บทที่ 272 ออกเดินทาง

คู่ชะตาบันดาลรัก

วันที่สองนายท่านจี้เดินทางไปที่กั๋วจื่อเจียน จี้จิ่วเชิญเขาไปพบด้วยตนเอง บอกว่าจำนวนคนที่สลับเวรเพียงพอแล้ว และชื่อของตนก็ถูกเพิ่มในรายชื่อผู้เข้าร่วมเทศกาลชิวเลี่ย

นายท่านจี้รู้สึกเวียนหัวปฏิกิริยาแรกไม่ใช่การโดนด่า แต่เป็นความยินดี เขาขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อเขาเดินออกมาเขารู้สึกว่าจี้จิ่วช่างเป็นคนดีเสียจริง!

เมื่อเห็นนายท่านจี้จากไป เสมียนท่านหนึ่งรู้สึกอิจฉาริษยา “ใต้เท้าจี้โชคดีเสียจริงไม่รู้ว่าชนชั้นสูงนั้นต้องการอะไรจากเขาถึงช่วยเขาไปซะทุกอย่าง”

จี้จิ่วหัวเราะ “ใต้เท้าจี้เป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา คนมีความสามารถต้องมีคนมองเห็นอยู่แล้ว”

เขาคิดในใจในเมื่อหวงเฉิงซือเป็นคนทักทายมาจะต้องเป็นคนผู้นั้นแน่ ช่วงนี้มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเขาไม่น้อยว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับหลานสาวตระกูลจี้ แล้วจะทำอะไรได้คงพูดได้แค่ว่าจี้ชูโชคดีจริงๆ

เลิกเรียน นายท่านจี้กลับจวนไปเล่าให้จี้ฮูหยินฟังแต่นางกลับไม่เชื่อ “จำนวนผู้ที่เดินทางร่วมกับฝ่าบาท แต่ละคนมีได้คนละหนึ่งตำแหน่งเท่านั้น ผู้ใดจะไปใจดียกที่ของตัวเองให้ท่านกัน”

นายท่านจี้พูด “จี้จิ่วเองก็พูดเช่นนั้น”

จี้ฮูหยินแค่นหัวเราะ “จิ้งจอกเฒ่านั่นใจดีอะไรขนาดนั้น ท่านมีโอกาสเลื่อนขั้นมากี่ครั้งล้วนทำให้เขากลายเป็นคนมีน้ำใจ ปกติแสร้งทำตัวเป็นคนดีหากไม่ใช่เพราะเขารู้เห็นเป็นใจ คนอื่นจะรังแกท่านได้งั้นหรือ”

พูดจบนางเห็นนายท่านจี้มีสีหน้าไม่พอใจจึงด่าไปว่า “ท่านมันตาเฒ่าหัวแข็ง ไม่ถือเอาคำพูดของภรรยามาคิดจริงจังหรอก!”

นายท่านจี้พูดอย่างรู้สึกผิด “ก่อนหน้านี้ไปไม่ได้ เจ้าก็ด่า ตอนนี้ไปได้แล้วจะด่าอีกทำไม ท่านมีเหตุผลหรือไม่”

จี้ฮูหยินที่เหนื่อยสะสมมาหลายวันถือโอกาสนี้ปลดปล่อย “ที่ไปได้เป็นเพราะความดีความชอบของท่านงั้นหรือ บางทีอาจเป็นขุนนางชั้นสูงทนมองไม่ได้เลยช่วยเหลือท่านเกี่ยวอะไรกับท่านกันล่ะ”

นายท่านจี้เถียงไม่ออกเขาได้แต่ปิดปากเงียบ

หมิงเวยเลิกเรียนกลับมาเลยได้เห็นฉากนี้ ท่านลุงท่านป้าทะเลาะกันในห้องโถงหลัก หากพูดให้ถูกก็คือท่านป้ากำลังด่าท่านลุง พี่ใหญ่กำลังเล่นกับจูเอ๋อร์อยู่ที่ลานบ้านแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พี่สะใภ้อยู่ในครัวกำลังยุ่งกับการทำอาหารเย็น

นางได้ยินไม่กี่คำก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกลับห้องไป

ท่านแม่บอกว่าท่านป้าเป็นคนอารมณ์ร้ายปากจัดนิดหน่อย ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกอย่างนั้น ที่แท้เป็นเพราะนางยังไม่เกิดโทสะ…

แต่ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวตระกูลจี้ก็เตรียมตัวเดินทางไปร่วมงานเทศกาลชิวเลี่ย คนที่มีตำแหน่งไม่สำคัญเช่นนายท่านจี้กับคนที่มีตำแหน่งไม่สูง จำนวนคนที่สามารถพาไปด้วยได้นั้นมีไม่มาก

จี้เสียวอู่ไม่อยู่ นายท่านจี้จึงเลือกพาจี้หลิงและหมิงเวยพร้อมสาวใช้และผู้ติดตามอีกสามคนไปเท่านั้น ตระกูลจี้มีคนแค่นี้จึงไม่ต้องแย่งที่ว่างกัน

เมื่อถึงเทศกาลชิวเลี่ยก่อนขึ้นรถม้าหมิงเวยถูกจี้ฮูหยินย้ำเตือนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เหตุผลของเทศกาลชิวเลี่ยในครั้งนี้ป้าได้ยินมาบ้างแล้ว หลานอย่าไปคลุกคลีกับคนพวกนั้นล่ะ ตำแหน่งพระชายาฟังดูดี แต่ความเสี่ยงนั้นยากที่จะเอ่ยถึง ไม่รู้ว่าคุณหนูชั้นสูงพวกนั้นจะวางอุบายอย่างไรเพื่อชิงตำแหน่งพระชายา พวกเราอย่าไปยุ่งเลย…”

หมิงเวยตอบรับอย่างจริงจัง “เจ้าค่ะ หลานจะเชื่อฟังท่านป้า”

จี้ฮูหยินมองใบหน้าของนางแล้วถอนหายใจ “กลัวก็กลัว รูปลักษณ์ของหลาน ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายแล้วจึงไม่ต้องสู้รบกับพวกนาง แต่พวกนางก็มองหลานเป็นศัตรูอยู่ดี หลานพยายามหลีกเลี่ยงอย่าไปในที่ที่มีคนน้อย และอย่าแยกจากตัวฝูล่ะ”

จากนั้นนางก็ตักเตือนในเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่พักและอื่นๆ ซึ่งหมิงเวยก็ตอบรับทุกอย่าง

ธงโบกสะบัด เสียงม้าร้อง ขบวนคนที่ร่วมงานเทศกาลเดินทางออกจากประตูเมืองอย่างยิ่งใหญ่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ล่าสัตว์ในเขตชานเมืองตะวันตก

เทศกาลชิวเลี่ยในรอบสิบปีครั้งนี้ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ครอบครัวเหล่าผู้บัญชาการทหารเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม แต่ขุนนางฝ่ายพลเรือนเองก็ร่วมเดินทางด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน

ในเรื่องล่าสัตว์พวกเขาอาจเทียบไม่ได้กับขุนนางทหาร แต่ในเวลานี้จะให้พวกเขาเอาแต่แต่งกลอนอย่างเดียวได้อย่างไร พูดอีกอย่างก็คือการขี่ม้ายิงธนูเป็นทักษะของบุรุษ ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นบัณฑิตอ่อนแอเมื่อขึ้นหลังม้าก็สามารถยิงธนูได้ ลงจากม้าก็สามารถเขียนกวีได้นี่สิถึงเรียกว่าบุรุษผู้สง่างาม

แต่บุรุษผู้สง่างามอย่างจี้หลิงกำลังคุยเล่นกับน้องสาวของตนอยู่ในตอนนี้

เขานั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าและคุยกับหมิงเวยผ่านม่าน “คุณหนูชั้นสูงพวกนั้นไปร่วมเทศกาลล่าสัตว์หรือไปเดินเล่นกันแน่ สัมภาระมากมายเพียงนั้นแม้แต่ห้องน้ำก็นำมาด้วยลงจากรถม้ามากางม่านล้อมรอบก็ทำเป็นเรือนได้แล้ว!”

ตัวฝูที่อยู่ในรถพูดขึ้น “คุณชายใหญ่เจ้าคะ โถส้วมพวกเราก็นำมานะเจ้าคะ มันสะดวกมาก!”

“….”

หมิงเวยพูด “พี่ใหญ่จะบอกว่าเทศกาลชิวเลี่ยนำสัมภาระมามากมายขนาดนั้นดูไม่เข้าท่าเท่าไรหรือเจ้าคะ”

“ใช่…”

ถูกตัวฝูพูดขัดเช่นนั้นจี้หลิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีกเขารู้สึกเบื่ออยู่พักหนึ่งก่อนจะถามว่า “น้องหญิงไม่อยากเป็นพระชายาหรือ”

หมิงเวยรู้สึกประหลาดใจ “เหตุใดพี่ใหญ่พูดเช่นนี้ น้องไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายอยู่หรือ การคัดเลือกพระชายาไม่เกี่ยวอะไรกับน้องเลยนะเจ้าคะ”

จี้หลิงรู้สึกคลุมเครืออยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ได้ยินว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงจะใช้โอกาสนี้หาสะใภ้ให้คุณชายหยางเช่นกัน…”

“ใช่เจ้าค่ะ!” นางไม่พูดอะไรต่อ จี้หลิงเลยอดถามกลับไม่ได้ “น้องจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ”

หมิงเวยยิ้ม “จะให้น้องพูดอะไรหรือเจ้าคะ”

นางเป็นเช่นนี้จี้หลิงจึงไปต่อไม่ถูก “น้องไม่ได้อยากออกเรือนกับเสียวอู่จริงๆ ใช่หรือไม่”

หากเป็นคนอื่นหมิงเวยคงตอบแบบขอไปที ตั้งแต่จี้หลิงมารับนางที่ตงหนิง เขาช่วยเหลือนางอย่างจริงใจและดูแลทุกอย่างเป็นอย่างดี

นางคิดแล้วตอบว่า “น้องเห็นพี่ห้าเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ช่วงไม่กี่ปีนี้คงไม่อยากแต่งงานหรอกเจ้าค่ะ”

จี้หลิงไตร่ตรองความหมายที่นางสื่อถึง “น้องเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องถอนหมั้นสินะ”

หมิงเวยหัวเราะ “หากถอนหมั้นท่านลุงท่านป้าคงกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานของพี่ห้า แล้วคงกังวลเรื่องของน้องด้วยจึงคิดว่ายังไม่จำเป็นเจ้าค่ะ”

จี้หลิงเข้าใจแล้ว “น้องไม่อยากออกเรือนจึงคิดว่าเป็นเช่นนี้ยุ่งยากน้อยกว่าใช่หรือไม่”

หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร จี้หลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงระทึกว่า “น้องคงไม่คิดออกบวชใช่หรือไม่”

หมิงเวยประหลาดใจ “เหตุใดพี่ใหญ่ถึงคิดเช่นนั้น”

“เรื่องของน้องก่อนหน้านี้พี่เคยได้ยินมาแล้ว เสวียนหนี่เหนียงเหนียงรับน้องไปหลายปี น้องไม่ต้องการรับใช้นางไปตลอดชีวิตหรือ”

หมิงเวยหุบยิ้ม “พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว น้องไม่อยากออกเรือนเรื่องนี้เองก็ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ”

นางคิดว่าจี้หลิงจะไม่เข้าใจ แต่ตราบใดที่ยังเคารพอยู่ก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่คิดว่าจี้หลิงจะตอบกลับว่า “ก็จริงน้องเข้าใจเคล็ดวิชา สามารถหนีออกจากสังคมได้ ไม่จำเป็นต้องบวชถึงไม่สามารถออกเรือนได้”

หมิงเวยยกนิ้วให้พี่ใหญ่เงียบๆ ในใจ มีบางเหตุผลที่เรียบง่าย แต่การเข้าใจและเคารพชีวิตที่แตกต่างจากตนเองนั้นยาก

ลานล่าสัตว์แถบชานเมืองด้านตะวันตกอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาก็มาถึงที่หมายขบวนรถหยุดลงและตั้งค่ายพักแรม

นายท่านจี้นำกระโจมมาตั้งด้วยความช่วยเหลือของทหาร จากนั้นก็เตรียมจุดเตาทำอาหารบนพื้น

ขั้นตอนทั้งหมดนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของการเดินขบวนทำให้พวกขุนนางใหญ่โตก็บ่นอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่ผู้ติดตามไม่กี่คนที่ตระกูลจี้พามานั้นทำงานเป็น ตัวฝูมีพละกำลังมาก จี้หลิงก็เชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้ หมิงเวยและนายท่านจี้จึงยืนมองอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว

หลังจากตั้งกระโจมเสร็จคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในค่ายมองเห็นธงโบกไปมาในสายลมและกระโจมทอดยาวออกไปหลายลี้ นายท่านจี้ที่ปกติไม่เห็นภาพเช่นนี้ถึงกับบรรยายถึงทัศนียภาพอันงดงาม และอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจด้วยบทกวี

………