หลังจากนั้นไม่นาน หมิงเย่ากับหมิงอวี่สองพี่น้องก็เดินมาที่ร้าน หมิงเย่ามีอาการดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด สองสามีภรรยาปิดประตูร้านแล้วออกเดินทาง คนรอบข้างบางส่วนก็คิดว่าที่สุดแล้วก็เปิดร้านต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีคนรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองดูมีความสุขอย่างยิ่ง ไม่ดูเหมือนคนล้มละลาย ที่น่าจะเดินคอตกออกจากเมือง แต่สองคนนี้ไม่ว่าดูอย่างไรก็เหมือนจะออกไปเที่ยวเล่น
หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าร่องรอยยอดเซียนจะอยู่ในสถานที่ซึ่งเป็นที่แจ้งเช่นนี้ ร่องรอยยอดเซียนไม่สามารถตัดสินได้จากภายนอกจริงๆ แถมยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองใหญ่ หลิวหลีมองประตูเมือง ที่นางคิดเช่นนี้ก็เพราะหมิงเย่ากล่าวเอาไว้
“สหายเซียนทั้งสอง เมื่อถึงเมืองประกายแสงก็จะใกล้ถึงร่องรอยยอดเซียนแล้ว” หมิงเย่ากล่าว
ใกล้จะถึงเมืองประกายแสงแล้ว สหายเซียนไม่พูดทั้งหมดแต่พูดเพียงครึ่งๆกลางๆ ทำเอานางนึกว่าร่องรอยยอดเซียนนี้จะใหญ่โตมโหฬาร ใกล้จะถึงแต่ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ในเมือง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่ในเมือง จะว่าไปแล้ว ชื่อเมืองช่างดูไร้อารยธรรมเหลือเกิน
หนานกงเวิ่นเทียนเห็นสีหน้าของหลิวหลี ก็รู้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แทบจะไม่ต้องสื่อสารกัน นังหนูคนนี้คิดมากเกินไปแล้ว
“เมืองประกายแสงมีจุดเด่นอะไรหรือไม่” หลิวหลีถาม
“จุดเด่นน่ะหรือ ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่ากลางวันค่อนข้างยาว เหมือนมีแต่ช่วงกลางวัน จึงได้ชื่อว่าเมืองประกายแสง” ท่าทางของสองคนนี้ดูไม่เหมือนคนที่ไม่เคยออกไปไหน ทำไมแม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลิวหลีเข้าใจทันที แต่แค่นางรู้สึกว่าชื่อเมืองรุ่งอรุณ น่าจะไพเราะกว่า
พวกเขาหยุดอยู่ที่เมืองประกายแสงครู่หนึ่ง แล้วจากไป ร่องรอยยอดเซียนอยู่ในสถานที่ที่รกร้างจริงๆ นางก็ว่าร่องรอยยอดเซียนจะอยู่ในเมืองได้อย่างไร
“ที่นี่” หมิงเย่าชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแล้วพูดขึ้น เป็นที่โล่งจนไม่อำพรางอะไรไม่ได้
“ที่นี่ ดูสงบมากเกินไป” หลิวหลีขมวดคิ้ว ไม่สมกับที่เป็นแดนลี้ลับเลย
“สหายเซียนไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” หมิงเย่าหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา คาดว่าน่าจะเป็นกุญแจที่ใช้เข้าไป
“ของสิ่งนี้เป็นของที่ข้าสองคนพี่น้องบังเอิญได้มา ซึ่งเป็นกุญแจของร่องรอยยอดเซียนแห่งนี้ พวกข้าสองพี่น้องก็ไม่แน่ใจว่ามีกุญแจดอกอื่นอีกหรือไม่ พวกเราลองไปหากันดู” หมิงเย่ากล่าว
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนสหายเซียนหมิงเย่าด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
หมิงเย่าโยนกุญแจออกไป จู่ๆพื้นที่ราบเรียบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ปรากฏสะพานทรายที่เชื่อมระหว่างพื้นกับท้องฟ้า ทำให้เดินขึ้นไปบนฟ้าได้ ร่องรอยยอดเซียนอยู่บนฟ้าหรือนี่? หลิวหลีมองดูสะพานทรายที่เชื่อมกับฟ้า ทำแบบนี้จะดูประเจิดประเจ้อไปหรือไม่นะ หลิวหลีบดยาเซียนศักดิ์สิทธิ์เม็ดหนึ่งโปรยลงไปรอบๆ หมิงเย่าเดินขึ้นไปบนสะพานทรายแล้ว หลิวหลีถึงก้าวตามขึ้นไป ส่วนหมิงอวี่ขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย เมื่อพวกเขาเดินไปข้างหน้า สะพานทรายที่พวกเขาเดินผ่านมาก็หายไป
“สหายเซียนอย่ากังวล กุญแจดอกนี้สามารถพามาได้ 6 คน สะพานทรายแห่งนี้ดูเหมือนจะสามารถสัมผัสได้ หลังจากคนสุดท้ายเดินไป สะพานทรายจะสลายไป” หมิงเย่าเห็นหลิวหลีทำท่าทางสงสัย จึงอธิบายออกมา
“ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน” หลิวหลีรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่
“พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ” หมิงเย่ากล่าว
พอเดินไปได้สักพัก เหมือนจะถึงชั้นของก้อนเมฆ หลิวหลีรู้สึกว่าทิศทางที่กำลังเดินไปนั้นเหมือนเดินลงไปด้านล่าง ดังนั้นทางเข้าร่องรอยยอดเซียนแห่งนี้เป็นบนฟ้าหรือใต้ดินก็สุดจะรู้
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไร หลิวหลีก็พบถ้ำแห่งหนึ่ง บริเวณหน้าประตูมีรูปปั้นงูมีปีก หลิวหลีระวังตัวขึ้นมาทันที งูมีปีกเป็นอสูรที่ดุร้ายในบรรพกาล หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในทางธรรม จะใช้รูปปั้นเฝ้าประตูเป็นงูมีปีกได้อย่างไรกัน เหมือนมันจะล่วงรู้ถึงความคิดของหลิวหลี ดวงตาของรูปปั้นราวมีชีวิต จ้องมาที่นาง แต่นางมองกลับโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ กะอีแค่งูมีปีกเท่านั้นไม่ใช่หรือ นางจะกลัวได้อย่างไร นางเคยทำพันธสัญญากับมังกรมาก่อน จะมากลัวญาติที่ห่างไม่รู้กี่พันลี้ของเผ่ามังกรได้อย่างไร
“สหายเซียน รูปปั้นมังกรน้ำตัวนี้ค่อนข้างมีความพิเศษ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” หมิงเย่ากล่าว อยู่ดีๆเขาก็รู้สึกว่าเขาคิดผิดหรือเปล่านะที่พา 2 คนนี้มาด้วย ทำไมพวกเขาดูตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่ง แม้แต่รูปปั้นหน้าประตูก็ไม่เว้น
“มังกรน้ำ ดูพิเศษดี สหายเซียน นำทางเถอะ” หลิวหลีตั้งสติได้แล้วพูดขึ้น
ก่อนจะสื่อสารในใจกับหนานกงเวิ่นเทียน
“นังหนู นั่นคงไม่ใช่มังกรน้ำกระมัง” ถึงแม้หนานกงเวิ่นเทียนจะทำพันธสัญญากับหงส์ แต่ก็พอจะเข้าใจอสูรเทพชนิดอื่นๆอยู่บ้าง
“ไม่ใช่ น่าจะเป็นงูมีปีก อสูรร้ายบรรพกาล” หลิวหลีส่งเสียงบอกเขา
“พี่น้องสองคนนั้นทำไมถึงนึกว่าเป็นมังกรน้ำไปได้” หนานกงเวิ่นเทียนงุนงง
“มันน่างงตรงไหน เพราะไม่มีความรู้ต่างหาก แต่ใช้อสูรร้ายมาเฝ้าประตู รู้สึกว่าร่องรอยยอดเซียนนี้มีอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนจะเป็นร่องรอยยอดเซียน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นร่องรอยมารมากกว่า” หลิวหลีดูจากรูปปั้นเฝ้าประตู แล้วบอกกาคาดเดาของตัวเองออกมา
“ร่องรอยมาร ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม” หนานกงเวิ่นเทียนทำท่าทางจริงจัง
“อือ คิดว่าสุดท้ายสองพี่น้องนี้จะออกไปก่อนพวกเรา” หลิวหลีบอกการคาดเดาของตัวเอง
“พลังบำเพ็ญเพียรต่ำเกินไป มีกุญแจแต่ไม่มีความสามารถที่คู่ควร ดูเวลาที่สมควรแล้วส่งพวกเขาออกไปเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้ว่าสองคนนี้ไม่ใช่คนที่เลวร้าย เพียงแต่ว่าพลังบำเพ็ญเพียรอยู่แค่ในขั้นเซียนสุขาวดี เข้ามาในนี้ก็เหมือนเป็นการไม่รู้จักประมาณตน
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิวหลีเห็นด้วย ทั้งสองคนเดินตามพี่น้องสกุลหมิง แต่พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องว่าคนทั้งสองแอบส่งกระแสจิตคุยกัน จนตกลงเรื่องของพวกเขาสองพี่น้องเรียบร้อยแล้ว
“สหายเซียนระวัง ที่นี่มีแมลงชนิดหนึ่งร้ายกาจมาก ครั้งที่แล้วพี่ใหญ่ถูกกัดเพราะช่วยข้า ก็เลยถูกกุญแจพาตัวออกไป ร้ายกาจมากจริงๆ” หมิงอวี่กล่าว เมื่อสองพี่น้องมาถึงที่นี่ก็ระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
“แมลง” หลิวหลีเอายาศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้วบดขยี้ ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอาออกมาบดขยี้อีกเม็ดหนึ่ง โปรยรอบตัวทั้งสี่คน
“ระวัง แมลงนั้นมาแล้ว” หมิงเย่าตะโกน ระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม ใครจะนึกว่า แมลงได้บินผ่านตัวเขาไป ราวพวกเขา 4 คนไม่มีตัวตน เป็นไปได้อย่างไรกัน แล้วจู่ๆก็นึกถึงผงแป้งที่หลิวหลีโรย
“คิดว่าน่าจะเป็นประสิทธิภาพของยาที่ฮูหยินเจี่ยโรย ขอบคุณมาก คราวก่อนพวกข้าสองพี่น้องเสียเปรียบแมลงพวกนี้เป็นอย่างมาก” หมิงเย่าพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณ เมื่อเห็นความสำคัญของเซียนนักปรุงยา
“อือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” หลิวหลียอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ทราบว่าผงยานี้คือ” หมิงอวี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ทำขึ้นมาตอนที่ว่างๆไม่มีอะไรทำ” หลิวหลีไม่ได้บอกอะไรมาก
เมื่อรู้ว่าฮูหยินเจี่ยไม่อยากจะพูดมาก สองพี่น้องก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ
ทั้ง 4 คนเดินหน้าต่อโดยไม่ได้พูดอะไร
“ระวัง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าวเตือน ทั้ง 4 คนหลบไปอยู่ข้างๆ ไม่นานก็มีอสูรที่ไม่รู้ว่าคืออะไรผ่านมา สองพี่น้องตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาสองพี่น้องมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนสุขาวดียังไม่ทันสังเกตเห็น นายท่านเจี่ยที่พูดว่าตัวเองมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนอธนการกลับรับรู้ได้ ดูแล้วจะตัดสินทั้งสองคนนี้จากภายนอกไม่ได้จริงๆ
“ได้แล้ว” หลิวหลีกล่าว
สองพี่น้องเพิ่งจะรู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเชิญคนที่ไม่ธรรมดามาร่วมทางด้วย ส่วนหมิงอวี่รู้สึกว่าพี่ใหญ่ของตนเองสายตาแหลมคมเหมือนเช่นเคย
เมื่อทั้ง 4 คนเดินต่อไปสักพักเหมือนจะไม่เจออะไร ทันใดนั้นเองหลิวหลีก็ตะโกนว่าให้ระวัง มีคนบินออกมา พวกเขากลั้นหายใจ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“ไม่ใช่แค่กุญแจดอกเดียวจริงๆด้วย เจ้าของร่องรอยยอดเซียนแห่งนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“เดินต่อไปก็จะรู้เอง” หลิวหลีพูดจบก็ออกเดินนำ หนานกงเวิ่นเทียนเดินตามไปติดๆ ถึงแม้สองพี่น้องจะรู้สึกหวั่นใจ แต่ก็พยายามข่มความกลัวเดินตามไป
เดินไปได้ไม่ไกลก็พบว่าด้านหน้ามีคนอยู่หลายสิบคน ฟังจากที่พี่น้องบ้านสกุลหมิงพูด กุญแจดอกหนึ่งสามารถพามาได้ 6 คน ถ้าเช่นนั้น คนกลุ่มนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้กุญแจ 8 ดอกในการเดินทางเข้ามา
เมื่อเห็นว่ามีคนใหม่เข้ามา ทุกคนก็เริ่มระวังตัว แต่พอเห็นสัญลักษณ์บนหน้าผากของทั้ง 4 คน ก็รู้สึกโล่งใจ เซียนอธนการสองคนกับเซียนสุขาวดีสองคน ไม่ได้น่ากลัวอะไร
หลิวหลีย่อมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของทั้ง 10 คน ไม่ว่าจะสหายเซียนที่สิ้นใจไปผู้นั้นจะเป็นใคร แต่ที่นี่กลับไม่มีคนรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าเศร้าใจและน่าขันจริงๆ
“มีคนไม่เจียมตัวมาอีกแล้ว 4 คน ตอนนี้กระทั่งเซียนอธนการก็ยังไม่รู้จักประมาณตนเช่นกัน” มีคนในกลุ่มนี้เอ่ยปากพูดขึ้น
“ไม่ดูสภาพตัวเองบ้างเลย เพิ่งจะเป็นแค่เซียนอธนการ ก็เลียนแบบคนอื่นไปตามร่องรอยยอดเซียน ตามหาของล้ำค่าเสียแล้ว” เมื่อมีคนเริ่มพูดเป็นคนแรก ก็จะมีคนที่สอง คนที่สาม หรือมากกว่านั้นตามมา
“ใช่ กลับไปเสียเถอะ แม้แต่เซียนสุขาวดีเจอเข้ายังแทบจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับแค่เซียนอธนการที่ไม่รู้จักเจียมตัว” มีคนพูดเย้ยหยัน
หลิวหลีทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินไปอยู่ข้างหน้าสุด พบว่ามีอสูรอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นอสูรที่ไม่รู้เรื่องอะไร
ร่องรอยยอดเซียนที่นี่แปลกประหลาดจริงๆด้วย พวกนั้นเป็นอสูรมารชัดๆ ถึงแม้จะลึกลับ แต่ก็ยังพอมองร่องรอยมารออก
“เยอะมาก พวกเราจะเข้าไปได้อย่างไร” หมิงอวี่ทำอะไรไม่ถูก
“เดินตรงเข้าไป ไม่ได้ยากอะไรเลย” หลิวหลีมองดูฝูงอสูรมารที่ดุร้าย
“ดูสิดู คุยโวโอ้อวด พวกข้าเป็นถึงเซียนสุวรรณนภายังไม่กล้าพูดว่าจะเดินผ่านไป เจ้าเป็นเพียงแค่เซียนอธนการกลับกล้าพูดจาคุยโวเช่นนี้” พอหลิวหลีพูดจบ ก็มีคนพูดจาเสียดสีนางขึ้นทันที
“พวกข้าก็อยากจะรอดู เซียนอธนการท่านนี้จะเดินผ่านไปอย่างไร” มีคนเอ่ยปากพูดขึ้น คนอื่นๆที่เหลืออยู่ก็เห็นด้วยทันที และพี่น้องบ้านสกุลหมิงเริ่มมีสีหน้าเก้อเขิน
“ถ้าเช่นนั้น พวกข้าทั้ง 4 คนก็ขอเดินนำทุกท่านไปก่อนแล้วกัน” หลิวหลีพูดอย่างมีมารยาท
“อีกเดี๋ยวอย่าเดินห่างจากข้าเกินหนึ่งเมตร” หลิวหลีพูดกำชับพี่น้องบ้านสกุลหมิง
หลิวหลีเดินตรงไป ถึงขนาดไม่ได้ใช้ของป้องกันอะไรสักชิ้น เดินผ่านไปทื่อๆ แต่พวกอสูรมารกลับหลีกทางให้กับหลิวหลีราวเห็นสิ่งน่ากลัว ทำให้กลุ่มคนข้างนอกที่เตรียมจะหัวเราะเยาะถึงกับตกตะลึง ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ มีคนไม่เชื่อจึงลองก้าวขาเข้าไปหยั่งเชิง แต่อสูรพุ่งเข้ามาทันที เซียนอธนการคนนั้นทำได้อย่างไรกันแน่
หลิวหลีปล่อยพลังอำนาจของอสูรเทพบรรพกาลออกมาจึงทำให้สามารถเดินผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ตอนแรกสองพี่น้องบ้านสกุลหมิงยังรู้สึกหวั่นใจ แต่สักพักก็รู้สึกตกตะลึง หากไม่ใช่เพราะหลิวหลีกำชับว่าจะต้องอยู่ห่างจากนางไม่เกินหนึ่งเมตร สองพี่น้องจึงตกตะลึงไปอีกครู่ใหญ่
…………………………