ในใจของเยี่ยเฟิงมีเสียงตะโกนว่าให้เขาไปทำความรู้จักอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่าเขาจะหวาดกลัว แต่เขาก็อยากจะรู้จัก

แต่คำพูดของซิ่งเอ๋อร์ทำให้เขาก้าวขาไม่ออก

องค์ชาย……

องค์ชายของรัฐฉู่?

เช่นนั้นนางก็คือ……พระมเหสีของรัฐฉู่?

พระมเหสีฉู่ตำหนิ “ระวังด้วย กำแพงมีหู ประตูมีช่อง”

“พระนาง พระองค์ทรงกังวลพระทัยมากเกินไปแล้วเพคะ ที่นี่ไม่มีใคร เรามาจุดธูปกราบไหว้ที่วัดไป๋อวิ๋นกันทุกปี และไม่เคยเห็นคนเลวเลยแม้แต่คนเดียว อีกอย่างการจัดการของที่นี่ก็เรียบร้อยดี”

“แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็มิอาจพูดจาส่งเดชได้”

“เพคะ ๆ ๆ บ่าวผิดไปแล้ว เพียงแต่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งนางสนมในวังหลังไว้มากมาย แต่นอกจากพระองค์แล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ทรงโปรดปรานนางสนมคนใด พระองค์กับฝ่าบาททรงมีพระโอรสเพียงพระองค์เดียว และฐานะขององค์ชายก็สูงส่ง หากสวรรค์ไม่คุ้มครององค์ชายแล้วจะคุ้มครองใครเล่าเพคะ”

“ข้าขอเพียงให้เขาแข็งแรงและปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว ส่วนเขาจะเป็นองค์ชายผู้สูงส่งของรัฐฉู่หรือไม่นั้น ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย” พระมเหสีฉู่ปักธูปลงในกระถางธูป แล้วถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

เยี่ยเฟิงเอนตัวพิงขอบประตูอย่างอ่อนแรง และน้ำตาก็ไหลลงมาจากหางตาทั้งสองข้าง

สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างฉับพลัน

องค์ชาย……สูงส่งเพียงใด……แต่เขา……

เขาเป็นเพียงของเล่นของผู้นำกองธงกล้วยไม้

อดีตของเขาเต็มไปด้วยความมืดมนและสกปรก เขาไม่คู่ควรเลยจริง ๆ

หากเขาทำความรู้จักกับนาง พวกเขาก็จะมีมลทินไปตลอดชีวิต และจะกลายเป็นที่น่าขบขันของผู้คนทั้งใต้หล้า

เหอะ……ช่างน่าขันยิ่งนัก

เยี่ยมองไปที่พระมเหสีของรัฐฉู่ผ่านรอยแยกของประตูอย่างอาลัยอาวรณ์ นานมากจนไม่อยากจะกลับคืนมา

เขาน้ำตาคลอเบ้า ความเจ็บปวดในใจมากเสียจนทำให้เขาหายใจไม่ออก

สวรรค์รู้ดีว่าเขาอยากจะถลันออกไปทำความรู้จักนาง และบอกนางว่าเขาคือบุตรชายของนาง

เยี่ยเฟิงกลัวว่าหากเขาอยู่ต่อไป เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจึงออกไปจากพระอุโบสถอย่างโซซัดโซเซ และวิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง

ในพระอุโบสถ พระมเหสีฉู่เงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางที่เยี่ยเฟิงจากไปเมื่อครู่ หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นอย่างน่าแปลกใจ

ซิ่งเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไป?”

“ไม่มีอะไร เพียงแต่……จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าคุณชายท่านนั้น รูปลักษณ์หน้าตาของเขาดูคุ้น ๆ”

“เอ๊ะ ท่านกล่าวเช่นนี้ บ่าวก็นึกขึ้นได้ว่าเขากับท่านหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก และยังละม้ายคล้ายคลึงกับฝ่าบาทด้วย”

พระมเหสีฉู่ตัวสั่น “เจ้าพูดจริงหรือ?”

“เจ้าค่ะ……เพียงแต่……ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน บางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่หน้าคล้ายกัน”

ซิ่งเอ๋อร์กลืนคำพูดของนางลงไป

หลายปีที่ผ่านมา เมื่อพระนางเห็นคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพวกเขา นางก็จะคิดว่าเป็นบุตรชายของนาง แต่ทุกครั้งที่คาดหวังก็จะผิดหวัง ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง

นางกลัวว่าพระนางจะผิดหวังอีก จึงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก

พระมเหสีฉู่หัวเราะเยาะตัวเอง

ในโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร

โรคของนางเริ่มกำเริบอีกแล้ว เมื่อเห็นคนที่ละม้ายคล้ายคลึงนิดหน่อย นางก็คิดว่าเป็นหลินเอ๋อร์ของนาง

ในห้องรับรอง

เยี่ยเฟิงเอาผ้าห่อตัวเองไว้ ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เขาปิดปากของตัวเองไว้แน่น และกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมา

กู้ชูหน่วนอยู่ข้าง ๆ เขา และได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่าง นางรู้สึกสงสัย จึงเปิดประตูห้องและกำลังจะไปเคาะประตูห้องของเขาเพื่อไถ่ถาม

นางมองผ่านรอยแยกของประตู

นางเห็นเยี่ยเฟิงยกผ้าห่มขึ้นและนั่งพิงขอบเตียง หยดน้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วร่วงหล่นลงมา ไหล่ของเขาสั่นไหว มือทั้งสองของเขาปิดปากตัวเองไว้แน่น และกัดมือของตัวเองจนเลือดออก

แต่เขาไม่รู้ตัว และฝืนเงยหน้าขึ้น

เขาดูหมดหนทางและหน้าตาน่าสงสาร ราวกับเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง จากนี้ไปในโลกนี้ไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงเขาที่โดดเดี่ยว

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว และนึกถึงเหตุการณ์ที่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาดูถูกเหยียดยามเรื่องของเขา นางคิดว่าเขาร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องนั้น

นางยกมือขึ้นและค่อย ๆ เอามือกลับไป นางรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อไม่สบายเช่นนี้ ความดีใจที่นางได้หญ้านรกมาก็เลือนหายไปจนหมด