บทที่ 47 แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 47 แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด
บทที่ 47 แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด

ฟู่ว!

เฉินซีหลุดจากห้วงสมาธิ เขาผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ไอสีขาวพวยพุ่งออกมาราวกับมังกรที่โผทะยานและยืดกายยาวออกไปตราบที่ลมหายใจของเขายังคงดำเนิน

“ข้าทะลวงผ่านสำเร็จแล้ว หลังจากค่ำคืนแห่งการบ่มเพาะอันยากลำบาก ข้าได้บรรลุขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่เก้าแล้ว และอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะยกระดับสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล!”

เฉินซีลุกขึ้นยืนและยืดแขนขาไปพลาง ขณะที่เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของตัวเอง แล้วเขาก็ครุ่นคิดในใจ

‘ก่อนหน้านี้ข้าสามารถล้มผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ และก็ยังเอาชนะหลี่ไฮว่ได้โดยที่ยังอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่แปด ตอนนี้ข้าได้บรรลุถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอินทนิล ข้าก็จะมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน’

อย่างไรก็ตาม เฉินซียังเข้าใจด้วยว่าเขาสามารถท้าทายผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่ภายในดินแดนแห่งนี้ หากคนเหล่านี้สามารถปลดขีดจำกัดได้ ผลการต่อสู้ยามเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะตำหนักอินทินิลที่มีพลังเต็มเปี่ยมคงยากที่จะคาดเดาเป็นแน่

ท้องฟ้าได้สว่างขึ้นแล้วและกลับมาเป็นสีแดงเข้มอีกครั้ง เมื่อเขาเดินออกมาจากบ้านหิน เฉินซีเห็นว่ากลุ่มทั้งสามของตู้ชิงซีมีอุปกรณ์ครบครันและเตรียมตัวเสร็จแล้ว

“การบ่มเพาะของเจ้าก้าวหน้าขึ้นอีกแล้วหรือ?” ตู้ชิงซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจยามที่นางเห็นเฉินซี

“ดูเหมือนว่าการต่อสู้เมื่อวานนี้จะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว” ร่องรอยความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของต้วนมู่เจ๋อเช่นกัน

“โอ้ ข้าคิดว่ามันมีเหตุผล” ซ่งหลินเหลือบมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง แฝงไปด้วยความหมายที่ยากจะเข้าใจ

เฉินซีไม่รู้ว่าระหว่างการต่อสู้กับหลี่ไฮว่เมื่อวานนี้ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาดาบขั้นสูงและวิชาตัวเบา หรือหมัดทลายล้างขั้นเอกภาพที่เขาใช้ออกไป ล้วนทำให้ซ่งหลินมั่นใจว่า ต้องมีผู้บ่มเพาะคอยชี้แนะเฉินซีอยู่แน่นอน

ยามแสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องลงมา ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมืองอาบโลหิตได้ออกไปล่าอสูรปีศาจ มีเพียงไม่ก็กลุ่มเท่านั้นที่ยังคงมีสมาชิกครบเช่นเดียวกับกลุ่มของเฉินซี ขณะเคลื่อนขบวนเข้าสู่ส่วนลึกของหุบเขาอาบโลหิต หรือเรียกอีกอย่างว่า จุดสิ้นสุดของดินแดนรกร้างใต้พิภพ

เมื่อพวกเขาออกจากเมืองอาบโลหิต ในที่สุดเฉินซีก็เห็นว่ามีผู้บ่มเพาะสามสิบคนที่เปล่งรัศมีอันน่าเกรงขามกำลังมุ่งหน้าออกจากเมือง

ตามคำกล่าวของตู้ชิงซี ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ล้วนมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล พวกเขาไม่เพียงแต่มาจากแปดนิกายใหญ่ สำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม และหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรเท่านั้น แต่ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มาจากเมืองอื่นของดินแดนทางตอนใต้อีกมากมาย ปรมาจารย์ในที่นี่ถือได้ว่ามีมากมายราวกับก้อนเมฆ

ซูเจียวและฉางปินก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน และข้างกายพวกเขาก็มีบุรุษสตรีที่น่าจับตาเพียงไม่กี่คน สายตาของคนเหล่านี้ล้วนไม่แยแสต่อสิ่งใด

จัดกลุ่มกันเสร็จแล้ว?

ก่อนที่เฉินซีจะหายตกตะลึง เสียงหัวเราะก็ดังก้องออกมา บุรุษและสตรีสองสามคนที่เปี่ยมไปด้วยแรงใจ อีกทั้งยังสวมเสื้อผ้าที่แตกต่างกันก็เดินมาจากกลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไป

“พี่ต้วนมู่ พี่ซ่ง คุณหนูตู้ พวกท่านก็มาเช่นเดียวกันหรือ” ชายหนุ่มชุดดำที่เดินนำมา กล่าวทั้งรอยยิ้มที่ดูมีความสุขยิ่ง

หลังจากการสนทนาสั้น ๆ เฉินซีก็พบว่าชายหนุ่มชุดดำคนนี้มีนามว่า ‘ไฉ่เล่อเทียน’ เขาเป็นผู้มาจากหนึ่งในแปดนิกายที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร นั่นคือ พระราชวังข่ายดารา

คนผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาหล่อเหลา ทว่ามีแผลเป็นที่แก้มซ้าย อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่เพียงแลดูไม่น่าเกลียด แต่ยังขับเสน่ห์ความเป็นลูกผู้ชายอันหยาบกระด้างให้กับเขาอีกด้วย

ชายสามคนและหญิงหนึ่งคนที่เคียงข้างไฉ่เล่อเทียนนั้น มาจากสามสำนักที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร และสถานะของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไฉ่เล่อเทียนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาคือ ‘อวี้ฮ่าวไป๋’ จากสำนักเมฆาอนันต์ ‘ตู้เฉวี่ยน’ กับ ‘ตู้ขุย’ จากสำนักทะยานสายลม และ ‘มู่หลงเว่ย’ จากสำนักพฤกษาคราม

อวี้ฮ่าวไป๋ เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาและดูสุภาพเรียบร้อย ทั้งยังโดดเด่นยิ่ง

ตู้เฉวี่ยนกับตู้ขุยเป็นฝาแฝดกัน ทั้งคู่มีรูปร่างสูงสง่าและกำยำ และยังคงสงวนท่าทีเอาไว้

มู่หลงเว่ย เป็นสตรีผู้เดียวในหมู่พวกเขา นางมีนิสัยอ่อนโยนและงดงาม ราวกับกล้วยไม้ในหุบเขาที่ส่งกลิ่นหอมน่าดึงดูด ทำให้ผู้พบเจอไม่อาจควบคุมตัวเองได้และต้องการที่จะปกป้องนาง

เห็นได้ชัดว่าทั้งห้าคนนี้บรรลุข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน และพวกเขาต่างยกให้ไฉ่เล่อเทียนเป็นผู้นำ

ไฉ่เล่อเทียนดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตู้ชิงซี และเมื่อต้องเผชิญกับการช่างพูดของไฉ่เล่อเทียน ตู้ชิงซีผู้มีนิสัยเยือกเย็นราวกับหิมะก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มอันหาได้ยาก

เฉินซีสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มที่มุมปากของต้วนมู่เจ๋อหายไป ยามที่เขาเห็นไฉ่เล่อเทียนกับตู้ชิงซีสนทนากันอย่างสนุกสนาน ดวงตาของชายหนุ่มก็เผยให้เห็นร่องรอยความระแวดระวังราง ๆ

“โอ้ เสี่ยวเจ๋อช่างน่าสงสารจริง ๆ ครั้นไล่ตามซูเจียวก็มีคู่แข่งที่น่าเกรงขามอย่างฉางปิน พอไล่ตามตู้ชิงซี ก็มีไฉ่เล่อเทียนปรากฏตัวขึ้นอีกครา ช่างเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ”

ถ้อยคำที่ส่งมาด้วยกระแสเสียงปราณเข้ากระทบโสตของเฉินซี จากนั้นสายตาก็เหลือบมองไปยังซ่งหลินผู้เกียจคร้านที่ปรากฏกายขึ้นข้างตัวเขา ใบหน้าของคนผู้นี้ยังคงเซื่องซึมเหมือนเคย

“ผู้คนพวกนี้ต้องการสิ่งใด” เฉินซีถ่ายทอดเสียงผ่านลมปราณเช่นกัน

“ก่อตั้งพันธมิตร ที่จริงแล้วหากเจ้าสังเกตดี ๆ เจ้าจะสามารถสังเกตได้ว่า แม้กลุ่มของไฉ่เล่อเทียนจะมาจากขุมพลังที่แตกต่างกันของเมืองทะเลสาบมังกร เมื่อเทียบกับซูเจียว พวกเขาทั้งสองย่อมเป็นคนละฝ่ายอย่างแน่นอน…”

ด้วยคำอธิบายของซ่งหลิน ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

สิ่งที่เรียกว่าแปดนิกาย สามสำนัก และหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่งและถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย

ไฉ่เล่อเทียนเป็นตัวแทนของพระราชวังข่ายดารา อวี้ฮ่าวไป๋ และคนอื่น ๆ เป็นตัวแทนของสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่ง ส่วนตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลิน เป็นตัวแทนของตระกูลตู้ ตระกูลต้วนมู่ และตระกูลซ่งที่ทั้งหมดอยู่ในฝ่ายเดียวกัน

ส่วนขุมกำลังที่ซูเจียว ฉางปิ่งและบุรุษสตรีสองสามคนนั้น เป็นตัวแทนของขุมกำลังอื่น

ในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีบรรดาศิษย์ที่เข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ และเพื่อปกป้องเหล่าศิษย์ของพวกเขาจากฝ่ายอื่น การเดินทางเป็นกลุ่มนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“ที่จริง ความสัมพันธ์ระหว่างขุมกำลังเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาเปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ที่ดำรงอยู่มากว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง และเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าได้”

ซ่งหลินอ้าปากหาวและกล่าวอย่างโรยแรง “แต่เจ้าจงจำไว้ว่า ซูเจียวและคนเหล่านั้นเป็นศัตรูของพวกเรา”

เฉินซีไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ ขณะเดียวกันเขาก็กำลังสงสัยว่า การที่ตนเองถูกแบ่งพรรคแบ่งพวกนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่กันแน่ต่างหาก

ไฉ่เล่อเทียนกวาดมองไปโดยรอบ และแย้มยิ้มในขณะที่เขาจ้องมองไปยังเฉินซีพลางกล่าวขึ้นว่า “หรือว่าสหายเต๋าผู้นี้คือเฉินซีที่เอาชนะหลี่ไฮว่ได้เมื่อวานนี้?”

ตู้ชิงซีพยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว”

“ไม่เลว ไม่เลว” ไฉ่เล่อเทียนหัวเราะอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปคุยกับหญิงสาวต่อ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ให้โอกาสเฉินซีได้กล่าวอันใดเลย

เห็นได้ชัดว่าเฉินซีหาได้มีตัวตนในสายตาของไฉ่เล่อเทียน และการทักทายเขามันก็เพียงพอแล้ว และไม่ควรได้รับความสนใจมากไปกว่านี้

เฉินซีหาได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ แต่ต้วนมู่เจ๋อกลับรู้สึกไม่พอใจและส่งกระแสเสียงปราณมาว่า “เจ้าคิดว่าตัวเป็นใครถึงได้กล้าละเลยผู้อื่น?”

“ดูเหมือน…ไม่ต้องจริงจังก็ได้กระมัง” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ

ทว่าต้วนมู่เจ๋อกลับกล่าวด้วยความชิงชังเมื่อเขาเห็นเฉินซียังคงมีท่าทางไม่แยแสต่อสิ่งใด “ลูกผู้ชายมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ต้องยึดถือเกียรติเป็นสิ่งแรก หากเป็นลูกผู้ชายที่ไร้เกียรติแล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ชายอาศัยใบหน้า ดั่งต้นไม้อาศัยเปลือกไม้…”

เฉินซีสามารถทนต่อการหมางเมินได้ แต่เขาไม่อาจทนต่อคำพูดของต้วนมู่เจ๋อได้เลย ดังนั้นเขาจึงกล่าวขัดจังหวะ “เจ้าเป็นปฏิปักษ์กับไฉ่เล่อเทียนหรือ?”

“เข้ากันไม่ได้โดยเด็ดขาด!” ต้วนมู่เจ๋อตอบกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว

“หากเป็นเช่นนั้น เราไม่ร่วมมือกันฆ่าเขาล่ะ”

ใบหน้าของต้วนมู่เจ๋อหยุดนิ่ง ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งตื่นจากสภาวะคลุ้มคลั่ง จากนั้นท่าทางของเขาก็ผันผวนไปมาระหว่างมืดมนและกังวล ก่อนที่จะกล่าวด้วยความสลดใจ “สิ่งนั้นมิอาจทำได้ ถ้าข้าทำเยี่ยงนี้ตู้ชิงซีจะดูถูกข้าตลอดไป”

ขณะที่เขากล่าวก็เอื้อมมือมาตบไหล่เฉินซี “พี่ชาย ขอบคุณ! เมื่อใดเจ้าจะมาที่เมืองทะเลสาบมังกร พวกเราพี่น้องจะต้องดื่มกินให้เต็มที่อย่างแน่นอน”

เฉินซีรู้สึกงุนงงไปชั่วครู่ และทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่ซ่งหลินกล่าวก่อนหน้านี้ ต้วนมู่เจ๋อจนตรอกแท้จริง เมื่อต้องเผชิญกับคู่แข่งความรักเยี่ยงไฉ่เล่อเทียน

“ไปกันเถอะ!” จากระยะห่างไกล ซูเจียวโบกมือของนางแล้วนำกลุ่มคนที่อยู่เคียงข้างพุ่งทะยานออกไป

เฉินซีจึงสังเกตเห็นทันทีว่าหลี่ไฮว่กำลังติดตามกลุ่มของซูเจียวอยู่เบื้องหลัง เจ้านี่คล้ายกับกำลังซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเหมือนก่อนหน้านี้ เมื่อเขามองมาทางนี้ และสบกับสายตาของเฉินซี สีหน้าของเขาก็หม่นหมองลงทันใด

“ไปกันเถอะ” ไฉ่เล่อเทียนกล่าวขึ้น และเมื่อดูท่าทางของตู้ชิงซี ก็เห็นได้ชัดว่านางยอมให้เขาเป็นผู้นำในครั้งนี้

“ฮึ่ม! ข้าจะไม่ฟังคำสั่งของใครนอกจากชิงซี แล้วเจ้าล่ะเฉินซี?” ต้วนมู่เจ๋อเอ่ยถามผ่านกระแสเสียงปราณ

“ตัวข้าหรือ?” เฉินซีตกตะลึงก่อนจะตอบ “ช่างหัวมารดามันเถอะ”

ต้วนมู่เจ๋อตบไหล่เฉินซีทันที แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ! ต่อจากนี้ไปเราจะร่วมมือกัน ส่วนไฉ่เล่อเทียน… เฮอะ! หากเขาไม่มีบรรพบุรุษที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตสถิตกายาละก็ เขาคงไม่มีโอกาสได้เป็นผู้นำกลุ่มเสียด้วยซ้ำ”

เฉินซีลูบจมูกของเขาอย่างจนปัญญา เมื่อเห็นการกระทำของต้วนมู่เจ๋อ ที่ทำราวกับพวกเขาเป็นสหายเก่ากันมานาน แต่ตัวเขาก็หาได้คัดค้านเช่นกัน

แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดนั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง มียอดเขามากมายที่เต็มไปด้วยภยันตราย ราวกับดาบคมที่ตระหง่านเทียมฟ้าเหนือเมฆา แว่วเสียงของอสูรปีศาจดุร้ายลอยมาให้ได้ยินจากระยะไกล

แนวเทือกเขานี้อยู่ห่างจากเมืองอาบโลหิตประมาณสองพันห้าร้อยลี้ และตั้งอยู่บนพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผืนทะเลทราย เป็นสถานที่ที่ต้องผ่านเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดสิ้นสุดของดินแดนรกร้างใต้พิภพ

ไม่เพียงแต่จำนวนของอสูรปีศาจที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้จะมีมากมายมหาศาล แต่ยังมีจ่าฝูงอสูรปีศาจจำนวนมากที่เดินสัญจรไปมาในส่วนลึกของแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ล้วนได้รับการตักเตือนจากผู้อาวุโสอยู่เสมอว่า พวกเขาจะต้องไม่เข้าใกล้แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดเป็นอันขาด ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเหมือนพื้นที่ต้องห้ามที่เปี่ยมไปด้วยอันตราย

หากเป็นการทดสอบทั่วไป คงไม่มีผู้ใดคิดจะเข้ามาที่นี่อย่างแน่นอน แต่ในวันนี้หาใช่เวลาปกติ ทันใดนั้น ผู้คนมากมายก็ปรากฏขึ้นที่เชิงเขา จากนั้นพวกเขาก็สั่งการด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดังก่อนจะกระโดดขึ้นตามลำดับ ขณะที่พวกเขาก้าวเดินเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา

ความเร็วของพวกเขาอาจกล่าวได้ว่ารวดเร็วนัก แต่คนเหล่านี้ยังคงต้องปะทะกับการโจมตีอันป่าเถื่อนของฝูงอสูรปีศาจ ซึ่งโผล่มาจากแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด ราวกับต้องการปกป้องอาณาเขตของตัวเองในขณะที่พวกมันพุ่งเข้าหาผู้บ่มเพาะเหล่านี้อย่างไม่เกรงกลัว

เสียงร้องโหยหวนและเสียงเห่าหอนดังขึ้นหลายครั้ง จนทั่วแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันน่าสะพรึงชวนหวั่นใจ

คนกลุ่มนั้นหายลับเข้าไปในส่วนลึกของแนวเทือกเขาอย่างรวดเร็ว

“ที่แห่งนี่คือแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด?”

ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มของเฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้นที่เชิงเขาเช่นกัน ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังเทือกเขาขนาดมหึมาที่หาที่เปรียบมิได้ ท่าทางของทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตึงเครียดขึ้นมา

“นี่เป็นอุปสรรคสุดท้ายที่จะมุ่งหน้าไปยังจุดสิ้นสุดของดินแดนรกร้างใต้พิภพ อสูรปีศาจอันร้ายกาจอาศัยอยู่ภายในนี้และมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเราต้องพุ่งทะยานเข้าไปอย่างเต็มที่เท่านั้น”

ไฉ่เล่อเทียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ต้องเร่งความเร็วของพวกเราเพิ่มขึ้น กลุ่มของซูเจียวรุดหน้าไปก่อนเราแล้ว นอกจากนี้ เหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะครบเวลาหนึ่งเดือน เราต้องไปถึงที่นั่นก่อน”

ฟุ่บ!

ทันทีที่เขากล่าวจบ ไฉ่เล่อเทียนก็เป็นคนแรกที่กระโดดเข้าไปในส่วนลึกของแนวเทือกเขา

เมื่อคนอื่น ๆ เห็นดังนั้น ก็รีบติดตามเขาไป ตู้ชิงซีก็ตั้งใจจะพุ่งเข้าไปเช่นกัน แต่จู่ ๆ นางก็สังเกตเห็นเฉินซีกำลังจ้องไปที่จุดนั้นโดยไม่ไหวติง นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เฉินซี เกิดอะไรขึ้น?”

ต้วนมู่เจ๋อก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและตบไหล่ของเฉินซีอย่างเป็นกันเองและกล่าวว่า “พี่เฉิน ได้เวลาไปแล้ว”

ร่างของเฉินซีแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นราวกับเขาเพิ่งตื่นจากความฝัน “ตกลง”

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีประกายแสงแวบผ่านสายตาของเฉินซีไป ขณะที่เขาจ้องมองไปยังแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดที่สูงตระหง่านนั้น