ลูกธนูสีดำสนิทที่ยิงออกมาจากห้องโดยสารของเรือขนาดใหญ่แหวกผ่านอากาศ สายลมสีดำส่งเสียงครวญคลั่งราวกับเสียงสายฟ้าฟาด

ลูกธนูนั้นพุ่งมาอย่างรวดเร็วเสียจนเหลียนฟู่ไม่มีเวลาตอบโต้

เส้นผมสีขาวของเขาปลิวไสวท่ามกลางพายุร้าย ภายในเสี้ยวลมหายใจลูกธนูสีดำสนิทก็มาปรากฏตรงหน้าเขาแล้ว

หัวใจของจีเฉิงอวี่สั่นสะท้าน เขาสัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าที่กดทับร่างกายเอาไว้ ราวกับร่างทั้งร่างถูกภูเขาลูกมโหฬารโถมเข้าใส่ ลูกธนูดอกนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่อยู่สุขจนต้องสะบัดหน้าไปทางห้องโดยสารของเรือใหญ่อย่างโกรธเคือง

“ข้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมื่อใดกัน” จีเฉิงอวี่คำรามด้วยความโกรธ

ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย

เหลียนฟู่ตะโกนด้วยเสียงแหบพร่าก่อนจะเบี่ยงกระบี่สวรรค์ทมิฬมาขวางตรงอก หวังจะปัดป้องลูกธนูที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน

เคร้ง!!

ลูกธนูแหวกผ่านอากาศแล้วพุ่งเข้าใส่กระบี่สวรรค์ทมิฬที่บังหน้าอกของเหลียนฟู่ไว้ กระบี่เล่มนี้แม้ว่าจะคงทนหรือคมสักเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานแรงกระแทกได้

ร่างของเหลียนฟู่กระเด็นถอยหลังไปไกลเพราะพลังโจมตีแกร่งกล้า ร่างของเขาไหลไปตามผิวมหาสมุทร ส่งคลื่นน้ำกระจายขึ้นไปท่วมฟ้า

แกร๊ก!

กระบี่สวรรค์ทมิฬในมือของเหลียนฟู่แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมเสียงดังสนั่น เขากระอักเอาโลหิตออกมาเต็มปาก พร้อมสัมผัสได้ถึงกำลังกายที่ค่อยๆ สลายไป

ความกลัวสะท้อนอยู่ในแววตาของชายชราขณะเหลือบมองไปทางเรือลำใหญ่ การโจมตีด้วยลูกธนูเมื่อครู่… ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่ง และแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ฝีมือของคนธรรมดาทั่วไปแน่

“ราชาอวี่… ท่านคบค้ากับคนประเภทใดกัน ข้าขอเตือนท่านด้วยความหวังดีว่าอย่าไปหลงกลแล้วนำความพินาศเข้ามาสู่ตัวของท่านเอง อย่าทำลายจักรวรรดิวายุแผ่วอันเกรียงไกรของท่านด้วยน้ำมือตัวเองเลย!” เหลียนฟู่ยกมือกดหน้าอกตัวเองแน่น กระบี่สวรรค์ทมิฬในมือตอนนี้แหลกเป็นผุยผงไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงด้ามเท่านั้น เมื่อมองด้ามกระบี่ที่เหลือ เหลียนฟู่ก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

จีเฉิงอวี่ที่เลือดขึ้นตาหันไปมองทางเรือใหญ่ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนบนเรือจะเข้ามาก้าวก่าย… พวกเขาสัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่เข้ามายุ่ง!

“ขันทีอย่างเจ้าจะสู่รู้มากเกินไปแล้ว”

เสียงดังสนั่นสะท้อนไปทั่วท้องน้ำเมื่อลูกธนูอีกดอกพุ่งออกมาจากเรือลำใหญ่ สีของมันดำเมี่ยมราวกับหมึก ลูกธนูดอกนั้นแหวกอากาศเข้ามาทันที

เหลียนฟู่เบิกตากว้าง พยายามรวบรวมพลังปราณที่เหลือในกาย เขาเหวี่ยงฝ่ามือออกไปด้านหน้าหวังจะปัดป้องลูกธนู

ทว่าลูกธนูนั้นตัดผ่านท้องฟ้าก่อนจะเสียบทะลุร่างของชายชรา เลือดกระเซ็นออกมาเป็นทาง

เหลียนฟู่ซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวกลางอากาศ ชายชรากัดปากตนเองขณะกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกรุนแรง รูขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนอก พร้อมด้วยหมอกสีดำสนิทที่หมุนวนกัดกินเนื้อบริเวณปากแผล

อั่ก…

โลหิตจำนวนมากทะลักออกจากปากชายชราอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าของเหลียนฟู่ที่ซีดเซียวอยู่แล้วขาวซีดลงไปอีก เขาไม่มีพลังแม้กระทั่งจะถือด้ามกระบี่เอาไว้ ส่วนที่เหลือของกระบี่ตกลงไปในมหาสมุทรพร้อมเสียงกระทบน้ำเบาๆ

“กระบี่สวรรค์ทมิฬ…” ความโศกเศร้าฉาบเคลือบใบหน้าของเหลียนฟู่ กระบี่เล่มนี้จักรพรรดิฉางเฟิ่งประทานมาให้ อนิจจาเครื่องหมายแทนความทรงจำชิ้นนี้สุดท้ายก็สลายกลายเป็นฝุ่นเสียแล้ว

เขาเคยสาบานว่าจะพิทักษ์รักษากระบี่เล่มนี้ด้วยชีวิต ในเมื่อตอนนี้กระบี่แหลกสลายไปแล้ว… ชีวิตของเขาก็คงใกล้ถึงคราวจบสิ้นแล้วเช่นกัน

“เจ้า!!” จีเฉิงอวี่ถลึงตามองร่างหลายร่างที่อยู่ในห้องโดยสารเรืออย่างโกรธเคือง เขากัดกรามแน่นจนขึ้นสัน แสดงให้เห็นถึงโทสะที่เผาไหม้อยู่ในอก

เขาไม่ต้องการให้ใครสอดมือเข้ามายุ่ง แต่ต้องการเอาชนะเหลียนฟู่ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการพิชิตบุคคลที่ตนเคยมองว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทานในอดีต

เขาหันไปมองเหลียนฟู่ผู้ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะตายลงในไม่ช้า เลือดทะลักออกมาจากอกของชายชรา ไหลหยดลงในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ก่อนจะถูกคลื่นรุนแรงซัดหายไปในพริบตา

ฝูงปลาตัวเขื่องในมหาสมุทรที่ตามกลิ่นเลือดมาเริ่มกระโจนขึ้นจากน้ำ พวกมันมารวมตัวกันบริเวณที่เลือดของเหลียนฟู่หยดกระทบน้ำ จนทำให้เกิดคลื่นกระจาย

เส้นผมแตกแห้งของเหลียนฟู่ค่อยๆ ร่วงลงมา ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ บ่งบอกสัญญาณว่าชีวิตใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว

“ราชาอวี่… โปรดอย่าทำลายงานที่พ่อของท่านทำมาชั่วชีวิตเลย!”

เหลียนฟู่ทอดถอนใจเสียงต่ำ

ตู้ม!

ม่านตาของจีเฉิงอวี่หดแคบขณะที่เลือดสีแดงค่อยๆ จางหายไปจากนัยน์ตา

ลูกธนูสีดำขลับอีกดอกพุ่งออกมาจากห้องโดยสารด้วยความเร็ว แล้วเสียบทะลุร่างอันอ่อนแรงของเหลียนฟู่ที่ตอนนี้ลอยเท้งเต้งอยู่ในอากาศ พลังปราณรุนแรงส่งร่างของชายชราลอยกระเด็นไปไกล ทิ้งเลือดกองใหญ่เอาไว้เป็นรายทาง

ร่างของเหลียนฟู่ไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย มันปลิดปลิวราวกับเป็นใบไม้แห้งที่พลิ้วไหวไปตามลม

ปัง!

ร่างของเหลียนฟู่ลอยละล่องไปชนกับเรือลำเล็กที่อยู่เหนือน้ำ ขณะที่สายตาของเขาจ้องมองขึ้นไปยังท้องฟ้ากว้าง ผมสีขาวก็ร่วงหล่นด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังปราณและวิญญาณของชายชรากำลังจะสูญสลายไป สัญญาณชีพในกายแผ่วลงทุกขณะ

“ฝ่าบาท… ข้าน้อยกำลังจะไปรับใช้พระองค์แล้ว”

เหมือนมีเสียงทอดถอนใจด้วยความโล่งอกดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

จีเฉิงอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนหลับตาลง เมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง อารมณ์สงบนิ่งก็กลับคืนมาดังเดิม

ชายหนุ่มก้าวเดินกลับไปยังดาดฟ้าเรือ ดวงตาจ้องไปยังเรือน้อยโดดเดี่ยว ปากกระตุกก่อนรู้สึกถึงคลื่นความเศร้าที่ถาโถมเข้าครอบงำจิตใจ

อย่างไรเสียเหลียนฟู่ก็ตายไปแล้ว ความตายของขันทีเฒ่านั้นไม่ต่างจากการปลดปล่อยโซ่ตรวนในใจของชายหนุ่ม

“ราชาอวี่ หากปรมาจารย์อาวุโสไม่สอดมือเข้ามายุ่ง ท่านก็คงเอาชนะหัวหน้าขันทีเหลียนไม่ได้ ท่านไม่คิดว่านี่เป็นสัญญาณว่าท่านปรมาจารย์เป็นห่วงเป็นใยท่านหรอกหรือ”

ภายในห้องโดยสารของเรือ เจ้ารู่เก๋อเดินออกมาพร้อมโบกพัดกระดาษ รอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้า แต่สำหรับจีเฉิงอวี่แล้ว รอยยิ้มนี้ดูเหมือนเป็นการยิ้มเยาะเสียมากกว่า

“เอาละ… เราจะทำอย่างไรกับศพของเหลียนฟู่ดี” เจ้ารู่เก๋อถาม

จีเฉิงอวี่เหลือบไปมองร่างไร้วิญญาณของเหลียนฟู่ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องโดยสาร

“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นมือขวาของท่านพ่อ จัดการศพให้ดี… แล้วส่งกลับไปให้จีเฉิงเสวี่ยฝังให้เรียบร้อย”

  …

นครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว

จีเฉิงเสวี่ยเอามือไพล่หลังก้าวเดินไปมาอยู่ช้าๆ ภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงตอนนี้ค่อนข้างโล่งตาเพราะบรรดาข้าราชบริพารถูกเขาไล่ให้ไปทำหน้าที่ เพื่อที่จะไม่มีใครมารบกวน

จู่ๆ จีเฉิงเสวี่ยก็หยุดเดิน ตาขวาของเขากระตุกรุนแรง ภายในใจสั่นไหว

ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบหน้าอกอย่างแรงขณะที่ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด

จีเฉิงเสวี่ยผินหน้าไปมองท้องฟ้าผ่านประตูท้องพระโรง ดาวตกดวงหนึ่งพุ่งผ่านแผ่นฟ้าไร้ที่สิ้นสุดแล้วค่อยๆ อับแสงไป

จักรพรรดิองค์ปัจจุบันหรี่ตาลงพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

ณ จวนตระกูลเซียว นครหลวง

เซียวเหมิงนั่งอยู่ในห้องทำงาน เขากำลังฝึกเขียนพู่กันด้วยจิตใจที่สงบ แต่แล้วจู่ๆ พู่กันในมือก็กระตุก มันทิ้งหยดหมึกขนาดใหญ่เอาไว้ จนงานตรงหน้าใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ตอนนั้นเองหัวใจของชายวัยกลางคนก็เริ่มกังวลและกระสับกระส่าย

หลังจากห้อยพู่กันเอาไว้บนหิ้งแล้ว เซียวเหมิงก็ฉีกชิ้นงานบนโต๊ะทิ้ง เขาเดินไปที่หน้าต่าง พลางยกมือไพล่หลังแล้วจ้องไปยังท้องฟ้ากว้าง

  …

ไอน้ำร้อนฉ่าและกลิ่นหอมเข้มข้นพวยพุ่งขึ้นมาจากชามอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ของเหลวภายในชามกำลังเดือดพล่าน

“เถ้าแก่ปู้… นี่มันคือวิธีทำปลาธารมังกรหมักน้ำส้มสายชูไม่ใช่หรือ” ขนตาเรียวยาวงดงามของเซียวเยียนอวี่กะพริบปริบขณะที่หญิงสาวมองอาหารโอสถทิพย์ของปู้ฟางที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย

ปู้ฟางล่วงรู้ทุกขั้นตอนการทำปลาธารมังกรหมักน้ำส้มสายชูได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะน้ำราดที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวและความชำนาญสูงล้น

ปู้ฟางยกมุมปากขึ้น สมุดบันทึกของเขาบอกวิธีทำและรายละเอียดสำคัญของการทำปลาธารมังกรหมักน้ำส้มสายชูไว้อย่างชัดเจน ปู้ฟางอ่านซ้ำไปมาจนวิธีทำนั้นแนบแน่นลงไปในเนื้อสมอง

ช่างบังเอิญแท้ที่วัตถุดิบหลักของอาหารโอสถทิพย์วันนี้เป็นเนื้อปลา เขาจึงได้โอกาสหัดทำปลาธารมังกรหมักน้ำส้มสายชูไปในตัว

ถึงแม้ว่าปลาที่ใช้จะไม่ใช่ชนิดเดียวกัน และในความเป็นจริงเป้าหมายหลักของอาหารทั้งสองจานก็แตกต่างกันด้วย นั่นเพราะปู้ฟางพยายามทำอาหารโอสถทิพย์ เขาจึงมุ่งเน้นไปที่สรรพคุณทางยาของอาหารมากกว่า

ชายหนุ่มใช้สมุนไพรพลังปราณจำนวนมากในการต้มปลาเพื่อให้คุณสมบัติของสมุนไพรซึมเข้าไปในเนื้อ ยิ่งไปกว่านั้น น้ำราดของเขาก็ทำมาจากมงกุฎเลือด แปลว่าสรรพคุณทางยาของอาหารจานนี้ต้องรุนแรงไม่ใช่น้อย

ปู้ฟางสังเกตอาการของเซียวเคออวิ่นมาแล้ว พิษที่ชายวัยกลางคนได้รับนั้นรุนแรงและมีฤทธิ์ต้านทานยาทุกชนิด ไม่ว่าจะใช้ยาอะไรก็คงบรรเทาได้ชั่วคราวมากกว่าจะเป็นยาแก้ถาวร การจะรักษาอีกฝ่ายให้หายในคราวเดียวนั้นยากยิ่ง หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นปู้ฟางก็ตัดสินใจจะลองดู โดยใช้วัตถุดิบที่มีสรรพคุณทางยาเข้มข้น

เนื้อปลาชิ้นนี้เป็นส่วนที่ดีที่สุดของมัจฉาปีศาจ เพราะมันต้านทานฤทธิ์กัดกร่อนของมวลอากาศสีดำได้ ซึ่งแปลว่ามันจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษในการต่อต้านพลังปราณสีดำ จัดเป็นวัตถุดิบหลักที่สมบูรณ์แบบสำหรับอาหารจานนี้ที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อปลาชิ้นนี้ยังดูดซึมสรรพคุณของสมุนไพรพลังปราณเข้าไปเป็นจำนวนมาก น้ำราดที่ทำมาจากมงกุฎเลือดของมัจฉาปีศาจพิษมงกุฎเลือดชามนี้มีพลังการรักษาที่รุนแรง แรงเสียยิ่งกว่าน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงที่ปู้ฟางเคยทำก่อนหน้านี้เสียอีก

เขาเอื้อมมือไปผลักประตูครัว บรรดาคนที่รออยู่ภายนอกต่างหันมามองปู้ฟางพลางกะพริบตาปริบ

“เข้ามาได้ พาคนป่วยมาด้วย อาหารโอสถทิพย์พร้อมแล้ว จะได้ผลหรือไม่… ก็แล้วแต่บุญวาสนาของเขาแล้วละ”

ปู้ฟางประกาศด้วยน้ำเสียงสงบ เซียวเคออวิ่นได้รับบาดเจ็บหนักเพราะพิษกร่อนร่างเขาไปแล้วกว่าครึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเนื้อส่วนที่ดีที่สุดของมัจฉาปีศาจ ก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะช่วยชีวิตได้หรือไม่

หลินฉินเอ๋อร์กระวนกระวายไปหมด นางเร่งหญิงรับใช้ให้ไปแบกนายท่านรองมาที่นี่ทันที

เซียวเคออวิ่นดูอ่อนแอและเปราะบาง สัญญาณชีวิตหดหาย

ทว่าทันทีที่ได้กลิ่นหอมหวนลอยออกมาจากครัว นัยน์ตาของชายวัยกลางคนก็ส่องประกาย ความเจ็บปวดในร่างกายบรรเทาเบาบางลงมาก

“ต้องรบกวนท่านแล้ว คุณชายปู้” เซียวเคออวิ่นยกมือคารวะปู้ฟาง

ปู้ฟางโบกมือ หันมองรอบๆ ก่อนจะชี้ไปยังชามอาหารโอสถทิพย์ไอโขมงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ

“นี่คืออาหารโอสถทิพย์ แม่นางเซียว โปรดป้อนเขาด้วย” ปู้ฟางพูดเนิบๆ

ทุกคนในตระกูลเซียวจ้องชามอาหารที่ปู้ฟางทำไม่วางตา จู่ๆ พวกเขาก็พากันหรี่ตาเพราะรู้สึกข้องใจ

“นี่มันก็แค่…ปลาธารมังกรหมักน้ำส้มสายชูไม่ใช่หรือ อาหารธรรมดาเช่นนี้จะรักษานายท่านรองได้อย่างไรกัน ช่างไร้สาระสิ้นดี!”