ภาคที่ 2 ตอนที่ 126 ข้าไม่อยากเป็นชุดเจ้าสาวให้เจ้า

มรรคาสู่สวรรค์

ไป๋เจ่าย่อมไม่มีทางเชื่อคำพูดที่ลั่วไหวหนานกล่าวออกมาในเวลานี้

หากเขามีชีวิตรอดออกไป เขาคงจะแต่งเรื่องราวที่งดงามเป็นอย่างมากออกมา ทำให้คนฟังรู้สึกตื้นตัน หลั่งน้ำตาออกมาราวสายฝน แต่เขาไม่มีทางบอกคนอื่นแน่ว่าตนเองอยู่ที่ไหน….

เขาจะต้องหวังให้ตนเองตายอยู่ที่นี่ ไม่สามารถเอาความลับนี้ไปบอกแก่คนอื่นได้

อืม ไม่สิ บางทีหลังจากที่เขาฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้บางส่วน เขาคงจะลงมือสังหารตนเองก่อนที่จะจากไป

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็สงบนิ่งลง เพียงแต่เกิดความรู้สึกผิดต่อจิ๋งจิ่วที่มาถึงนี่เป็นเพื่อนตัวเอง

ลั่วไหวหนานมองดูสายตานาง รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร เจ้าก็เป็นศิษย์น้องเล็กที่ข้ารักมากที่สุด ข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าหรอก”

ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว “อย่างนั้นหรือ?

บางทีอาจเป็นเพราะถูกความรู้สึกเยาะเย้ยในรอยยิ้มของนางกระตุ้นเข้า สีหน้าลั่วไหวหนานพลันตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ข้าอาจจะไม่ได้ถือเป็นคนดีที่บริสุทธิ์ แต่ข้าก็มุ่งมั่นรักษาวิถีแห่งเซียน ถงหลูตกอยู่ในอันตรายก็เป็นข้าที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิเช่นนั้นแล้วข้าจะตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร? ศิษย์น้อง เจ้าต้องเชื่อข้านะ…”

ไป๋เจ่ามองดูเขาเงียบๆ

ลั่วไหวหนานค่อยๆ เงียบลง เขาหยิบเอายาขึ้นมากินเม็ดหนึ่ง ก่อนจะปรับลมปราณเพื่อหลอมละลายฤทธิ์ยา

ไป๋เจ่ากล่าว “บนหนทางแห่งการบำเพ็ญพรตอันยาวนานหลังจากนี้ ท่านสามารถกล่อมตัวเองได้อย่างนั้นหรือ?”

สำหรับสำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะอย่างสำนักจงโจวแล้ว การรักษาใจแห่งเต๋าให้แน่วแน่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก

“ทุกสิ่งที่ข้าได้พูดมาล้วนแต่เป็นความจริง ข้ามีความกล้าและความมุ่งมั่นที่จะเสียสละเพื่อวิถีที่ถูกต้อง อีกทั้งข้ายังได้พิสูจน์ในจุดนี้ไปแล้ว เพียงแต่ว่า…”

ลั่วไหวหนานมองดูซากศพของหนอนหิมะตัวนั้น นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ถูกหนอนหิมะตัวนี้กลืนกินลงไปในท้อง ข้าจะยังไม่ตายในทันที แต่กลับถูกมันพามาที่นี่ ความตายอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่ยอมเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็น ช่วงเวลาที่ว่านั้นมันช่างยาวนาน ความรู้สึกเช่นนั้นข้ามิอยากลิ้มลองมันอีก การบำเพ็ญพรตอันยาวนาน? ไม่ หลังจากเผชิญสิ่งเหล่านั้นมา ข้าไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ยาวนานกว่ามันแล้ว”

ไป๋เจ่ากล่าว “ดังนั้นความกล้าและความมุ่งมั่นของท่านเลยหายไปหมดแล้ว”

ลั่วไหวหนานมองนาง พลางกล่าวอย่างจริงจัง “ใช่ ข้าไม่อยากตายแล้ว ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ ข้ายังมีทิวทัศน์อีกมากมายที่ยังไม่ได้เห็น ตอนที่อยู่ในท้องของหนอนหิมะข้าได้สาบานกับตัวเองเอาไว้ว่าหากข้ารอดออกไป หลังจากนี้ข้าจะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองมีชีวิตรอด”

ไป๋เจ่ากล่าว “ข้าเชื่อที่ท่านพูด เพราะช่วงเวลาที่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากท่านมันค่อนข้างช้า”

สำหรับลั่วไหวหนานแล้ว การได้รับการยอมรับจากนางคล้ายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นหน่อย

“ศิษย์น้องมาช่วยข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นยิ่งนัก แต่ข้ารู้ว่าหากสุดท้ายมีเพียงตัวเลือกเดียว เจ้าคงไม่มีทางเสียสละตัวเองเพื่อให้ข้ารอดออกไปแน่”

“ท่านเลยตัดสินใจจะชิงตราประทับหมื่นลี้ไปจากมือข้า”

ไป๋เจ่ามองดูเขา กล่าวว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงท่านกับข้า ท่านคิดว่าท่านทำเช่นนี้แล้วจะสู้หน้าพ่อแม่ของข้าได้อย่างนั้นหรือ?”

ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อาจารย์และอาจารย์หญิงมีบุญคุณต่อข้าดุจขุนเขา…อย่างนั้นหรือ? อย่างนั้นเหตุใดเจ้าเข้าร่วมการประลองวิถีพรต ถึงได้มีของล้ำค่าอย่างตราประทับหมื่นลี้ติดตัวมาได้ แต่ข้าลงประลองวิถีพรตมาตั้งหลายครั้ง กลับไม่เคยได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว? หากบอกว่าการประลองวิถีพรตคือการใช้ความเป็นความตายมาทดสอบคน เหตุใดเจ้าจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้? ทำไมคนที่ตายถึงต้องเป็นข้า? สุดท้ายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ พวกเขาเย็นชาต่อข้า ก็อย่าได้โทษว่าข้าใจดำเลย”

ไป๋เจ่ารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “พูดจาแบบนี้ออกมา หรือว่าท่านไม่รู้สึกละอายใจเลย?”

ลั่วไหวหนานสีหน้าเฉยชา กล่าวว่า “อาจารย์และอาจารย์หญิงแข่งกันชั่วชีวิต แข่งมาจนถึงรุ่นพวกเรา อาจารย์อยากให้ข้าแต่งกับเจ้า อาจารย์หญิงอยากให้ถงเหยียนแต่งกับเจ้า การที่สามารถได้แต่งกับผู้หญิงอย่างเจ้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้ากับถงเหยียนถึงไม่ยอมตอบตกลง? เพราะพวกข้าต่างรู้ดีว่าอาจารย์กับอาจารย์หญิงเพียงแค่อยากหาคู่บำเพ็ญเพียรให้กับเจ้าที่ป่วยกระเสาะกระแสะ เพื่อจะได้ช่วยเจ้าเสริมในส่วนที่ขาดหายไปแต่กำเนิดเท่านั้น ต่อให้ข้ากับถงเหยียนจะบำเพ็ญเพียรกันยากลำบากแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ชุดเจ้าสาวให้เจ้าเท่านั้นแหละ”

ไป๋เจ่าได้ยินเช่นนี้พลันตกตะลึงไปเล็กน้อย นางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ

“ถงเหยียนเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ทำไมเจ้านั่นถึงจะมองไม่ออก เขาถึงได้คิดวิธีการที่ฉลาดอย่างมากออกมาวิธีหนึ่ง นั่นก็คือเอาข้ามาเป็นข้ออ้าง”

ลั่วไหวหนานยิ้มขมขื่นเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาฉากตัวออกไปรวดเร็วเช่นนี้ แล้วข้ายังจะถอยไปไหนได้อีก? ข้าจึงได้แต่ต้องทำเป็นกล่าวปณิธานออกไปว่าหลังบรรลุสภาวะขั้นสูงแล้ว ข้าจะมายังที่ราบหิมะเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ กลายเป็นเทพดาบคนที่สอง แต่ใครจะยอมมานั่งเฝ้าที่ราบหิมะเป็นร้อยๆ ปีเหมือนอย่างไอปัญญาอ่อนนั่นล่ะ? ข้าก็แค่ทำไปเพื่อหลีกหนีการแต่งงานที่ไม่มีทางเลือกนี้เท่านั้นแหละ เดิมข้าอยากจะดูว่าถงเหยียนยังจะถอยหนีไปไหนได้อีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้มันจะสร้างชื่อเสียงให้ข้าไม่น้อย”

ไป๋เจ่านิ่งเงียบ มิได้กล่าวกระไร

“แต่ตอนนี้ดูแล้ว ต่อไปข้าคงไม่ต้องมาทางเหนืออีกแล้วล่ะ”

คำพูดประโยคนี้ของลั่วไหวหนานกล่าวไม่ครบถ้วน

หากไป๋เจ่าตายอยู่ที่นี่ เขาย่อมไม่ต้องมายังที่ราบหิมะเหมือนเทพดาบในอดีตเพื่อหลบหนีการแต่งงานที่ว่านี้อีกต่อไป

“อย่างนั้นปณิธานที่เจ้าเคยว่าเอาไว้ล่ะ? ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างรู้เรื่องนี้ หรือเจ้าไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะ?”

ไป๋เจ่ามองดูดวงตาของเขาพลางกล่าว

ลั่วไหวหนานกล่าว “เวลาสามารถทำให้คนเราลืมเลือนคำสัญญาทุกอย่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่กล่าวให้คนอื่นฟัง เดิมทีมันก็ไม่ได้สำคัญอยู่แล้ว ก็เหมือนกับเรื่องเหล่านั้นที่เจ้าเคยพูดกับข้าและถงเหยียน แล้วก็ยังมีพวกหนานซาน พวกเรื่องอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ภัยคุกคามจากแคว้นเสวี่ย ความเงียบของดินแดนหมิง การปกป้องคุ้มครองของผู้อาวุโส เรื่องเหล่านี้ก็เป็นแค่จินตนาการของเด็กผู้หญิงเท่านั้น หรือเจ้าคิดจริงๆ ว่าข้าจะเชื่อที่เจ้าพูดมา และยอมช่วยเจ้าให้กลายเป็นผู้นำของผู้บำเพ็ญพรตรุ่นใหม่ ทำเรื่องยิ่งใหญ่ที่ผู้คนในอดีตไม่สามารถทำได้สำเร็จ?”

“หรือคำพูดที่ท่านพูดมาก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก?”

“ก็เป็นเรื่องโกหกน่ะสิ ข้าก็แค่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าหน่อยเท่านั้น เพื่อเห็นแก่ที่เจ้าชอบข้า เคารพข้า”

“เหมือนอย่างที่พวกเราเล่นพ่อแม่ลูกกันตอนเป็นเด็ก?”

ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าโตกว่าเจ้าหลายปี เวลานั้นส่วนใหญ่เป็นถงเหยียนที่เล่นเป็นเพื่อนเจ้า

ไป๋เจ่าเงยหน้าขึ้นมาอย่างหยิ่งทะนงราวองค์หญิง พลางกล่าวว่า “จริงอยู่ที่เมื่อก่อนข้าเคารพท่านมาก แต่ท่านพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง ข้าไม่เคยชอบท่านเลย”

ลั่วไหวหนานยิ้มๆ มิกล่าวกระไร

เหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่ในเขาอวิ๋นเมิ่งผู้นั้นที่กำลังมองดูศิษย์น้องที่พูดโกหกเพราะกำลังรู้สึกโกรธด้วยสีหน้าเอ็นดู

ไป๋เจ่ากล่าวต่อว่า “คนที่ข้าชอบคือจิ๋งจิ่ว ต่อให้เป็นศิษย์พี่ถงเหยียน ก็ยังแข็งแกร่งกว่าท่านมากนัก”

“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าไม่พอใจ แต่เหตุใดจึงต้องทำให้ตัวเองลำบากใจด้วย”

ลั่วไหวหนานเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าศิษย์ชิงซานที่ชื่อจิ๋งจิ่วนั่นมีอะไรดี มันมีสิทธิ์อะไรถูกเจ้าเอามาใช้เป็นข้ออ้าง?”

ไป๋เจ่ายิ่มเล็กน้อย พลางกล่าว “ข้าพูดความจริง ท่านหน้าตาไม่ดีจริงๆ”

ลั่วไหวหนานคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นใหม่ ร่างกายสูงใหญ่ องอาจผ่าเผย น่าเคารพยำเกรง

แต่หน้าตาของเขามิอาจเรียกได้ว่าดี เพียงแค่ธรรมดาเท่านั้น

ถงเหยียนมีใบหน้าอ่อนเยาว์แต่เกิด สายตาเยือกเย็นราวหิมะ จึงดูดีกว่าเขา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิ๋งจิ่ว

“ศิษย์น้องช่างร้ายกาจจริงๆ”

ลั่วไหวหนานสะกดอารมณ์โกรธในใจตัวเอง กล่าวออกไปอย่างเฉยชาว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ เจ้ายังยั่วโมโหข้าได้อย่างง่ายดาย”

“ข้ามิได้โกหก ข้ากับจิ๋งจิ่วมีใจให้กันจริงๆ ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าอาศัยข้าเพียงคนเดียวจะมายังดินแดนทางเหนือที่หนาวเหน็บเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะเขายอมเสียสละปราณก่อกำเนิด ทั้งยังใช้ของวิเศษของชิงซานไปอีกหลายชิ้น ถึงได้พาข้ามาส่งที่นี่ได้”

ในตอนที่กล่าวคำพูดนี้ บนใบหน้าของไป๋เจ่าเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน นั่นล้วนแต่เป็นความรู้สึกจริงๆ มิใช่เสแสร้งแกล้งทำ

เพราะในใจนางคิดเช่นนี้จริงๆ

ลั่วไหวหนานงุนงงไปเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาขึ้นมาพลางกล่าวว่า “งั้นหรือ? อย่างนั้นเขาอยู่ไหนล่ะ?”

ไป๋เจ่ากล่าว “พวกเราเจอหนอนหิมะตัวหนึ่ง เขาสู้ได้ไม่สะดวกถ้ามีข้าอยู่ด้วย ก็เลยมาส่งข้าในถ้ำก่อน แล้วค่อยออกไปฆ่าหนอนหิมะตัวนั้น คิดว่าอีกประเดี๋ยวคงมา”

หากนางไม่พูดคำพูดนี้ บางทีลั่วไหวหนานอาจจะเชื่อจริงๆ ก็เป็นได้ แต่ในเวลานี้เขามองออกว่านางโกหก จึงกล่าวว่า “อย่างนั้น ข้าต้องรีบหน่อยล่ะ”

ครั้นพูดจบ เขาก็หลับตาปรับลมหายใจ

ไป๋เจ่าเองก็หลับตา

เดิมนางไม่คิดจะใช้จิ๋งจิ่วมาขู่เขา เพียงแค่คิดจะปลูกความสงสัยเล็กน้อยลงไปบนใจแห่งเต๋าของเขาเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาไม่เพ่งความสนใจมาที่ตัวเองด้วย

ลั่วไหวหนานอยู่ในท้องของหนอนหิมะจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน ปราณก่อกำเนิดที่สะสมเอาไว้ก็เอามาใช้ในการลอบโจมตีนางแล้ว คิดว่าถ้าจะฟื้นฟูปราณก่อกำเนิดจนถึงระดับที่สามารถใช้ตราประทับหมื่นลี้ได้ คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่รู้ว่านางฝึกวิชาบันทึกซ่อนเร้นสำเร็จแล้ว เช่นนี้แล้ว บางทีนางอาจจะมีโอกาสที่จะฟื้นฟูพลังได้เร็วกว่าก็เป็นได้

ความหนาวเย็นแทรกซึมผ่านกองหินที่ถล่มลงมาเข้ามาในถ้ำ

ระฆังมหาบรรพตทิศใต้และระฆังดาวเหนือนอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น

เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป

ขนตากระดิกเล็กน้อย น้ำค้างแข็งร่วงตกลงมา

ลั่วไหวหนานลืมตาพร้อมลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินมาตรงหน้าไป๋เจ่า

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกบันทึกซ่อนเร้นได้แล้ว”

ไป๋เจ่าลืมตา สีหน้าดูเหนื่อยล้า คล้ายถอดใจแล้ว

ในพลังจักรวาลทั้งสิบเจ็ดของสำนักจงโจว บันทึกซ่อนเร้นเป็นวิชาขั้นจินตันที่สูงกว่าเคล็ดวิชาห้าธาตุรวมหนึ่ง การฝึกฝนมีความยากลำบากเป็นยิ่งนัก เรียกได้ว่ายากกว่าวิชาหลบหนีฟ้าดินเสียอีก

ลั่วไหวหนานกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้าไม่อย่างล่วงเกินเจ้า เจ้ามอบมันออกมาเองดีกว่า”

ในฐานะที่เป็นศิษย์จงโจวเช่นเดียวกัน ต่อให้ไป๋เจ่าไม่ยอมมอบตราประทับหมื่นลี้ออกมา เขาก็ยังมีวิธีเอาของวิเศษออกมาจากตัวนาง และวิธีนั้นคงจะโหดร้ายอย่างมาก

ไป๋เจ่าหยิบเอาตราประทับหมื่นลี้ส่งให้เขา

นางคิดไม่ถึงว่าลั่วไหวหนานเองจะฝึกวิชาบันทึกซ่อนเร้นสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่นางยังคงไม่ถอดใจ เพราะตอนที่คุยกันก่อนหน้านี้นางยังมิได้พูดความจริงออกไป

เป็นจริงดั่งคาด ลั่วไหวหนานมิได้จากไปในทันที เขาสะบัดแขนเสื้อกระแทกเศษหินจนกระเด็น ก่อนจะเดินออกไปยังปากถ้ำแล้วชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าผา

เขาคิดว่าไป๋เจ่ากำลังโกหก แต่ถ้าเกิดที่นางพูดเป็นเรื่องจริงล่ะ?

ถ้าเกิดศิษย์ชิงซานที่ชื่อจิ๋งจิ่วนั่นอยู่ที่นี่จริงๆ ถ้าเกิดเขามีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ แล้วตัวเองจะทำอย่างไร?

ไป๋เจ่ามองดูแผ่นหลังของลั่วไหวหนาน สายตาเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย นางเตรียมจะใช้ปราณก่อกำเนิดอันน้อยนิดที่ใช้วิชาบันทึกซ่อนเร้นสะสมขึ้นมาทำการโจมตีครั้งสุดท้าย

นางไม่เคยคิดว่าจะเอาชนะลั่วไหวหนานได้ เพียงหวังจะใช้แผนตายไปพร้อมกัน พาอีกฝ่ายตกลงไปในะพายุหิมะอันน่ากลัวที่อยู่ด้านนอกหน้าผา

ทันใดนั้นเอง ลั่วไหวหนานส่งเสียงแปลกใจออกมา ดูประหลาดใจเป็นยิ่งนัก

ไป๋เจ่าคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง สีหน้าวิตกกังวลขึ้นมา ไม่สามารถลงมือได้อีก

……

……

คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนหน้าผา ค่อยๆ ปีนขึ้นมาท่ามกลางพายุหิมะ

พายุหิมะดุจคมมีด อุณหภูมิลดต่ำจนยากจะจินตนาการได้ ผาหินที่อยู่บนหน้าผาถูกทั้งสองสิ่งกัดเซาะเสียจนเรียบลื่นยิ่งกว่าผิวน้ำแข็ง

แต่มือของคนผู้นั้นกลับติดแน่นอยู่บนผาหิน มิได้ถูกพลังอันมหาศาลในพายุหิมะพัดไป

เขารับรู้ได้ถึงอะไรบางสิ่ง จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะสบตาเข้ากับลั่วไหวหนาน

………………………………….