Ep.560 – ดาราจรัสเทพสงคราม

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาลงบนหน้าต่างเทพสงคราม

 

หากระบบเทพสงครามมิได้กล่าวถึงมัน เขาก็คงจะลืมเลือนไปแล้ว

 

มองไปยังบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องบนหน้าต่าง

 

“ภารกิจสมญาพิเศษของคุณ เสร็จสมบูรณ์!”

 

“คุณได้รับสมญาใหม่”

 

“โปรดทราบ ว่าคุณสามารถสวมใส่สมญาได้เพียงแค่ครั้งละหนึ่งสมญาเท่านั้น”

 

“สมญาพิเศษ : ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ”

 

“คำอธิบาย : คุณได้ทำการสังหารอสูรกายที่แข็งแกร่งด้วยพลังที่อ่อนแอ นี่เป็นความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อ! คุณโดดเด่นยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้า ขณะที่ศัตรูปรารถนาที่จะสังหารคุณ พวกเขาปรารถนาที่จะใช้หัวคุณเป็นหินรองเท้า เหยียบย่ำเพื่อก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา”

 

‘ไอ้คำอธิบายนี่ … มันอยากมีปัญหากับฉันอย่างงั้นหรอ?’

 

กู่ฉิงซานอ่านมัน เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นในจิตใจของเขา

 

ตามมาด้วยตัวอักษรอื่นที่เด้งขึ้นมา และเขาก็มองลงไป

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : พิชิต”

 

“พิชิต : เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”

 

“คำอธิบาย : สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฏแห่งการกระทำ(กรรม) และมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”

 

“คำอธิบาย : จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”

 

กู่ฉิงซานอ่านมันอย่างละเอียด และจมลงสู่ห้วงความคิด

 

จากคำอธิบาย ตรงส่วนที่ว่าสกิลนี้มันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ นับว่าเป็นอะไรที่ทรงพลังมากทีเดียว

 

แต่ความสามารถของไอ้สกิลนี้มันอะไรกัน?

 

ถ้าฉันใช้มัน นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลายเป็นคนเสนอตัวเองให้ศัตรูเข้ามาโจมตีหรอกหรือ? 

 

กู่ฉิงซานลองนึกภาพว่าตนใช้สกิลนี้ในการต่อสู้อย่างเงียบๆ

 

อ่า มอนสเตอร์กำลังโจมตีฉัน แล้วฉันก็ใช้ความสามารถของสกิลนี้ จากนั้นมอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็มาร่วมรุมทึ้งฉันพร้อมๆกัน สู้ลำบากยิ่งกว่าเดิมงี้หรอ?

 

ไม่สิ อาจจะเป็นอีกในรูปแบบนึงก็ได้

 

อ่า อย่างเช่นว่า มอนสเตอร์กำลังโจมตีฉัน แล้วฉันก็ใช้ความสามารถของสกิลนี้ จากนั้นมอนสเตอร์ก็จะไม่ไปโจมตีคนอื่นๆ แล้วมุ่งเป้ามาที่ฉันแทน

 

คล้ายกับพวกสกิลยั่วยุที่เรียกมอนมารวมกันเยอะๆในเกมรึเปล่านะ?

 

 … แล้วมันจะได้ผลรึเปล่า?

 

กู่ฉิงซานมองไปยังลอร่า

 

มองมายังกู่ฉิงซานที่หยุดฝีเท้าลง ลอร่าก็เริ่มเกิดความสงสัย

 

เธอเอ่ยถาม “หืม? พวกเราจะมาหยุดยืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน หรือเจ้าสัมผัสได้ว่ามีอะไรอยู่ใกล้บริเวณนี้อย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ แล้วพวกเรากำลังจะไปที่นั่นเพื่อรวบรวมข้อมูลบางอย่าง”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ล็อคสมญาตนเองเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’

 

–จะมัวคิดเกี่ยวกับมันให้เสียเวลาไปทำไม? ทดลองใช้สมญานี้กับลอร่าดูเลยก็แล้วกัน

 

เพี๊ยะ!

 

ลอร่าตบฉาดลงบนใบหน้าของกู่ฉิงซานโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ

 

กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง

 

ขณะเดียวกันลอร่าก็ตะลึงงัน

 

ทั้งสองมองหน้ากันและกัน

 

กู่ฉิงซานจ้องลอร่า “ท่านไม่คิดจะอธิบายถึงเหตุผลหน่อยหรอ?”

 

ลอร่ายกสองไม้สองมือขึ้นโบกไปมาอย่างร้อนรน เร่งกล่าวอธิบาย “เมื่อครู่เราเหมือนกับว่าจะเห็นแมลงตัวเล็กๆติดอยู่บนใบหน้าของเจ้าน่ะ เราเลยอดไม่ได้ที่จะช่วยปัดมันออกให้”

 

แมลงงั้นหรอ?

 

มันจะไปมีแมลงอยู่บนหน้าฉัน โดยที่ฉันไม่รู้ตัวได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง “งั้น ฝ่าบาทก็ตบแมลงตัวนั้นพลาดแล้วมาโดนกระหม่อมใช่หรือไม่?”

 

“แหะ แหะ แหะ … เราต้องขอโทษจริงๆ ดูเหมือนว่าดวงตาของเราจะฝ้าฟางไปน่ะ จริงๆแล้วมันไม่มีแมลงหรอก”

 

ลอร่ารู้สึกเขินอาย และรีบขอโทษด้วยรอยยิ้มทันที

 

เมื่อถูกสาวน้อยขอโทษแล้ว กู่ฉิงซานจะไปเอาผิดอะไรได้อีกล่ะ?

 

อีกอย่าง นี่มันเป็นสกิลที่เขาเป็นคนใช้งานเองนะ

 

เขาเลยโกรธไม่ลง และตอบรับไป “ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหน้าก็ดูให้ชัดๆก่อน แล้วค่อยลงมือนะ”

 

… ชื่อก็ออกจะเท่ แต่ช่างเป็นสกิลที่น่าเศร้าโดยแท้

 

ใช่ มันย่อมเป็นสกิลแห่งการกระทำ(กรรม)อย่างแน่นอน และยังเป็นประเภทลี้ลับอีกด้วย

 

ตามที่เขียนเอาไว้ในคำอธิบาย ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็จะมุ่งมาโจมตีเขาด้วยเหตุผลบางประการ

 

แต่ผลลัพธ์ของสกิลนี้ ดูจะไม่เหมือนกับสิ่งที่กู่ฉิงซานคาดหวังเอาไว้

 

กู่ฉิงซานปลดสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ออกไปอย่างเงียบๆ และตัดสินใจปิดผนึกมันเอาไว้ชั่วคราว

 

ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนสมญาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตี 

 

อ่า … ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

 

“เราขอโทษนะ ปกติเราไม่เคยหุนหันพลันแล่นเช่นนี้มาก่อนเลย นี่มันน่าแปลกจริงๆ” เมื่อคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของตน ลอร่าก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย

 

“ไม่เป็นไรหรอก”

 

กู่ฉิงซานตอบปัดไป เพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก

 

ลอร่าจึงเร่งแก้สถานการณ์ “ถ้าเดินไปตลอดทางเจ้าคงเหนื่อย งั้นพวกเรามาขี่ม้ากันดีกว่า”

 

“เรียกมันมาจะไม่เป็นอะไรหรือ?”

 

ไม่รีรอตอบคำถาม ลอร่าก็หยิบนกหวีดจากแดนชำระล้างขึ้นมาและเป่ามัน

 

ม้าทมิฬปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้าทั้งสองทันที

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรือว่าอยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ในโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาลใบนี้ยังมีกำแพงอุปสรรคอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

 

“ตามกฏการอัญเชิญมาตราที่ 5 ข้อที่ 3 ” ม้าทมิฬตอบ

 

มันมองไปยังกู่ฉิงซานราวกับกำลังมองคนบ้านนอกอยู่

 

ลอร่าอธิบาย “คือมันเป็นอย่างนี้นะ เพราะไอเท็มเรียกขานหรืออัญเชิญอยู่ในโลกใบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการยอมรับจากกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้ไปโดยปริยาย แตกต่างจากผู้มาเยือนที่ต้องเข้ามาจากภายนอกโดยตรงน่ะ”

 

“หรือในอีกความหมายนึงก็คือ หากเราอยู่ในโลกใบนี้อยู่ก่อนแล้ว และปล่อยให้เจ้ามา เจ้าก็สามารถมาได้ แต่หากเราไม่ยินดีปล่อยให้เจ้าเข้ามา กำแพงอุปสรรคก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ มันจะรับรู้ว่าเจ้าผู้บุกรุกของโลก และโจมตีทันที แบบนี้งงไหม?”

 

“ไม่นะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานขึ้นไปบนหลังม้า ก่อนจะยกลอร่าขึ้นมาบนไหล่เขา และหันไปมองรอบๆ

 

ข้างหน้าเป็นที่ราบลุ่ม ไม่มีอะไรอยู่เลย

 

ส่วนเบื้องหลังของพวกเขา เป็นเมือง

 

ที่นี่มันค่อนข้างห่างไกล แต่ที่กู่ฉิงซานเลือกตรงจุดนี้ ก็เพื่อให้แน่ใจมันจะใช้หลบซ่อนตัวได้ดี

 

แต่ตอนนี้การต่อสู้ดันเริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรือว่าอยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานจึงจำต้องอธิบายมันด้วยเหตุผล “มันไม่ใช่การเดินชมทิวทัศน์หรือว่าเร่งรีบนะเข้าใจไหม ความจริงแล้วพวกเราต้องการสำรวจโลกที่ไม่รู้จักใบนี้น่ะ และมันอาจเกิดอันตรายบางอย่างขึ้นได้ตลอดเวลาอีกด้วย”

 

ม้าทมิฬพยักหน้าและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

 

เมื่อตอบรับ มันก็วิ่งเหยาะๆ มุ่งสู่เมืองไปตามถนนสีฟ้าอย่างเงียบๆ

 

ท่ามกลางความมืดมิดตลอดเส้นทาง ม้าทมิฬเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

 

กู่ฉิงซานที่รู้สึกได้ถึงความเงียบจึงเกิดความสงสัย เลยก้มลงมองจากบนหลังม้า

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สี่กีบของม้าทมิฬถูกผูกติดกับเบาะรองเท้าแผ่นหนา

 

–นี่เองสินะ คือเหตุผลที่มันไม่มีเสียงอะไรออกมาเลยขณะกำลังวิ่ง

 

“เป้าหมายของข้าคือใจกลางเมือง ท่านทั้งสองมีความคิดเห็นเช่นไร?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

“ไม่ขัดข้อง คงต้องรบกวนแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ม้าทมิฬควบกีบเท้าของตน และเร่งความเร็วขึ้นบนถนนใหญ่

 

ระหว่างเส้นทาง ฉากแปลกๆก็เริ่มปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสอง

 

เวลานี้ กู่ฉิงซานกับลอร่าได้ตระหนักถึงเอกลักษณ์ของโลกใบนี้ได้ในที่สุด

 

ผืนดินของโลกใบนี้น่ะเป็นสีเขียว ขณะที่สีฟ้าจะมีเพียงตัวสิ่งปลูกสร้างและท้องถนนเท่านั้น

 

สิ่งปลูกสร้างเปรียบเสมือนตัวแทนของอารยธรรม มันคล้ายกับกลุ่มปะการังขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ข้างๆถนน

 

ทว่าภายในสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย

 

กู่ฉิงซานลองปลดลป่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาแทรกซึมเข้าไปในบ้าน แล้วเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่ง

 

ภายในบ้าน มีสามคนกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ ขณะเดียวกันก็มีอีกคน กำลังเดินถือถาดที่วางแก้วน้ำหลายใบเอาไว้ ตรงไปยังทั้งสาม

 

ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาดูปกติ กระทั่งสีหน้าก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต 

 

แต่พวกเขากลับไม่เคลื่อนไหวเลย

 

กู่ฉิงซานตรวจสอบอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในที่สุด

 

คนในบ้าน … ได้ตายลงไปแล้วเช่นเดียวกันกับเด็กสองคนที่เขาพบก่อนหน้านี้

 

ตายไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ตัว

 

กู่ฉิงซานลองขยายจิตสัมผัสเทวะของเขา และแทรกซึมเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างปะการังทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียง

 

เห็นแค่เพียงภายในปะการังแต่ละหลังเต็มไปด้วยผู้คน

 

คนเหล่านั้นยังคงดื่มกิน เดิน วิ่ง และพูดคุยกันอยู่

 

การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเหมือนจริงมาก ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ตายลงไปแล้ว

 

“กู่ฉิงซาน ทำไมพวกเราถึงไม่พบอะไรเลยล่ะ?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“อืม .. กระหม่อมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยว่าพวกเราคงจะต้องเดินไปใกล้ใจกลางเมืองอีกสักหน่อย” กู่ฉิงซานเลี่ยงตอบตรงๆ

 

เขาไม่คิดจะพูดความจริงนี้ออกมา เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กสาวตัวน้อยๆคนนี้หวาดกลัว

 

แต่การปกปิดนี้ก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

 

ม้าทมิฬยังคงควบวิ่งต่อไปด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่องบนท้องถนน

 

ขณะที่สองข้างทาง เริ่มปรากฏผู้คนที่มีสีผิวฟ้าอ่อนขึ้นประปราย

 

และคนเหล่านี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในกริยาเดิม ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือท่วงท่า ทว่าแท้จริงกลับไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว