ผ่านไปสักพัก เหยาเหยียนอี้จึงได้สติจากถ้อยคำที่น่าตกตะลึงสองสามคำนี้ จากนั้นก็กลืนน้ำลายแรงๆ หนึ่งอึก ภายในใจกำลังคิดว่า หากเหยาเยี่ยนอวี่ช่วยชีวิตองค์ชายหกไว้ไม่ได้ ฮ่องเต้จะพลอยลงโทษตระกูลเหยาด้วยหรือไม่
พอนึกถึงเรื่องนี้ เหยาเหยียนอี้ก็อดก่นด่าเฟิงจงเยี่ยในใจไม่ได้ ไอ้เฒ่านี่บ้าไปแล้วหรือไร เหตุใดถึงส่งผู้เฒ่าคนนั้นไปที่จวนแต่กลับไม่พูดเรื่องอะไรให้ชัดเจน ทำเอาตนเองเสียเวลาไปมากเยี่ยงนั้น! หากเขาพูดออกมาอย่างชัดเจน ตนเองจะได้พาน้องสาวมาที่นี่ให้เร็วกว่านี้ องค์ชายหกอาจมีความหวังมากกว่านี้มิใช่หรือไร
เฮ้อ! คุณชายเหยานึกแบบนี้จึงอดยกมือชกตักของตนเองแรงๆ หนึ่งทีไม่ได้ ใต้เท้าเหยาลอบเปรยว่าเสียใจ กลับไม่รู้ว่าองค์ชายหกได้รับบาดเจ็บมาสิบสองชั่วยามแล้ว เขาที่ถ่วงเวลาสั้นๆ นั้นคงไม่ส่งผลกระทบอะไรหรอก
“เอ๊ะ?” จู่ๆ อัครเสนาบดีเฟิงก็รู้สึกผิดปกติจึงเลิกม่านรถม้ามองไปด้านนอกเพียงพริบตาเดียวแล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง “เหตุใดถึงไม่กลับวังหลวง”
ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านนอกคนหนึ่งจึงก้มหัวตอบกลับ “ใต้เท้าเฟิงขอรับ ดูเหมือนจะออกนอกเมืองขอรับ”
“ถึงขั้นนี้แล้ว!” เฟิงจงเยี่ยเปรยด้วยเสียงหนัก
ต่อให้ประตูเมืองหลวงจะปิดไปแล้ว ฮ่องเต้อยากจะออกนอกเมือง ใครหน้าไหนจะกล้าขัดขวาง แค่ว่าฮ่องเต้ทรงรับสั่งแล้วว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป โดยเฉพาะห้ามให้คนในวังรู้โดยเด็ดขาด ดังนั้นใต้เท้าเหยาทำได้เพียงเป็นโล่กันธนู
ตอนที่ออกประตูเมืองหลวงก็มีทหารรักษาการณ์เดินเข้าแสดงป้ายหยก ผู้เฝ้าประตูเมืองก็เปิดประตูอย่างเชื่อฟัง และยังไม่กล้าเอ่ยถามแม้แต่คำเดียว รถม้าคันใหญ่คันเล็กจึงออกจากเมืองแล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านนาน้อยวัวจวูทันที จากนั้นก็ยังมีทหารรักษาการณ์และองค์ชายสามอวิ๋นหมินที่ขี่ม้าตามมาอย่างเร่งรีบ
ฮ่องเต้และองค์ชายสองท่านต่างถึงบ้านนาน้อยวัวจวูแล้ว และผู้ที่ตามเสด็จยังมีอัครเสนาบดีคนหนึ่ง บ้านนาน้อยนี้ถูกซ่อมแซมตั้งแต่สามสิบปีก่อน หลังๆ มาถึงจะกลายเป็นบ้านนาของคุณหนูเหยา ต่อให้มันกลายเป็นสินเดิมเจ้าสาว ก็ต้องตกกลับไปเป็นของจวนเว่ยอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่มีทางมีหน้ามีตาเท่าคืนนี้
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ทันต้อนรับแขกเหรื่อ หลังจากลงรถม้าก็รีบสั่งแม่บ้านในบ้านนาน้อย “ไปเปิดประตูเรือนหลักแล้วจุดไฟทุกที่ พร้อมกับสั่งห้ามให้ใครหน้าไหนในบ้านนาออกจากประตูเรือนเด็ดขาด”
เหล่าพ่อบ้านจึงขานรับแล้วแยกย้ายกันไปจัดการ คนกลุ่มหนึ่งเปิดประตูแล้วจุดไฟและเตรียมน้ำชา ส่วนอีกกลุ่มก็แยกย้ายกันไปตามเรือนของพวกเกษตรกรที่มาเช่าที่ดินในบ้านนาพลางสั่งให้ทุกคนอย่าออกไปไหนก่อนฟ้ารุ่งสาง
“ไปฝั่งนี้” เหยาเยี่ยนอวี่นำทางแล้วให้จางชางเป่ยอุ้มองค์ชายหกเข้าไปในห้องทดลองของตน ด้านในนี้มีอุปกรณ์ที่คุณหนูเหยาใช้รักษาเมื่อก่อนหน้านี้อย่างครบครัน อีกทั้งยังมีตั่งไม้แคบ โต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่
จางชางเป่ยวางองค์ชายหกไว้บนตั่งไม้ ฮ่องเต้ องค์ชายสาม อัครเสนาบดี และเหยาเหยียนอี้ต่างก็ติดตามเข้ามาด้วย
นี่ไม่ใช่ห้องที่กว้างขวางมาก แต่ละตำแหน่งมีเชิงเทียนอยู่หกจุด เชิงเทียนแต่ละอันมีเทียนเจ็ดเล่ม จึงส่องสว่างไปทั่วห้อง
เหยาเยี่ยนอวี่นำกระบอกเข็มฉีดยาเจาะเลือดของอวิ๋นยิงเพื่อไปตรวจกลุ่มเลือด จากนั้นก็เปลี่ยนกระบอกอีกอันไปเจาะเลือดของอวิ๋นหมิน อวิ๋นหมินค่อนข้างสงสัย ทว่าพอเห็นน้องชายที่นอนอยู่บนเตียงพลางมองสีหน้าที่หม่นหมองของบิดาจึงตัดสินใจเลิกแขนเสื้อขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่เจาะเลือดของทั้งสองคนมาแล้วหันไปทำการทดลองตรงอุปกรณ์ที่ริมหน้าต่าง พอสังเกตเห็นว่าองค์ชายทั้งสองมีกลุ่มเลือดที่ไม่เหมือนกัน ทว่าโชคดีที่อวิ๋นยิงมีกลุ่มเลือดที่เข้ากันได้ทุกกลุ่ม ส่วนของอวิ๋นหมินเป็นกลุ่มเลือด A และก็คือกลุ่มเลือดเจี่ยซึ่งเป็นชื่อกลุ่มเลือดที่นางตั้งขึ้นมาใหม่
ดังนั้นเลือดขององค์ชายสามจึงใช้ได้
หลังจากกลับมา เหยาเยี่ยนอวี่ก็เอาอุปกรณ์ถ่ายเลือดมาหนึ่งชุด หัวของอุปกรณ์เป็นเข็มทั้งสองด้าน ตรงกลางเป็นท่อขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกัน ตรงกลางท่อยังมีอุปกรณ์ควบคุมอยู่หนึ่งอัน
ปลายเข็มฝั่งนี้เจาะเข้าไปในเส้นเลือดของอวิ๋นหมิน ส่วนปลายเข็มอีกด้านเจาะเข้าไปในเส้นเลือดตรงแขนของอวิ๋นยิง หนึ่งคนยืนอยู่ อีกคนนอนอยู่ เลือดแดงสดไหลผ่านอุปกรณ์ถ่ายเลือดเข้าไปในร่างกายของอวิ๋นยิง
“เสร็จแล้ว เริ่มผ่าตัดได้” เหยาเยี่ยนอวี่สั่งการชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจึงรีบกลับเข้าสู่สภาวะจริงจัง
หลังจากใช้เหล้าต้มล้างมือก็เอามีดเล็กปาดผ้าพันแผลบนร่างของอวิ๋นยิงให้ขาดแล้วใช้เข็มเงินฝังเพื่อทำให้ร่างกายชา ท่าทางของสาวใช้เอกทั้งสองคนดูกระฉับกระเฉงและมั่นใจโดยไม่ต้องฟังคำสั่งของนายหญิงเลย
หมอหลวงอาวุโสจางชางเป่ยที่อยู่ข้างๆ เห็นยังรู้สึกตะลึงงัน
และตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ใช้มีดเปิดแผลของอวิ๋นยิงอีกครั้ง อวิ๋นหมินที่ยืนให้เลือดอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกเวียนศีรษะ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะเสียเลือดมาก แต่ทนดูสถานการณ์อาบเลือดนี้ไม่ไหวจริงๆ
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเขาเพียงปราดเดียว “เตี้ยนเซี่ยะสามเพคะ ท่านหลับตาจะดีกว่าเพคะ”
อวิ๋นหมินจึงหลับตาอย่างเชื่อฟัง เลือดที่หลั่งออกมานั้นน่ากลัวเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังเป็นน้องชายของตนเอง
ฮ่องเต้ก็ยังทนดูไม่ได้และก็หันหลังไปแล้ว เหยาเหยียนอี้ยิ่งไม่กล้ามอง ส่วนอัครเสนาบดีเฟิงที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นแม้แต่ไก่ยังไม่เคยฆ่า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เฒ่าคนนี้จึงเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ทันที “ปี้เซี่ยะทรงเหน็ดเหนื่อยมาสองวันแล้ว ด้านนอกได้เตรียมตั่งไม้ไว้ มิเช่นนั้นก็ไปประทับที่นั่งก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะคะ”
“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งสองท่านจึงติดตามออกไปด้านนอก
นี่ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่อะไร อีกทั้งยังโชคดีที่ลูกเหล็กไม่ได้มีพิษ แค่ลูกเหล็กนี้ไปโดนกระเพาะจึงทำให้น้ำย่อยในกระเพาะไหลออกมากัดกร่อนบาดแผล ดังนั้นจึงค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ทว่ายังโชคดีที่คุณหนูเหยาค่อนข้างคุ้นเคยกับเคสการผ่าตัดแบบนี้ นางจึงเย็บบาดแผลและเย็บช่องท้องเสร็จ จากนั้นก็เย็บแผลสองแผลจากลูกเหล็กด้านล่างซี่โครงใหม่อีกครั้ง การรักษาครั้งนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
จากนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ก็มองเครื่องบ่งบอกเวลาที่อยู่ด้านข้างเพียงพริบตาแล้วคำนวณเวลา การถ่ายเลือดก็พอประมาณแล้ว หากถ่ายเลือดต่อ ผู้ที่ให้เลือดคงจะทนไม่ไหวแน่นอน
ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงดึงเข็มออกจากแขนขององค์ชายสามแล้วเอาสำลีก้อนให้องค์ชายสามกดตรงแผลตนเองไว้พร้อมมองเลือดที่อยู่ในท่อค่อยๆ ไหลเข้าไปในร่างกายของอวิ๋นยิง แล้วจึงดึงเข็มตรงแขนของเขาออก จากนั้นก็เอาสำลีก้อนให้ชุ่ยผิงกดไว้
ส่วนงานหลังผ่าตัดเสร็จเป็นหน้าที่ของชุ่ยผิง คุณหนูเหยาถอนหายใจลากยาวแล้วยื่นมือไปจับชีพจรขององค์ชายหก จึงรับรู้ถึงอาการชีพจรของเขานั้นดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ คุณหนูเหยากระตุกมุมปากยิ้มจางๆ
จางชางเป่ยเห็นจึงรีบยื่นมือไปวางบนมืออีกข้างของอวิ๋นยิง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ พร้อมเปรยขึ้น “อัศจรรย์จริงๆ! ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก!”
อวิ๋นหมินเอ่ยถามด้วยความรื่นเริง “หมอหลวงจาง น้องหกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“อาการดีขึ้นมาก! ดีขึ้นมากจริงๆ!” จางชางเป่ยตื่นเต้นดีใจจนกลั้นไว้ไม่อยู่ การรักษาครั้งนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่แตกต่างจากครั้งที่แล้วที่รักษาองค์ชายต่างแดน ขจัดพิษโดยการผ่าตัดขูดกระดูกมีบันทึกไว้ในตำราโอสถโบราณ ทว่าการถ่ายเลือดนี้กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน!
“คุณหนูเหยา ท่านนึกถึงการรักษาอาการแสนสาหัสโดยการถ่ายเลือดเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่างอุปกรณ์นี้ที่ท่านสร้าง…” จางชางเป่ยยกอุปกรณ์ถ่ายเลือดที่เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนทำขึ้นพร้อมเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ท่านคิดอันนี้ออกมาได้อย่างไร อุปกรณ์นี้ใช้งานได้ดีเยี่ยงนี้ ช่างน่าภูมิใจนัก!”
“หมอหลวงจางเอ่ยชมเกินจริงแล้ว นี่เป็นเพียงความคิดแปลกๆ ที่ข้านึกได้อย่างฉับพลันเท่านั้น ครั้งที่แล้วตอนรักษาแผลให้องค์ชายท่านนั้น ข้าก็กลัวว่าเขาจะเสียเลือดมากจนอันตรายต่อชีวิต ทว่าโชคดีที่ตำราการรมยาแบบไท่อี่ได้บันทึกเกี่ยวกับการฝังเข็มหยุดเลือดเลยทำให้ผู้ป่วยที่กำลังรับการผ่าตัดไม่เสียเลือดมาก แต่ข้าคิดว่าหากอาการเป็นเหมือนองค์ชายหกก็คงเป็นเรื่องยากที่จะรักษา”