บทที่ 24 สถานการณ์พลิกผัน ถือโอกาสแสดงน้ำใจ (2) โดย Ink Stone_Romance
หลัวอวี่ก่วนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางหยุดคิดไปชั่วครู่ถึงจะกัดปากเอ่ยกับฮูหยินรองหลัวว่า “ท่านแม่ ในเมื่อแม่นางโม่จะก่อความวุ่นวาย ท่านก็ไม่ต้องออกหน้าเรื่องนี้อีก อย่างไรก็เป็นเรื่องของครอบครัวฮูหยินใหญ่ ท่านพูดมากไป…ก็ไม่ดี!”
ฮูหยินรองหลัวคิดจะฉวยโอกาสซ้ำเติม และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานี้นางเกลียดฮูหยินใหญ่จนเข้ากระดูกดำจนหน้าบูดบึ้งในทันที
หลัวอวี่ก่วนร้อนตัวไปชั่วขณะ และรีบก้มหน้าทำเป็นกลบเกลื่อน “ท่านแม่ ในเมื่อผลก็ออกมาเหมือนกัน พวกเราคอยฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก็พอแล้ว หากพูดมากไปอาจทำให้คนนอกระแวงได้”
ฮูหยินรองหลัวนิ่งอึ้งไป นางก็คิดว่าอนาคตของลูกชายสำคัญเช่นกัน ดังนั้นตระกูลหลัวของพวกเขาจะแอบวางแผนร้ายยังไงนางก็ไม่สนใจทั้งนั้น แต่หากนางออกหน้าแสดงอาการมากเกินไปแล้วถูกคนจับได้ก็กลัวว่าจะทำให้เรื่องยุ่งยาก
พอลองไตร่ตรองดูแล้ว ฮูหยินรองหลัวถึงพยักหน้า “อืม เรื่องนี้ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร เจ้าให้เวลาข้าค่อยๆ คิดหน่อยแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ!” หลัวอวี่ก่วนมีเรื่องให้คิดในใจจึงยังใจลอยไปบ้าง
ฮูหยินรองหลัวเห็นสีหน้านางไม่สู้ดีนักก็ตบมือนาง “เจ้าไม่สบายก็ไปพักเถอะ ข้าต้องรีบไปส่งท่านหญิงสวินหยาง”
นางพูดไปก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีก จึงหันกลับไปหาหลัวอวี่ก่วนว่า “นางบอกว่ามาขอโทษเจ้าเรื่องหลายวันก่อน พวกเจ้าเข้ากันได้ดีหรือไม่? ข้าว่าท่านหญิงคนนี้ดูเป็นคนเข้ากับคนง่าย ไม่รู้ว่าเก่งกว่าท่านหญิงอันเล่อแค่ไหน ต่อไปถ้ามีโอกาสเจ้าต้องสนิทกับนางให้มากเข้าไว้ วันหลังหากบงการนางได้ องค์รัชทายาทก็ต้องเข้าข้างพี่ชายเจ้าบ้าง เส้นทางการเป็นขุนนางก็ยิ่งราบรื่นขึ้นอีก”
ให้นางไปประจบฉู่สวินหยาง?
หากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ใช่แม่ของตนเอง หลัวอวี่ก่วนต้องโกรธจนแทบทนไม่ไหวและไล่ตะเพิดไปแน่ ตอนนี้จึงต้องแอบอดทนไว้นานมากถึงจะฝืนยับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้ และเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเซียวว่า “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว!”
“อือ เจ้าไปพักเถอะ ข้าไปก่อน” ฮูหยินรองหลัวไม่ได้คิดอะไรมาก นางพูดไปก็โบกมือพาคนตามฉู่สวินหยางไป
—————————————————–
เพราะว่าจัดการธุระได้ราบรื่นกว่าที่คิดไว้มาก ฉู่สวินหยางจึงออกมาจากเรือนของหลัวอวี่ก่วนอย่างไม่รีรอ
เวลานั้นเกี้ยวที่มารับนางยังไม่มา สองนายบ่าวจึงเดินกลับไปตามทางเดิม
ทั่วทั้งบริเวณเรือนที่สามของจวนหลัวกั๋วกงเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ แม้ไม่ได้สวยงามมากนัก แต่ศาลาริมน้ำนั้นสร้างอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ภูเขาจำลองตั้งตระหง่าน ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้สีเขียวเข้ม ระหว่างเดินรู้สึกเบิกบานใจคล้ายได้เดินชมแมกไม้ไปตามทางแคบกลางป่ามากทีเดียว
ฉู่สวินหยางพาชิงเถิงเดินไปพลาง ชมวิวไปพลางอย่างเรื่อยเปื่อย
และนางยังจงใจเดินให้ช้าลง เพื่อรอให้ฮูหยินรองหลัวตามมา ‘ส่งกันและกัน’ ทันด้วย
“สวนแห่งนี้ของจวนกั๋วกงแลดูใหญ่เสียจริง หากไม่ได้มากับท่านหญิง ข้ามาคนเดียวคงต้องหลงทางแน่เจ้าค่ะ” ชิงเถิงเอ่ยชม
พวกนางเดินไปได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสาวใช้ร้องตะโกนอย่างกระวนกระวายดังมาจากหลังดงต้นสนเขียวขจีตรงหน้าไม่ไกล “คุณชายหลัวเฉิน รีบลงมาเถอะเจ้าค่ะ เซียงเสว่ไปตามคนมาช่วยแล้ว อีกเดี๋ยวจะให้คนเก็บว่าวลงมาให้ท่าน โอ้…ระวังเจ้าค่ะ คุณชาย รีบลงมาเถอะเจ้าค่ะ”
สาวใช้พูดจนท้ายที่สุดเสียงนางคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ฉู่สวินหยางเหลือบตาขึ้นมอง ชิงเถิงชี้ไปยังหลังคาศาลาที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้เยื้องกัน เห็นว่าวตัวหนึ่งเกี่ยวติดแผ่นกระเบื้องปูหลังคาที่โค้งขึ้นมาตรงนั้น
พอตั้งใจมองอีกทีก็เห็นเด็กน้อยตัวเล็ก กำลังขยับก้นปีนขึ้นไปบนภูเขาจำลองที่อยู่ข้างๆ กันนั้น
เด็กอ้วนจ้ำม่ำน่าจะอายุราวๆ สี่ห้าขวบ แต่กลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว ระหว่างที่พูดนั้นก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไปจนยืนตัวสั่นอยู่บนยอดภูเขาจำลองแล้ว เขาพยายามจะยื่นสองมือเล็กป้อมไปหาว่าวที่เกี่ยวติดอยู่บนหลังคานั้น
ภูเขาจำลองที่ว่าสร้างด้วยการประกอบเศษหินรูปทรงแปลกประหลาดมากมายเข้าด้วยกัน ดูมั่นคงแข็งแรง แต่เขายืนอยู่ตรงที่ส่วนยื่นออกมาข้างนอก และด้านล่างไม่มีอะไรรองรับแม้แต่น้อย
“คุณชายหลัวเฉิน…” สาวใช้ข้างล่างทนไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา
ฉู่สวินหยางเห็นท่าทางก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่ จึงรีบเดินฝ่าพุ่มไม้เข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นก้อนหินที่เชื่อมต่อกันพลันแยกออกจากกันอย่างที่คิด ร่างเด็กอ้วนตุ๊ต๊ะร่วงหล่นลงมาเสียงดังลั่น
“อ๊า!” สาวใช้ที่คอยอยู่ด้านล่างลงไปนั่งยองกุมหัวและกรีดร้องโหยหวน
ในช่วงเวลาที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น ฉู่สวินหยางกระโจนเข้าหาอย่างรวดเร็ว นางใช้มือเดียวยันก้อนหินด้านล่างไว้แล้วถีบตัวขึ้นไปรับเด็กคนนั้นไว้ด้วยสองมือ
ถึงแม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่าครั้งนี้แรงปะทะคงไม่น้อย แต่พอรับตัวเด็กมาแล้วถึงได้รู้ว่าเด็กนี่ตัวหนักว่าที่นางคิดไว้มาก แขนทั้งสองข้างของนางถูกเขาถ่วงลงต่ำจนเกือบเสียการทรงตัว
ฉู่สวินหยางลนลานจนรีบจับตัวเด็กไว้ให้มั่น หากสมาธิหลุดไปในเวลานี้ก็จะไม่มีอะไรป้องกันเท้าตอนที่ถึงพื้น ทว่าพอตกลงมาจากที่สูงก็เหยียบหลุมบนพื้นได้พอดี ร่างกายกลับหงายไปด้านหลัง
ฉู่สวินหยางลอบถอนหายใจในใจที่เริ่มต้นได้ไม่ดีตั้งแต่แรก สุดท้ายสิ่งเดียวที่ทำได้คือย้ายเจ้าเด็กอ้วนในอ้อมกอดไปอยู่ในจุดที่มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรทับเขาบนพื้น แต่ชั่วพริบตาที่เหลือบตาลงกลับเห็นเด็กเคราะห์ร้ายกำลังกะพริบตาโตเหมือนผลองุ่นปริบๆ และยิ้มแหยให้นาง
ฉู่สวินหยางอึ้งไป ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่ามีฝ่ามือแสนอบอุ่นดันหลังเอวไว้
ในเวลาเดียวกันอีกมือหนึ่งของคนนั้นก็คว้าสายคาดเอวของเด็กผู้โชคร้ายไว้ แล้วดึงเขาออกไปจากอ้อมอกนางไร้ซึ่งความอ่อนโยน
ฉู่สวินหยางทรงตัวได้แล้วก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ท่านหญิง!” เมื่อครู่ชิงเถิงตกใจกลัวเหมือนกัน ตอนนี้เพิ่งจะได้สติวิ่งเข้ามาประคองแขนนางอย่างไว กล่าวว่า “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไร!” ฉู่สวินหยางส่ายหน้า แต่พอเหลือบตาขึ้นกลับกลั้นไม่ไหวจนอยากจะหัวเราะกับภาพตรงหน้า
เจ้าเด็กดวงซวยคล้ายกำลังห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ด้วยฝีมือชายผู้สวมเสื้อคลุมถักทอด้วยผ้าดิ้นแวววาวที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเมื่อครู่ เขาถือสายคาดเอวของเด็กนั่นเอาไว้ ร่างอ้วนตุ้ยนุ้ยสวมชุดสีน้ำเงินเข้มดิ้นรนสุดฤทธิ์เหวี่ยงมือสะเปะสะปะไร้ทิศทาง เหมือนเต่าทะเลตัวใหญ่อยู่กลางอากาศ พลังล้นเหลือจนตะโกนเสียงดังด้วยว่า
“ปล่อยข้าลง! ข้าจะลง!”
หาได้สำนึกไม่ว่าตนเองเพิ่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิด
แต่ชายคนนั้นกลับทำเหมือนจงใจลงโทษเขา เพียงยื่นแขนที่ถือเขาไว้ไปข้างตัวและปล่อยให้เขาตะโกนต่อไป
ฉู่สวินหยางเห็นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทันใดนั้นเองชายผู้สวมเสื้อคลุมถักทอด้วยผ้าดิ้นแวววาวเหมือนเพิ่งนึกถึงนางขึ้นมาได้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบนัยน์ตาใสแจ๋วแวววาวงามจับตาเข้าพอดี
หญิงสาวหน้าตางดงาม นัยน์ตากลมโตดำขลับ คิ้วโก่ง จมูกเล็ก รอยยิ้มบางแต่งแต้มมุมปากเจือแววขบขันเล็กน้อย ชั่วพริบตานั้นยิ่งเหมือนดอกเหมยที่บานสะพรั่งอย่างงดงามและอิสระบนยอดไม้ท่ามกลางหิมะ
อันที่จริงหลัวเถิงกับฉู่สวินหยางไม่ได้เพิ่งเจอกันครั้งแรก ถึงแม้จะไม่ได้นั่งด้วยกันในงานเลี้ยงราชสำนักคราวก่อน แต่ก็ยังเห็นกันอยู่ไกลๆ บ้าง เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายต่างจดจำอีกฝ่ายได้อย่างเลือนรางมากเท่านั้นเอง
——————————————-