ตอนที่ 290 รักษาองค์ชายอย่างฉุกเฉิน (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนนี้เว่ยจางเป็นผู้โดดเด่นในเหล่าแม่ทัพหนุ่ม อีกอย่างเขาเกิดมามีฐานะที่บริสุทธิ์ จึงห่างไกลจากการแย่งชิงอำนาจฮ่องเต้อย่างมาก

ถึงแม้เขาคือแม่ทัพที่เจิ้นกั๋วกงโปรดปราน ทว่าตระกูลหันเป็นตระกูลที่สามัญชนสมรสกับองค์หญิง องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเป็นน้องสาวที่มีมารดาผู้ให้กำเนิดเดียวกับฮ่องเต้ หลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ นอกจากวันที่มีเทศกาลอะไร องค์หญิงแทบจะไม่เข้าวังหลวง และไม่ได้ไปมาหาสู่กับนางสนมในวังในอะไร ฮ่องเต้จึงรู้สึกวางใจในตระกูลหัน

เรื่องในอนาคตใครก็ไม่กล้าพูดถึง ทว่าเรื่องของคืนนี้เว่ยจางหลบเลี่ยงได้ก็ต้องหลบเลี่ยงไว้ก่อน

คืนนี้หากไปจวนอัครเสนาบดีเฟิงแล้วฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องเข้า ถึงแม้ไม่ถึงขั้นที่ต้องเสียอนาคต ทว่าอย่างน้อยฮ่องเต้ก็ต้องสงสัยเขามากขึ้น ต่อให้ไม่สงสัยก็ต้องรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ดังนั้นเว่ยจางห้ามไปเด็ดขาด

“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” เหยาเหยียนอี้เห็นว่าเว่ยจางค่อยๆ รู้แจ้งจึงเร่งให้เขากลับจวนด้วยเสียงต่ำ

“ได้” เว่ยจางพยักหน้า ภายในใจแอบนับถือการมองการณ์ไกลของพี่รองว่าที่ภรรยาคนนี้

เหยาเยี่ยนอวี่กลับมาก็ทันแค่เปลี่ยนเสื้อและจิบชาไปหนึ่งคำก็ต้องเดินทางไปจวนอัครเสนาบดีโดยมีเหยาเหยียนอี้ไปเป็นเพื่อน ตอนที่ออกเดินทาง เหยาเหยียนอี้สั่งการเซินเจียง “เจ้าไปหาพ่อบ้านเอกไหลฝูที่จวนเจิ้นกั๋วกง บอกเขาว่าคุณหนูรองกลับจวนแล้ว พวกเรากำลังเดินทางไปจวนอัครเสนาบดี บอกเขาว่าอย่างกระวนกระวายไปเลย”

เซินเจียงรับคำแล้วหายไปในพริบตา

เหยาเหยียนอี้สั่งการคนขับรถม้า “เร็วเข้า ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า ห้ามชักช้าเด็ดขาด!”

คนขับรถม้าฟาดแส้ม้าพร้อมมุ่งหน้าไปจวนอัครเสนาบดีทันที

จวนอัครเสนาบดียังคงเป็นเหมือนวันวาน ประตูใหญ่ปิดสนิท โคมไฟสีแดงสองดวงส่องสว่างอย่างเงียบสงบ

เหยาเหยียนอี้ลงรถม้าไปเคาะประตูพร้อมทั้งแจ้งนามของตน คนเฝ้าประตูตะลึงงัน จึงออกไปดูตรงนอกประตู พอไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อบ้านเอกไหลฝูจึงยิ่งแปลกใจกว่าเดิม “ใต้เท้าเหยา พ่อบ้านเอกของพวกเรา…”

“เขาจะตามมาทีหลัง” เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้ว

“ใต้เท้าเหยามาแล้วหรือ เชิญเข้ามาด้านในก่อนเถอะ นายท่านผู้เฒ่าของพวกเราคอยท่านนานแล้ว!” บ่าววัยกลางคนคนหนึ่งออกมาจากด้านในประตูแล้วประสานมือคารวะให้เหยาเหยียนอี้ ทั้งยังสั่งการบ่าวเยาว์วัยที่อยู่ข้างๆ “รีบเปิดประตูแล้วให้รถม้าของใต้เท้าเหยาเข้ามาเถอะ!”

เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ในรถม้าแล้วเข้าประตูใหญ่จวนอัครเสนาบดี จากนั้นก็ลงรถม้าตรงประตูสอง พร้อมขึ้นเกี้ยวเล็กคันหนึ่งทันที จากนั้นก็ถูกผัวจื่อยกเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ ด้านหน้ามีบ่าวชรานำทาง เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้วเดินตามอยู่ด้านข้าง ด้านหลังยังมีชุ่ยเวยและชุ่ยผิงติดตามอยู่

คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปถึงเรือนเซวียนเม่าอย่างเร่งรีบ เกี้ยวเล็กจอดลง เหยาเยี่ยนอวี่ออกมาจากด้านในก็เห็นผัวจื่ออายุห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งคอยอยู่ตรงหน้าประตู พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ก็เดินหน้าไปน้อมทำความเคารพ “น้อมคำนับคุณหนูเหยาเจ้าค่ะ”

หมัวมัวคนนี้คือคนที่เหยาเยี่ยนอวี่เจอเมื่อก่อนหน้านี้ พอรู้ว่านางคือคนที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงจึงตอบกลับทันที “หมัวมัวไม่จำเป็นต้องมากพิธี ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

หมัวมัวคนนี้จึงเฉียงตัวไปด้านข้างด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง “ได้โปรดคุณหนูเหยาตามบ่าวมาเถอะ”

ตามหลักแล้วเรือนเซวียนเม่าคือเรือนในของจวนอัครเสนาบดี เหยาเหยียนอี้ที่เป็นบุรุษคนนอกก็คงไม่สะดวกที่จะเข้าไปด้านใน ผัวจื่อผู้นั้นมองเหยาเหยียนอี้อย่างสองจิตสองใจแล้วค้อมตัวลงอีกครั้งพร้อมทั้งพูดอย่างเกรงใจ “ใต้เท้าเหยา นายท่านผู้เฒ่าของพวกเราอยู่ด้านใน ใต้เท้าเหยาเชิญเจ้าค่ะ”

สองพี่น้องเหยาเยี่ยนอวี่ติดตามผัวจื่อคนนั้นเข้าไปตรงประตูเรือนเซวียนเม่า พอเดินผ่านโถงหลักก็อ้อมประตูฉุยฮวาพลางเดินเปลี่ยนทิศแล้วออกจากประตูเล็กทางฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเรือนเซวียนเม่าเข้าไปในเรือนเล็กอันเงียบสงบ

พอเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปในเรือนเล็กก็รู้สึกประหม่าประหลาด จึงอดมองซ้ายแลขวาไม่ได้ กลับเห็นมุมหลังคาประตูเรือนเล็กแห่งนี้และพุ่มไม้มีคนสิบกว่าคนซุกซ่อนตัวอยู่ คนพวกนี้เป็นยอดฝีมือที่ถูกร่ำลือกันมา มาแฝงตัวไว้ในนี้อย่างไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงเพื่อที่จะจับกุมใครบางคนหรือเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยของเรือนเล็กแห่งนี้กันแน่

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ภายในใจกลับแอบขบคิด ใครอยู่ในเรือนเล็กกันแน่ กลับได้รับผลกระทบใหญ่หลวงขนาดนี้เชียวหรือ

พอถึงเรือนเล็กแห่งนี้ หมัวมัวคนนั้นก็ไม่เดินหน้าต่อ แค่ค้อมตัวพูดขึ้น “คุณหนูเหยา เชิญเข้าเรือนหลักเจ้าค่ะ ใต้เท้าเหยาเชิญตามบ่าวไปจิบชาฝั่งนี้เจ้าค่ะ”

“พี่รอง” เหยาเยี่ยนอวี่ตั้งใจถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวแล้วหันไปมองเหยาเหยียนอี้

“อืม เป็นอะไรไป” เหยาเหยียนอี้กลับไม่ได้สังเกตเห็นคนพวกนั้นที่ซ่อนอยู่ในละแวกนี้ เขาไม่ได้มีตาทิพย์และหูทิพย์ดีเหมือนเหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเยี่ยนอวี่กำลังอยากจะพูดอะไร ประตูเรือนหลักก็เปิดออกจากด้านในอัครเสนาบดีเฟิงจงเยี่ยออกมาจากด้านใน พอเห็นสองพี่น้องเหยาเหยียนอี้จึงเดินเข้ามายกมือคารวะ “ใต้เท้าเหยา คุณหนูเหยา พวกเจ้ามาเสียที”

เฟิงจงเยี่ยไว้หนวดเคราและเส้นผมขาวโพลน หลังค่อมลงเล็กน้อย ภายใต้แสงไฟที่ไหวไปมาตามทิศทางลม แลดูแก่เฒ่าไปหลายเท่า ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างทนดูไม่ได้

“ข้าน้อยน้อมคารวะอัครเสนาบดีขอรับ” เหยาเหยียนอี้พลันเดินหน้าไปน้อมทำความเคารพสองก้าว

เฟิงจงเยี่ยพลันจับมือเหยาเหยียนอี้ไว้แล้วพูดขึ้น “พอเถอะๆ! ตอนนี้อยู่ในจวน ใต้เท้าเหยาและคุณหนูเหยาเป็นแขกคนพิเศษในจวนของข้า ข้ามิควรละเลยพวกเจ้า ได้คุณหนูเหยา ชีวิตคนสำคัญดั่งฟ้า เชิญเจ้าเข้าไปรักษาอาการโดยเร็วเถอะ ใต้เท้าเหยา ข้าจะจิบชาเป็นเพื่อนเจ้าที่นี่เอง”

เหยาเหยียนอี้รู้สึกแปลกพิลึกทันที ฮูหยินผู้เฒ่าป่วย บุตรชายและสะใภ้ไม่ต้องเฝ้าหรือไร แค่รู้สึกฉงนสงสัยแต่ไม่มีหน้าไปถาม ทำได้เพียงหันไปพูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้าไปเถอะ รีบไปจับชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่าเถอะ”

“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับแล้วค้อมตัวน้อมทำความเคารพเฟิงจงเยี่ยพลางติดตามหมัวมัวเข้าเรือน

แม้เรือนนี้จะไม่ใหญ่ ทว่ากลับตกแต่งได้อย่างประณีต เข้าประตูมาจะมีฉากกั้นใหญ่ปักลายดอกอวี้หลาน ผัวจื่อพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินอ้อมฉากกั้นไปด้านใน เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเรือนร่างสูงใหญ่คนหนึ่งอยู่ด้านหลังมุ้งเป็นชั้นๆ ภายในใจรู้สึกตกตะลึงทันที

แผ่นหลังนี้…เหมือนเป็นฮ่องเต้นี่!

คุณหนูเหยาหยุดฝีเท้าลงทันที ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าต่อแม้แต่ก้าวเดียว

ผัวจื่อคนนั้นถอยออกไปด้านนอกอย่างเงียบๆ ตั้งนานแล้ว ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงที่อยู่ด้านหลังไม่รู้เรื่องใดๆ เหตุเพราะมีบุรุษคนหนึ่งอยู่ด้านใน ชุ่ยเวยเดินไปดักเหยาเยี่ยนอวี่ด้านหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูเจ้าคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“ออกไปเถอะ” คุณหนูเหยาพูดด้วยเสียงต่ำแล้วยื่นมือลากชุ่ยเวยไปอยู่ด้านหลัง จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รอจนกว่าคนผู้นั้นหันมา ต่อให้เหมือนฮ่องเต้ก็ไม่ควรกราบไหว้ไปเรื่อยเปื่อย! ขืนไหว้ผิดขึ้นมาอาจถูกประหารชีวิตก็ได้

คนผู้นั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแต่ไม่ยอมหันมา แค่มองคนที่นอนอยู่บนตั่งไม้แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “คุณหนูเหยาเร็วเถอะ”

เป็นฮ่องเต้จริงๆ แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ที่ควรอยู่ที่สถานตากอากาศกลับมาโผล่ที่จวนอัครเสนาบดี ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้จึงคุกเข่าลงทันที “หม่อมฉันเหยาเยี่ยนอวี่ถวายบังคมฮ่องเต้ ทรงพระเจริญหมื่นปี”

ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจึงตะลึงงันทันที สุดท้ายยังคงเป็นเหยาเยี่ยนอวี่ที่สะกิดพวกนาง ทั้งสองจึงคุกเข่าลงบนพื้นทันที นี่เป็นครั้งแรกที่สาวใช้สองคนเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้เป็นจึงตกใจจนหายใจไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นคือพูดอะไรไม่ออก

“ลุกขึ้นเถอะ!” น้ำเสียงของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก กลับหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ “รีบรักษาองค์ชายของเจิ้นเถอะ!”

เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงัน องค์ชายได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องเล็ก ดังนั้นจึงรีบดึงสติแล้วลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า

บนตั่งไม้เตี้ยมีชายเยาว์วัยหน้าซีดเผือดที่มีอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีนอนอยู่ ด้านข้างมีเสี่ยวซือที่หน้าซีดดั่งกระดาษอยู่สองคน หนึ่งคนยกยาต้ม อีกคนถือผ้าไว้ด้านข้าง ยังมีหมอหลวงจางชางเป่ยที่ฮ่องเต้ทรงเรียกใช้เป็นประจำคุกเข่าอยู่ ทำหน้าดูจนปัญญายิ่งนัก