ตอนที่ 19 ถือกระต่ายไปหาญาติ

พูดถึงตั้งครรภ์ แม่ม่ายหม่าที่ตั้งครรภ์ก่อนหน้านี้ ในช่วงนี้ก็รับประทานไก่อีกแล้ว

กลิ่นหอมกรุ่นของไก่ตุ๋นลอยฟุ้งออกมา ทำให้คนในหมู่บ้านต่างพากันพูดคุยแสดงความคิดเห็น

ปีนี้มีใครบ้างที่ตั้งท้องแล้วได้รับประทานของแบบนี้? หล่อนรับประทานไก่หนึ่งตัวตั้งแต่ตอนที่วินิจฉัยว่าตั้งครรภ์ จวบจนตอนนี้ก็เพิ่งจะผ่านไปได้หนึ่งเดือน กลับตุ๋นไก่รับประทานอีกแล้ว นี่มันเรียกว่าดวงดีจริง ๆ

นี่คือดวงดีไม่ใช่เหรอ? คนในหมู่บ้านต่างก็พูดถึงแม่ม่ายหม่าแบบนี้กันทั้งนั้น

สามีคนก่อนของแม่ม่ายหม่าเสียชีวิตไปแล้ว ในภายหลังหล่อนจึงได้มาแต่งงานกับคนขาเป๋หลี่เฉียจื่อ

ก่อนหน้านี้แม่ม่ายหม่าให้กำเนิดลูกสาวหนึ่งคน หลังจากทิ้งไว้ให้ที่บ้านสามีหล่อนเลี้ยงดู ก็กลับมาบ้านตัวเองและแต่งงานใหม่ เพื่อที่จะมีลูกได้อีก

หลี่เฉียจื่อคาดหวังว่าหล่อนจะให้กำเนิดลูกของเขา แต่แต่งงานกันมาถึงสามปีนี่ก็เพิ่งจะตั้งครรภ์ ถึงอย่างไรตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์หลี่เฉียจื่อก็ไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีกับหล่อน มากระทั่งตอนนี้หล่อนตั้งครรภ์แล้ว ไม่เท่ากับกลายเป็นนางอันเป็นที่รักเหรอ?

การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงในช่วงนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เหล่าสาว ๆ ที่มีร่างกายค่อนข้างอ่อนแอต่างก็จะมาเก็บข้าวโพดที่นี่กันทั้งหมด ไม่ได้ไปเกี่ยวข้าวต่อแล้ว

เย่ฉูฉู่และเฮ่อซงจือที่แต่งเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ในฐานะลูกสะใภ้คนเล็กในเวลาไล่เลี่ยกันต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ระหว่างที่เฮ่อซงจือเก็บข้าวโพดก็พูดคุยไปพลาง

เฮ่อซงจือแสดงออกถึงความอิจฉา เกี่ยวกับเรื่องที่แม่ม่ายหม่าได้รับประทานไก่ตอนตั้งครรภ์ “ช่างเป็นของรักของหวงจริง ๆ เชียว เพิ่งตั้งครรภ์แต่กลับได้กินไก่ตั้งสองตัว ได้ยินมาว่าเป็นแม่ไก่ตัวใหญ่ที่กำลังออกไข่ด้วยนะ!”

“สามีของเธอก็รักเธอ ถึงเวลานั้นถ้าเธอตั้งครรภ์ เขาก็ต้องตุ๋นไก่ให้เธอเหมือนกันนั่นแหละ” เย่ฉูฉู่กล่าว

เฮ่อซงจือแอบรู้สึกละอายใจ หล่อนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าจะท้องได้เร็ว ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ท้อง”

โชคดีที่มีเย่ฉูฉู่เป็นเพื่อน เพราะเย่ฉูฉู่ก็ยังไม่ตั้งครรภ์เหมือนกัน

ทั้งสองคนแต่งเข้าตระกูลในเวลาไล่เลี่ยกัน

“เธอจะกังวลใจไปทำไม คุณครูจ้าวก็เป็นครูประถมอยู่ในเมือง ตอนนี้ที่ยังไม่ตั้งครรภ์ก็เพราะยังไม่ถึงเวลา นี่ก็ยุ่งวุ่นวายขนาดนี้แล้ว คิดจะตั้งครรภ์ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย รอให้ว่างจากการเก็บเกี่ยวก่อน ถึงเวลานั้นก็จะเป็นวันที่ดีของเธอแล้วล่ะจ้ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

สามีของเฮ่อซงจือก็แซ่จ้าวเหมือนกัน ชื่อว่าจ้าวเหวินจื้อ

จ้าวเป็นหนึ่งในแซ่ใหญ่ของหมู่บ้าน และเขาก็เป็นคนวัฒนธรรม[1] ที่หาได้ยาก เขาได้เรียนมัธยมปลาย ตอนนี้ก็ยังให้ความสำคัญกับการเรียน และเมื่อมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สามีของหล่อนจึงถูกเชิญให้ไปสอนหนังสือ

ในเดือนหนึ่งจะได้เงินเดือนอยู่ที่ 28 หยวน ซึ่งนับว่าไม่เลวแล้ว คนในหมู่บ้านต่างพากันอิจฉาตาร้อน ทว่าอิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาเหมือนกับอีกฝ่าย

เห็นได้ชัดว่าจ้าวเหวินจื้อเองก็ทำตัวสมกับชื่อของตนเอง เพราะเขาสอนหนังสือควบคู่ไปกับทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วย

ก่อนหน้านี้ก็ไปสอบมาแล้ว แต่สอบไม่ผ่าน จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ย่อท้อ

ปีนี้เขาได้แต่งงานกับภรรยาเหมือนกับจ้าวเหวินเทา เพียงแต่จ้าวเหวินจื้อมีอนาคตมากกว่า ระหว่างที่ทำงานหาเงินก็เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วย อายุของทั้งสองคนต่างกันไม่มาก แต่ก็ถูกคนนำไปเปรียบเทียบอยู่ไม่น้อย

อันที่จริงจ้าวเหวินเทาและจ้าวเหวินจื้อต่างก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก

ดังนั้นเย่ฉูฉู่และเฮ่อซงจือจึงค่อนข้างสนิทกันเป็นเรื่องธรรมดา

เฮ่อซงจือยิ้ม หล่อนรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างมาก เพียงแต่กำลังรอคอยการมาถึงของลูกก็เท่านั้น เพราะถ้าหากมีลูก ก็เท่ากับว่าหล่อนได้ยืนภายในบ้านสามีอย่างมั่นคงแล้ว

ส่วนเย่ฉูฉู่ตอนนี้ยังไม่หวังว่าจะตั้งครรภ์ เธอยังยืนกรานเหมือนเดิม ว่ารอให้แยกบ้านและฐานะทางบ้านดีขึ้นค่อยตั้งครรภ์ก็ยังไม่สาย

เพียงไม่นานทางฝั่งนั้นก็มีข่าวดีส่งมา จ้าวเถี่ยต้านลูกชายคนโตของพี่รองจ้าววิ่งมาด้วยความดีใจ เขาพูด “อาสะใภ้หก อาหกจับกระต่ายตัวอ้วนได้คู่หนึ่ง สองตัวรวมกันได้เนื้อหนักสิบกว่าชั่งเลยครับ!”

ข่าวนี้ทำให้ทุกคนที่กำลังเก็บข้าวโพดต่างพากันอิจฉาตาร้อนจนทนไม่ไหว

คุณแม่จ้าวที่กำลังเก็บข้าวโพดและจับกลุ่มพูดคุยกับพี่สาวน้องสาวทางฝั่งนั้นลุกขึ้นยืนทันที “เถี่ยต้าน เธอพูดจริงเหรอ?”

“จะโกหกทำไมล่ะครับ? ทั้งกลุ่มใหญ่มีแต่อาหกของผมที่มีความสามารถนี้!” เถี่ยต้านนับถืออาหกของเขาจนไม่อาจเทียบเทียม

“เธอมาทำแทนย่า ย่าจะกลับไปดูหน่อย!” คุณแม่จ้าวรีบพูด

เถี่ยต้านเองก็รู้ดีว่าคืนนี้ต้องได้รับประทานของดีแน่นอน จึงเข้าไปเก็บข้าวโพดแทนย่าของเขา

“ฉูฉู่ เธอทำงานไปก่อนนะ แม่จะกลับไปเตรียมของที่บ้าน” ครั้นคุณแม่จ้าวนึกขึ้นได้ นางจึงพูดกับลูกสะใภ้หก

สะใภ้รองจ้าวและสะใภ้สามจ้าวไปทำมันเทศตากแห้งแล้วจึงไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่สะใภ้สี่จ้าวยังอยู่ เมื่อเห็นว่าแม่สามีพูดอย่างอ่อนโยนกับน้องสะใภ้หกขนาดนี้ แต่กลับไม่พูดอะไรกับหล่อนแม้แต่ประโยคเดียว จึงรู้สึกหน้าเสียอย่างฉับพลัน

เป็นเพราะหล่อนไม่มีลูกชาย ดังนั้นลูกสะใภ้อย่างหล่อนจึงไม่มีที่ยืนอยู่ในสายตาของแม่สามีสินะ!

เย่ฉูฉู่ไม่ได้คิดมากเหมือนกับหล่อนขนาดนั้น ภายในใจกลับรู้สึกมีความสุขอย่างมาก

เหวินเทาของเธอมีความสามารถจริง ๆ เขาหาเนื้อได้อีกแล้ว

เฮ่อซงจือพูดด้วยความอิจฉา “คนอื่นยังไม่ได้เนื้อป่าอะไรเลย แต่บ้านเธอได้กินเป็นประจำ ลาภปากจริงเชียว”

“คงเป็นเพราะทำสำเร็จโดยบังเอิญนั่นแหละ ก็แค่โชคดีนิดหน่อยเท่านั้นเองจ้ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

“เหวินเทาโชคดีมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงทุก ๆ ปี เขาจับกระต่ายจับไก่ฟ้ามาไม่น้อย ทำให้คนอิจฉาแทบแย่!” คุณป้าที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว

“แน่นอนอยู่แล้วครับ อาหกของผมมีความสามารถที่สุดเลย!” เถี่ยต้านพูด

เขาโตแล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้ดีว่าเนื้อส่วนใหญ่ที่ได้มาเป็นฝีมือของอาหกทั้งหมด เป็นเพราะได้รับประทานเนื้อ เด็ก ๆ บ้านอื่นในหมู่บ้านต่างก็อิจฉาเขาไม่น้อย มีบางคนที่ยังไม่รู้รสชาติของเนื้อเลยด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร!

แต่เขารู้ ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ที่บ้านของเขาก็จะมีเนื้อกระต่ายผัดน้ำแดงให้รับประทานอีกแล้ว กระต่ายอ้วนสองตัวเชียวล่ะ!

พี่สะใภ้สี่จ้าวนึกถึงเนื้อที่จะได้รับประทานในคืนนี้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร แม้จะรู้สึกอิจฉา

ส่วนคุณแม่จ้าวก็เดินมาหาลูกชายทางฝั่งนี้ จากนั้นก็หิ้วกระต่ายไว้ในมือ น้ำหนักตัวขนาดนี้ ทำให้คุณแม่จ้าวดีใจจนทนไม่ไหว

“แม่ ขอปรึกษาหน่อยสิครับ” จ้าวเหวินเทายื่นหน้าเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้ม

“มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันคืนนี้ เอากระต่ายตัวนี้ไปให้พ่อตาแม่ยายก่อน ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังไม่กลับ กำลังทำงานอยู่ฝั่งนู้น แกไปตอนนี้ก็น่าจะทันพอดี!” คุณแม่จ้าวพูดพลางยัดกระต่ายหนึ่งตัวใส่มือเขา

 

จ้าวเหวินเทารู้สึกมีความสุขอย่างฉับพลัน “สมกับที่เป็นแม่ของผม ผมคิดอะไรแม่ก็รู้ไปหมดทุกอย่างเลย”

คุณแม่จ้าวก่นด่าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมาประจบ เอาไปเถอะ!”

นางได้ยินสามีพูดว่า ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงนี้ตระกูลเย่ทางฝั่งนั้นได้รับประทานของดี ๆ ทั้งยังเผื่อแผ่มาถึงสองสามีภรรยาคู่นี้ด้วย มีซาลาเปาไข่ไก่แถมยังมีเกี้ยวน้ำอีก สามีของนางก็พลอยได้รับประทานอย่างมีความสุขไปด้วย

พูดอย่างมีมโนธรรมสักหน่อยก็คือ ในบรรดาครอบครัวลูกสะใภ้ ไม่มีใครที่ใจกว้างและสมเหตุสมผลเหมือนกับตระกูลเย่อีกแล้ว

บ้านพ่อตาของลูกชายคนเล็กถือว่าเป็นคนในครอบครัวของตัวเองเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องกระชับสัมพันธ์ให้ดีเข้าไว้ไม่ใช่เหรอ? หลังจากนี้มีเรื่องอะไรก็ช่วยเหลือกันได้

อีกอย่างทุกคนต่างก็กำลังจับตาดูอยู่ว่าบ้านของนางดูแลลูกสะใภ้ตระกูลเย่อย่างไร วันนี้ลูกชายของตนเองที่เป็นลูกเขยจับกระต่ายมาได้สองตัว ถ้าแบ่งไปให้ทางฝั่งพ่อตาแม่ยายหนึ่งตัวแล้วใครจะพูดอะไรได้?

จ้าวเหวินเทาเดินหิ้วกระต่ายเข้ามา ก็พบพวกคุณพ่อเย่และคนอื่น ๆ กำลังเกี่ยวข้าวอยู่ไกล ๆ

“พ่อครับ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม!” จ้าวเหวินเทาตะโกนเรียก

“อ้าว เหล่าเย่ ลูกเขยของนายมาแล้ว!” หัวหน้าของฝ่ายผลิตตระกูลเย่พูดด้วยรอยยิ้ม

…………………………………………………………………………………………………………………………

[1] คนวัฒนธรรม หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ เข้าใจถึงศิลปะ มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานศิลปะและการวิจัย

สารจากผู้แปล

มันไม่เกี่ยวว่าเธอจะมีลูกชายหรือไม่นะสะใภ้สี่ มันเป็นที่ทัศนคติของเธอ

มีแบคใหญ่ก็ดีอย่างนี้ล่ะนะเหวินเทา

ไหหม่า(海馬)