแคลงใจ เอ่ยถามว่า “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”

โจวชูจิ่นลูบใบหน้าแดงก่ำ พลางกล่าว “เมื่อครู่ข้าไม่ได้ถอดเสื้อผ้าแล้วเผลอหลับไป จึงรู้สึกร้อนนิดหน่อย”

โจวเสาจิ่นยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่

เมื่อครู่หลี่มามายังบอกว่าท่านป้าใหญ่อยู่ในห้องของนางนี่นา!

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ คืนนี้ให้ข้านอนกับท่านนะเจ้าคะ!”

“ได้!” โจวชูจิ่นตอบด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้ากลับห้องไปล้างหน้าล้างตาก่อน ให้ข้าเก็บห้องให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยกลับมาใหม่”

โจวเสาจิ่นรู้สึกเคลือบแคลงใจยิ่งนัก

ปกติพี่สาวไม่ใช่คนเช่นนี้!

ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนพูดอะไรกับนางกันแน่

น่าเจ็บใจที่ในชาติก่อนนางรู้จักแต่หลบซ่อนอยู่ข้างหลังพี่สาวอย่างขลาดกลัว นับตั้งแต่ที่พี่สาวกำหนดวันแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจมาโดยตลอด เรื่องงานแต่งงานของพี่สาวก็มอบหมายให้หม่าฟู่ซานกับภรรยาของเขาจัดการทั้งหมด จึงไม่รู้เลยว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

อย่างไรก็ตาม พี่สาวไม่ได้มีท่าทางเหมือนเสียใจหรือลำบากใจแต่อย่างใด จึงทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกวางใจลงได้บ้างเล็กน้อย

“ข้าล้างหน้าล้างตาในห้องของท่านก็ได้เจ้าค่ะ!” นางเบียดโจวชูจิ่นเข้าไปในห้อง ทั้งกล่าวไปด้วย พลางนั่งลงบนเตียงของพี่สาวไปด้วยว่า “ข้าจะให้ชุนหว่านนำข้าวของมาที่นี่!”

“ได้!” โจวชูจิ่นตอบ ทว่าสีหน้ากลับขัดเขินเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามันแปลกยิ่งนัก ทว่าหางตากลับเห็นหนังสือภาพเล่มหนาซ่อนอยู่ใต้หมอนของพี่สาวเล่มหนึ่ง

“นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ” นางชักออกมาดู

โจวชูจิ่นร้องเสียงดังพลางกระโจนเข้ามา “เสาจิ่น นี่เป็นของที่ท่านป้าใหญ่มอบให้ข้า…”

โจวเสาจิ่นโยนหนังสือภาพลงไปด้วยดวงหน้าแดงเถือก

สองพี่น้องต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ

หนังสือที่ตกลงบนพื้น คือหนังสือภาพชุนกงถู[3]

……………………………….