ตอนที่ 319 มีแผนการมากมาย

แม่สาวเข็มเงิน

วันที่เจ็ดของการถูกกักบริเวณ นางถูกคนของกู่ฟู่กุ้ยมาเชิญไปยังห้องรวมกลุ่มหารือ

แม้บอกว่าห้องรวมกลุ่มหารือ แต่โจรพวกนี้กลับไม่ค่อยพิถีพิถันสักเท่าไหร่ มันเป็นเพียงห้องค่อนข้างกว้างห้องหนึ่งที่มีวางเก้าอี้วางเรียงเป็นแถว ๆ เท่านั้น

ตอนที่เจียงป่าวชิงถูกพาตัวไปที่นั่น พื้นที่ส่วนใหญ่ในห้องว่างเปล่า เก้าอี้ถูกขนย้ายออกหมด มีคนนั่งอยู่ประมาณสิบคนได้ นางกวาดตามองอย่างลวก ๆ และพบว่าพวกคนที่นั่งอยู่ประมาณสิบคนนั้นคือเหล่าบุคคลที่เป็นหัวใจสำคัญของหมู่บ้าน

นี่ทำให้เจียงป่าวชิงรู้สึกราง ๆ ว่าน่าจะเป็นเหมือนกับที่คาดเดาไว้ กงจี้คงเล่นสงครามทางจิตกับพวกเขาอย่างแน่นอน

เจียงป่าวชิงลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ผ่านทางสีหน้าเลย นางทำเพียงเดินตามเข้าไปในห้องเท่านั้น

กู่ฟู่กุ้ยเห็นนาง แม้เขาเป็นชายผู้หยาบคายแต่ก็มีแววความเก้อเขินเล็กน้อยปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขาจาง ๆ

วันนี้เจียงป่าวชิงสวมใส่ชุดสีน้ำตาลเรียบง่าย เส้นผมสวยถูกถักเป็นเปียและยกขึ้นทำมวยผมอย่างง่าย ๆ บนศีรษะทว่านางแต่งตัวด้วยชุดผู้ชาย แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังดูดีเพราะใบหน้าเล็กอันเป็นธรรมชาติไม่ผ่านการแต่งเสริมเติมสีของนางดูอ่อนโยน สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนในแบบเด็กสาวได้เป็นอย่างดี แม้วันนี้นางแต่งตัวเป็นชาย คนอื่น ๆ ก็ยังสามารถจำได้อย่างรวดเร็วว่านี่คือเด็กสาวรูปโฉมงดงามหรือก็คือเจียงป่าวชิง

กู่ฟู่กุ้ยมองนางพลางรู้สึกหงุดหงิดในใจเล็กน้อย แม้เขาจะเชื่อเจียงป่าวชิง แต่เมื่อเจ็ดวันก่อนเป็นเขาเองที่สั่งกักบริเวณเด็กสาวให้อยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้สถานการณ์กำลังคับขันและต้องให้สาวน้อยช่วย เขาจึงเรียกใช้นางอีกครั้ง แม้พวกเขาเป็นโจรแต่เรื่องนี้กลับดูไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่

ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น ถึงอย่างไรในช่วงสามปีที่ผ่านมาก็มีพี่น้องของพวกเขาตั้งมากมายที่ได้รับความช่วยเหลือจากเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่งดงามหยดย้อยคนนี้โดยนางไม่รังเกียจความสกปรกและไม่กลัวเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

กู่ฟู่กุ้ยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ

แต่จ้าวซื่อไห่กลับเลือดร้อน ลุกขึ้นยืนถลึงตาใส่เจียงป่าวชิงราวกับอยากหาเรื่องเสียเต็มประดา เขาหันกลับไปพูดกับกู่ฟู่กุ้ย “หัวหน้าใหญ่ ทำไมท่านต้องเรียกนางมาด้วย นาง…”

เพล้ง!

จ้าวซื่อไห่ยังพูดไม่ทันจบ กู่ฟู่กุ้ยปาถ้วยชาใส่ล่างขาของจ้าวซื่อไห่อย่างแรงพลันถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ “หุบปากซะ!”

จ้าวซื่อไห่ตกใจตัวสั่น เขาไม่กล้าพูดคำพูดที่จ่ออยู่ในลำคอแล้วและรู้สึกลำบากใจ จะยืนก็ไม่ใช่ จะนั่งก็ไม่เชิง

หลู่เว่ยต้งที่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมาเป็นเวลานานก็อยู่ในห้องรวมกลุ่มหารือครั้งนี้เช่นกัน เขากระชากแขนจ้าวซื่อไห่ให้กระแทกก้นนั่งลงไปบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่เจียงป่าวชิงนางไม่ได้สนใจอะไรจ้าวซื่อไห่อยู่แล้ว ไม่อยากให้ค่าพวกอารมณ์ร้อน

แต่ด้วยสถานการณ์มันน่าอึดอัดไปแล้ว กู่ฟู่กุ้ยจึงทำได้เพียงพูดกับนางอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “น้องเจียง ที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ อันที่จริงคือมีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้าสักเล็กน้อย”

กู่ฟู่กุ้ยพูดอย่างเกรงใจมาก จ้าวซื่อไห่ได้ฟังก็อยากพูดอะไรบางอย่างแต่หลู่เว่ยต้งมองตาขวางใส่ เขาจึงได้แต่กลืนน้ำลายเพื่อกลั้นไว้

เจียงป่าวชิงไม่สนใจจ้าวซื่อไห่ที่คิดจะยั่วโมโหอยู่ตลอด เพียงยกยิ้มมุมปากเล็ก “หัวหน้าใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ มีเรื่องอะไรก็บอกข้ามาได้เลย”

อันที่จริงมีหลายคนที่ไม่รู้ว่ากู่ฟู่กุ้ยเรียกเจียงป่าวชิงมาทำไม พวกเขาตั้งตารอฟัง

กู่ฟู่กุ้ยดึงผมตัวเอง ใบหน้ากลัดกลุ้มใจ “อะ… เอ่อ… คือ… เช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมกับน้องเจียงแล้ว ช่วงนี้สถานการณ์ล่างเขาสงบมาโดยตลอด เจ้าบอกว่าพวกเขารู้เส้นทางที่จะขึ้นเขาแล้วไม่ใช่รึ แต่ทำไมยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลยล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “อ้อ คนรู้จักเก่าคนนั้นของข้าเป็นคนที่…”

เดิมทีนางอยากพูดว่าการตัดสินกับจัดการเรื่องราวของกงจี้นั้นเหนือชั้นมาก เขาคงวางแผ่นอย่างรอบคอบที่สุดก่อนแล้วถึงค่อยลงมือทีเดียวอย่างไม่มีผิดพลาด แต่นางไม่อยากพูดถึงกงจี้ในทางที่ดีในตอนนี้ จึงครุ่นคิดสักครู่และเปลี่ยนไปเลือกพูดคำว่า “มีแผนการมากมาย” แทน

“…เป็นคนที่มีแผนการมากมาย ข้าเดาได้นิดหน่อยว่าเขาคิดยังไงถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในช่วงนี้ คงเป็นเพราะเขากำลังรอให้เวลาเป็นตัวทำลายความรอบคอบของพวกเราทุกคน ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยจนเผลอประมาท”

เจียงป่าวชิงวิเคราะห์ด้วยสีหน้าราบเรียบ “เพราะถึงยังไง ถ้าหากว่าขึ้นภูเขาเพื่อบุกโจมตี ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมีทั้งคนเจ็บคนตาย พอดูจากท่าทีรั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตีของเขาแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงพยายามลดจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายด้วยการทำสงครามในจิตใจของพวกเรา”

จิ้นเทียนหยู่ก็อยู่ที่ห้องนี้ด้วย เขาได้ฟังเจียงป่าวชิงพูด ความรู้สึกนึกคิดของเขาที่มีต่อชายคนนั้นมันก็บอกเขาเหมือนกันว่าชายคนนั้นต้องเป็นคนเก่ง ตอนนี้คงเตรียมบุกอย่างรอบคอบอยู่แน่ ๆ

แต่เมื่อในหัวเขานึกถึงชายคนนั้นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขารู้สึกหงุดหงิดใจแค่ไหนจึงพูดขึ้นด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ฟังดูเหมือนไอ้บ้านั่นจะเป็นคนขี้ขลาด”

เจียงป่าวชิงก่นด่ากงจี้อยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่นางกลับไม่ต้องการให้คนอื่นพูดถึงกงจี้ในทางไม่ดีแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินจิ้นเทียนหยู่บอกว่ากงจี้เป็นคนขี้ขลาดนางก็ขมวดคิ้วพูดโต้แย้ง “การรอคอยเวลาเพื่อโอกาสที่จะลดคนเจ็บคนตายให้เหลือน้อยที่สุดนั้นเป็นความคิดของคนที่มีความรับผิดชอบ ทำไมท่านถึงบอกว่าเป็นคนขี้ขลาด ?”

จิ้นเทียนหยู่ได้ฟังเจียงป่าวชิงพูดแทนชายคนนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนใช้มีดแหลมคมแทงลงกลางหัวใจ

จ้าวซื่อไห่อดพูดพึมพำไม่ได้ “เหอะ! แต่ข้าคิดว่านางนี่แหละที่มีแผนในใจ ยังจะมาพูดแทนคนอื่นอีก!”

กู่ฟู่กุ้ยถลึงตาใส่จ้าวซื่อไห่อีกครั้ง เขาหันไปมองเจียงป่าวชิงและถอนหายใจเบา ๆ “เอาล่ะ ที่นี่ไม่มีคนนอก เช่นนั้นข้าจะไม่ปิดบังทุกคนแล้ว น้องเจียงเจ้าพูดถูก ชายคนนั้นคงกำลังพยายามรอเวลาทำให้เราประมาทจริง ๆ เมื่อเช้านี้มีนกพิราบมาส่งจดหมาย ด้านหลังของจดหมายมีการวาดแผนที่ของหมู่บ้านเรา”

กู่ฟู่กุ้ยหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม “แถมยังมีการทำเครื่องหมายตรงจุดที่เราคิดว่าไม่น่ามีใครรู้ได้อีก ถือว่าพวกนั้นวาดได้อย่างละเอียดทีเดียว”

คำพูดนี้หลุดออกไป ทุกคนในห้องรวมกลุ่มหารือเสียงดังเกรียวกราวทันที หลายคนได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรกก็ตกใจ

ชายคนหนึ่งขมวดคิ้วพูดขึ้น “นี่พวกนั้นหมายความว่ายังไง พวกมันกำลังแสดงพลังรึ ?! ไอ้พวกบัดซบ! แน่จริงก็ขึ้นมาฆ่าโดยตรงเลยสิวะ! คนอย่างข้าไม่กลัวตาย ข้าเองก็จะฟันพวกมันสักสองสามคน ถ้าพวกมันจะให้ข้าลงนรกก็ต้องลงไปด้วยกัน!”

คำพูดชายคนนี้ดึงดูดให้อีกสองสามคนคล้อยตาม “ใช่! พวกเราเป็นโจรภูเขาต่างก็หัวติดกับสายรัดกางเกงและใช้ชีวิตโดยผ่านเลือดกันทั้งนั้น ใครกลัวกันวะ!”

“ใช่ ๆ ๆ! ต่อให้ต้องตายก็ต้องให้พวกเขาได้เห็นสีสันสักหน่อย!”

กู่ฟู่กุ้ยขมวดคิ้ว มือหนาตบโต๊ะด้วยความโกรธ “เอาล่ะ พวกเจ้าสองสามคนไม่ต้องพูด พี่น้องเบื้องล่างมีตั้งมากมาย บางคนเพิ่งสร้างบ้านและเพิ่มห้องใหม่ พวกเจ้าพูดโอ่กันอย่างสบายใจแต่เคยคำนึงถึงพี่น้องเหล่านั้นบ้างไหม ?! พวกเจ้าไม่กลัวตายแต่ก็ไม่สามารถดึงพี่น้องทั้งหมดในหมู่บ้านลงหลุมฝังศพเพียงเพราะความสบายใจชั่วคราวนะโว้ย!”

กู่ฟู่กุ้ยแทบตวาดคำพูดนี้ออกมาอยู่แล้ว ทันใดนั้นภายในห้องไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก

แต่เป็นจ้าวซื่อไห่ที่กระแอมไอเบา ๆ “หัวหน้าใหญ่ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา งั้นท่านบอกมาสิว่าจะทำยังไง” เขายังคงเหลือบมองเจียงป่าวชิงราวกับว่านางเป็นตัวการของเรื่องอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงยังคงไม่สนใจจ้าวซื่อไห่เช่นเดิม นางเลือกที่จะพูดขึ้น “หัวหน้าใหญ่ ท่านบอกว่าด้านหลังจดหมายเป็นแผนที่ แล้วหน้าหลักล่ะเขียนว่ายังไง ?”

กู่ฟู่กุ้ยหยุดชะงักไป “หน้าหลักของจดหมายเขียนไว้สั้น ๆ ว่าไปเจอกันที่ตึกเซียงเจียงในตอนเที่ยงของวันพรุ่ง”

ตึกเซียงเจียงเป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในชุมชนล่างภูเขา ที่นั่นอาหารอร่อย ทว่านอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

เจียงป่าวชิงเข้าใจเจตนาของกงจี้แทบจะในทันที…เจรจาต่อรอง!

กงจี้ไม่เพียงแต่ต้องการลดการฆ่าฟันโดยไม่จำเป็น แต่เขายังต้องการเจรจาต่อรองเพื่อยึดหมู่บ้านฟู่กุ้ยโดยปราศจากการนองเลือด

เจียงป่าวชิงชื่นชมกงจี้จากใจจริง

.

.

.