ตอนที่ 416 หลิงเทียนโหว โดย ProjectZyphon
เวลาหลายวันผ่านไปในชั่วพริบตา ถึงงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีแล้ว
หลินสวินนั่งเกี้ยวสมบัติไปถึงเมืองชั้นใน จากนั้นสั่งให้จูเหล่าซานกลับไป แล้วถือเทียบเชิญเข้าเมืองชั้นในไปโดยลำพัง
เมืองชั้นในเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ ถ้าไม่มีเทียบเชิญ อย่าว่าแต่หลินสวินเลย แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ยังยากจะเข้าไปได้
เมื่อเดินเข้าไปราวกับได้หลุดไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง มองไปรอบๆ มีสิ่งก่อสร้างโบราณสูงใหญ่ตระหง่านตระการตา ส่องประกายศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
อยู่ในนั้นแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กจ้อย เหตุผลเพราะสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นใหญ่โตเกินไปและสูงตระหง่านอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตำแหน่งของพระราชวังหาง่ายมาก ตั้งอยู่ตรงกลางของเมืองชั้นใน มองไปก็จะเห็นถนนหยกสีขาวที่มีความกว้างหลายสิบจั้งซึ่งนำไปสู่ประตูของพระราชวัง
สองข้างของถนนหยกขาวมีทหารองครักษ์ประจำพระราชวังเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด แต่ละคนใส่เสื้อเกาะ ถืออาวุธอยู่ในชุดพร้อมรบ สีหน้าฉายไอสังหาร องอาจสง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม
ตอนที่หลินสวินไปถึงก็มีแขกมากมายมาถึงแล้วเช่นกัน ล้วนเป็นบุคคลชนชั้นสูง ผู้ฝึกปราณที่สาดประกายความน่าเกรงขามก็ไม่น้อย ทำให้หลินสวินเห็นแล้วลอบตะลึงในใจ
งานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันนี้จะต้องคึกคักมากอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเดินเข้าไปคนเดียว เขาเข้ามาในเมืองชั้นในเป็นครั้งแรกจึงมองไปรอบๆ ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสิริมงคล สิ่งก่อสร้างโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่แฝงความน่าเกรงขาม
จักรวรรดิจื่อเย่ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น นครต้องห้ามเจริญรุ่งเรืองขนาดนั้น เมืองชั้นในที่เป็นใจกลางของนครต้องห้าม แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา
ระหว่างทางมีหลายคนจำหลินสวินได้ สายตาที่มองเขาต่างแฝงความแปลกประหลาด ลอบวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
หลินสวินในตอนนี้กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในนครต้องห้ามไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าเรื่องที่เอาชนะฮวาอู๋โยว เรื่องที่ได้รับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ หรือเรื่องที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินีที่เพิ่งผ่านมา ล้วนสร้างความฮือฮาอย่างมากในนครต้องห้าม เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต่างให้ความสนใจ
เพราะฉะนั้นการเดินอยู่ในเมืองชั้นในแล้วมีคนรู้จักจึงเป็นเรื่องปกติ
ไม่นานหลินสวินก็เห็นเงาร่างอันงดงามที่คุ้นเคย ไป๋หลิงซี!
นางเองก็มาคนเดียว สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงกลางหลัง เรือนร่างสูงโปร่งแบบบางดูบริสุทธิ์สะอาดท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามเช้า
เห็นเพียงเบื้องหลังยังดูงดงามโดดเด่น
ที่แท้นางก็มาด้วย
หลินสวินกำลังไตร่ตรองว่าควรเข้าไปทักทายหรือไม่ ถึงอย่างไรตอนเจอกันที่หอสรวลทรัพย์ไป๋หลิงซีก็เคยออกหน้าช่วยเขาหลายครั้ง แม้ไป๋หลิงซีจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่หลินสวินไม่อาจมองข้ามบุญคุณไปได้
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ ไป๋หลิงซีที่อยู่ข้างหน้าชะงักฝีเท้าราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แล้วพลันหันขวับมา ชั่วพริบตานั้นดวงตากระจ่างดั่งดวงดาราคู่นั้นก็มองเห็นหลินสวิน
เห็นได้ชัดว่านางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอหลินสวินที่นี่ จึงอดอึ้งงันไม่ได้แล้วเดินเข้ามาทันที กล่าวว่า “เจ้าก็มาด้วยหรือ”
หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “บังเอิญจริง”
“เข้าไปด้วยกันเถอะ”
ไป๋หลิงซีพูดอย่างสบายๆ ก่อนจะเดินเคียงบ่าไปพร้อมกับหลินสวิน
ดวงหน้าของนางงดงาม คิ้วตาดุจภาพวาด เรือนร่างแบบบาง ผิวพรรณขาวกระจ่างราวหยกงาม ท่าทีเรียบเฉยสบายๆ ราวกับเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
แม้ไม่นานมานี้เพิ่งได้เจอกันแล้วรอบหนึ่ง แต่หลินสวินก็ยังคงอดตะลึงในความงามไม่ได้ หญิงสาวที่มีพรสวรรค์ ‘ดารานิรันดร์’ ผู้นี้งดงามสะดุดตายิ่งกว่าเดิม
“เมื่อสองปีที่แล้วตอนอยู่ค่ายกระหายเลือด ข้าเคยคิดว่าคุณภาพบ่อพลังวิญญาณที่ข้ากลั่นเกลาเหนือกว่าเจ้าระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่า บ่อพลังวิญญาณที่เจ้าหล่อหลอมขึ้นมา น่าจะไม่ใช่แค่บ่อพลังวิญญาณขั้นหนึ่งธรรมดาๆ”
จู่ๆ ไป๋หลิงซีก็พูดถึงเรื่องในอดีต
หลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าว “ก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน”
ดวงตาคู่กระจ่างของไป๋หลิงซีกวาดมองหลินสวินอย่างคลุมเครือแวบหนึ่ง ค่อยพูดว่า “ต่างสิ อย่างน้อยอาศัยแค่พื้นฐานของบ่อพลังวิญญาณขั้นหนึ่ง ไม่มีทางทำให้พลังปราณของเจ้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางระยะสมบูรณ์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงสองปีได้แน่”
นางหยุดไปครู่ หว่างคิ้วเผยความสงสัย เอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เจ้าใช้เพียงพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น ก็สามารถเอาชนะฮวาอู๋โยวที่อยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้”
“ข้ารู้ความสามารถของฮวาอู๋โยว นางถือเป็นบุคคลระดับแนวหน้าของสาขายุทธ์วิถีแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต พลังการต่อสู้เพียงพอที่จะติดอันดับในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ในสถานการณ์แบบนี้เจ้ายังสามารถเอาชนะนางได้ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นฐานแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ไป๋หลิงซีก็เชยตาขึ้นจ้องมองเสี้ยวหน้าของหลินสวิน ริมฝีปากแดงก่ำเปิดออกเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ปีนั้นหลังจากชีพจรวิญญาณของเจ้าถูกช่วงชิงไป คุณลักษณะพรสวรรค์ในตัวเจ้าเหมือนจะไม่ได้หายไปด้วย”
หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว คิดไม่ถึงเลยว่า ไป๋หลิงซีเพียงแค่วิเคราะห์ ก็เกือบจะอ่านความลับสุดยอดในตัวเขาออกแล้ว!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบข้า นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า”
ไป๋หลิงซีละสายตาออก มองไปยังราชวังอันสูงตระหง่านแล้วพูดเสียงเบา “ช่วงก่อนข้าได้รู้เรื่องบางอย่างเข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าภายนอกอาณาเขตจักรวรรดิจื่อเย่า ยังมีอาณาจักรลี้ลับที่กว้างขวางยิ่งกว่า ในนั้นมีสำนักยุทธ์อันเก่าแก่ มีดินแดนอุดมราวกับเป็นที่อยู่ของเหล่าเซียน รวมทั้งมีทรัพยากรที่เอื้อต่อการฝึกปราณอันยากจะจินตนาการ”
หลินสวินหัวใจสะท้าน นึกถึงเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ที่สังหารบิดามารดาและคนในตระกูลของตน!
ตามที่ผู้อาวุโสในตำหนักแสงทมิฬผู้นั้นบอก อวิ๋นชิ่งไป๋คนนี้ก็มาจากสำนักยุทธ์ลี้ลับที่มีชื่อว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
“ผู้อาวุโสในตระกูลบอกว่า มีเพียงการไปเยือนสถานที่แห่งนั้น จึงจะนำไปสู่เส้นทางแห่งยุทธ์อย่างแท้จริง พลังปราณบรรลุสู่ระดับสูงสุด มีชีวิตที่เป็นอมตะ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์ไป”
น้ำเสียงไป๋หลิงซีแผ่วเบา ใบหน้าอันงดงามเรียบเนียนดั่งเนื้อหยก เผยความมุ่งหวังจากส่วนลึกของหัวใจ
หลินสวินรู้สึกแปลกๆ เขามั่นใจในระดับหนึ่งว่า ดินแดนอันลี้ลับที่ไป๋หลิงซีพูดถึง คือที่ที่อวิ๋นชิ่งไป๋จากมา!
“อีกไม่นานข้าจะออกเดินทางไปตามหาเส้นทางนั้น”
ไป๋หลิงซีสูดหายใจเข้า แม้เสียงจะราบเรียบ แต่กลับเผยความหนักแน่นอย่างเหลือเชื่อ
มองหญิงสาวชุดเขียวที่เปล่งประกายความบริสุทธิ์ดั่งภาพมายาอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า ในใจหลินสวินก็อดชื่นชมไม่ได้ ยิ้มบางๆ พูด “งั้นข้าอวยพรเจ้าล่วงหน้า ขอให้สมดั่งปรารถนา”
เขาดูออกว่าไป๋หลิงซีมีความมุ่งมั่นอย่างที่สุดในด้านการฝึกปราณและหนทางสู่ยุทธ์ จึงทำให้นางโดดเด่นสะดุดตากว่าใครใต้หล้านี้
ไป๋หลิงซีระบายยิ้มอันงดงาม รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นั่นงดงามตระการตาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับสามารถทำให้ใต้หล้าหม่นแสงลงได้
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ในงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษาครั้งนี้มีผู้กล้ามากมายที่ได้ครองตำแหน่งในด้านต่างๆ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนเดินทางมาด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขามาเพราะเหตุใด”
จู่ๆ ไป๋หลิงซีก็ถามขึ้น
“หรือพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่ออวยพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาเท่านั้น?”
หลินสวินชะงักไป
ไป๋หลิงซีส่ายหน้า “งานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ได้ยินว่า…มีคนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งมาจากดินแดนลี้ลับที่อยู่นอกจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนั้น ถ้าได้รับความโปรดปรานจากพวกเขา ไม่แน่ว่าเพียงก้าวเดียวอาจทะยานถึงฟ้า ได้ตามพวกเขาไปฝึกปราณที่ดินแดนลี้ลับแห่งนั้น”
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ในยามนี้ ว่าเหตุใดไป๋หลิงซีจึงพูดเรื่องพวกนี้กับตน ที่แท้นางก็มาเพื่อการนี้
หลินสวินถึงขั้นเดาว่า ไป๋หลิงซีอาจเข้าใจผิด คิดว่าที่ตนมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ก็เพื่อมาแย่งโอกาสนี้เช่นกัน
หลินสวินกำลังจะอ้าปากพูด แต่ในขณะนั้นเองเสียงคำรามพลันดังขึ้นจากข้างหลัง เสียงดังกึกก้องดึงดูดความสนใจจากหลายสายตาทันควัน
ที่นี่เป็นเมืองชั้นในเชียวนะ และถนนหยกขาวก็ตรงไปที่พระราชวังอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ใครกล้าอวดดีทำเสียงดังขนาดนี้?
พอหันไปก็เห็นเป็นเกี้ยวสมบัติหรูหราที่ลากโดยอสูรมังกรกีบดำสี่ตัวกำลังห้อตะบึงมาทางนี้
เกี้ยวสมบัตินั่นสาดประกายระยิบระยับ ตกแต่งด้วยลายเมฆสีม่วง อสูรมังกรกีบดำสี่ตัวนั้นยิ่งน่ากลัวกว่า แต่ละตัวล้วนดูเหี้ยมโหด ดุดันอย่างมาก
กล้าอาละวาดบนถนนหยกขาวขนาดนี้ ทั้งยังไม่มีใครกล้าขวาง เห็นได้ชัดว่าฐานะของเจ้าของเกี้ยวสมบัตินี้ไม่ธรรมดาแน่
“เกี้ยวสมบัติอสูรมังกรดำ! หลิงเทียนโหวกลับมาแล้ว!”
“ห้าปีที่แล้วหลิงเทียนโหวออกจากนครต้องห้ามไปพร้อมพลังปราณระดับจิตผสานวิญญาณ บุกสังหารเข้าไปบำเพ็ญเพียรในดินแดนรกร้างไร้สงบเพียงลำพัง ฆ่าพวกเผ่ามืดไปไม่รู้กี่ชีวิต จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้ในห้าปีหลังจากนั้น เขาจะหวนกลับมาที่นครต้องห้าม!”
“ห่างไปห้าปี ก็ไม่รู้ว่าหลิงเทียนโหวแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว อย่างน้อยๆ…ก็คงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์กระมัง”
หลายคนบนถนนหยกขาวต่างตื่นตกใจ จำฐานะของผู้มาเยือนได้ ว่าเป็นท่านโหวหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในราชวงศ์ หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้น!
บุคคลนี้เป็นผู้กล้าที่นิสัยดุดัน เผด็จการและเย่อหยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ พรสวรรค์ด้านการฝึกปราณของเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด
ห้าปีที่แล้วหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นเพิ่งจะอายุสิบสี่ นิสัยดื้อรั้นเกเร ฆ่าผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนคาที่ เพียงเพราะแย่งผู้ฝึกปราณหญิงสายศิลป์คนหนึ่งที่หอนางโลม ไม่เพียงบังคับชิงตัวผู้ฝึกปราณหญิงสายศิลป์คนนั้นไป ยังจุดไฟเผาหอนางโลมแห่งนั้น สร้างความสะเทือนอย่างมากในนครต้องห้าม
สุดท้ายถึงขั้นกลายเป็นจุดสนใจของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน จนมีราชโองการขับหลิงเทียนโหวออกจากนครต้องห้าม เนรเทศไปชายแดนจักรวรรดิ ให้เขาทำคุณไถ่โทษ
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ผ่านไปเพียงห้าปีเท่านั้น หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นก็หวนกลับสู่นครต้องห้ามอีกครั้ง!
เพียงฟังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นรอบๆ หลินสวินก็เข้าใจทันทีว่า ที่เกี้ยวสมบัติอสูรมังกรดำนี้กล้าวิ่งอย่างบ้าคลั่งบนถนนหยกขาวเช่นนี้ เพราะฐานะของเจ้าของไม่ธรรมดาจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
“เจ้าหมอนี่ดันกลับมาแล้ว…”
ไป๋หลิงซีย่นคิ้วเล็กน้อย ความชิงชังผ่านเข้ามาในสายตาแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านางเองก็เคยได้ยินประวัติของหลิงเทียนโหวคนนี้เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินคิดไม่ถึงคือ ตอนที่เกี้ยวสมบัติอสูรมังกรดำนั่นกำลังผ่านตัวเขา มันกลับหยุดอย่างกะทันหัน เพราะหยุดเร็วเกินไปทำให้อสูรมังกรที่ลากเกี้ยวสมบัติตัวหนึ่งพลันยกตัวขึ้นมา สองขาหน้าที่หนาใหญ่ดั่งเสาเหล็กกระแทกมาทางหลินสวิน!
พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังแว่วขึ้นบริเวณนั้น
ฉากนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไปแล้ว คิดจะหลบยังไม่ทัน
ความจริงหลินสวินเองก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ด้วยสัญชาตญาณที่หล่อหลอมขึ้นจากการต่อสู้มานานปี ทำให้เขาเบี่ยงตัวก้าวเท้าอย่างคล่องแคล่ว หลบไปอยู่อีกด้าน
——