บทที่ 228-1 ค่าบำเหน็จ (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 228-1 ค่าบำเหน็จ (1)

เว่ยเยวียนอยู่ในแวดวงราชการมาหลายสิบปีแล้ว บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็สามารถแยกแยะได้อย่างดีเยี่ยม

แม้จักรพรรดิหยวนจิ่งจะเหลือบมองเมื่อเขาเข้ามา และถึงแม้ตอนนี้ขุนนางได้เก็บงำสายตาแล้วก็ตาม แต่เว่ยเยวียนรู้ดี ว่าการประชุมเล็กๆ ในราชสำนักนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง

การไหว้วสันต์เพิ่งสิ้นสุดลง อีกไม่กี่วันผลการตรวจสอบราชสำนักก็จะออกแล้ว ช่วงเวลานี้ กรมปกครองได้ส่งการตรวจสอบรายชื่อของแต่ละแห่งกลับมา รอก็แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งแก้ไข

และผลการตรวจสอบภายในเมืองหลวง ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้ากรมปกครอง เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว

รูปแบบของการตรวจสอบรายชื่อฉบับนี้ รวมถึงกระบวนการท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้งนี้มาพร้อมกับอะไร บรรดาองค์ชายที่อยู่ในห้องหรือจักรพรรดิหยวนจิ่งต่างรู้อยู่แก่ใจ ไม่น่าสิ้นสุดและเริ่มใหม่ในเวลานี้อย่างแน่นอน

ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของการตรวจสอบข้าราชสำนัก ยังจะมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับตนเองอีก?

เว่ยเยวียนเกิดความคิดขึ้นมา ในสมองปรากฏสองคำขึ้นมา อวิ๋นโจว!

‘จดหมายด่วนมาจากอวิ๋นโจว…ดูท่าว่าอวิ๋นโจวจะมีกบฏจริง ด้วยความสามารถของเจียงลวี่จงและหยางเยี่ยน ความพยายามและการทำนายล่วงหน้าของจางสิงอิง อวิ๋นโจวอาจเกิดความวุ่นวาย’ …เว่ยเยวียนจมอยู่ในความคิด

หลังจากที่รอต่อไปอีกชั่วก้านธูป พวกขุนนางใหญ่ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมเล็กทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสายจนครบแล้ว

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองลงไปยังกลุ่มขุนนางที่อยู่ในห้องโถง ก่อนเอ่ย “เช้านี้ มีจดหมายด่วนและคดีความที่มาจากอวิ๋นโจว ได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว การร่วมมือกันของสำนักพ่อมด การสนับสนุนโจรภูเขา และผู้ที่ลักลอบเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ ก็คือซ่งฉางฝู่ สมุหเทศาภิบาลของอวิ๋นโจว”

ราวกับระเบิดร่วงตกลงมา พวกขุนนางเอะอะเสียงดังด้วยเกิดความประหลาดใจ จากนั้นก็เป็นเสียงของความโกรธเคือง และเสียงพูดคุยที่ยากจะควบคุม

แต่ยังมีอีกกลุ่มที่ดูไม่แปลกประหลาดใจเลย อย่างเช่นพรรคหวาง

เอกสารเร่งด่วนต้องผ่านมือสำนักเลขาธิการใหญ่ก่อน โดยสำนักเลขาธิการใหญ่จะส่งต่อให้กรมการขนส่ง ผ่านความเข้าใจและพิจารณาของกรมการปกครองที่รับคำสั่งขององค์จักรพรรดิ

เป็นที่ทำการปกครองพิเศษเพื่อรวมการป้องกันในการตรวจสอบจดหมายทางการของกษัตริย์ รายงานคำพูดและความคิดของศักดินาที่เป็นจริงอย่างรอบทิศ รวมทั้งยื่นร้องเรียนเรื่องภัยพิบัติและสถานการณ์ทางทหารเข้าไว้ด้วยกัน

สำนักเลขาธิการเป็นเขตควบคุมของสมุหราชเลขาธิการหวาง แน่นอนว่าสำนักเลขาธิการไม่มีอำนาจเปิดจดหมายด่วนเป็นการส่วนตัว แต่หลังจากที่จักรพรรดิได้อ่านแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือนำเนื้อหาในจดหมายรายงานให้แก่สำนักเลขาธิการก่อน จากนั้นจึงจัดประชุม

ดังนั้นพรรคหวางจึงเป็นคนแรกที่ได้ข้อมูลมาอยู่ในมือ

“เงียบ!”

คนสนิทที่อยู่ช้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งต้องเอ่ยเสียงดังอยู่หลายครั้ง ถึงทำให้พวกขุนนางเงียบสงบลงได้

“ขุนนางทั้งหลายโปรดฟังก่อน” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัส

ขันทีชั้นผู้ใหญ่ผมหงอกที่สวมชุดหมังเผา[1]เหลือบมองขันทีที่อยู่มุมห้อง พลางพยักหน้าเล็กน้อย

ขันทีเดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เปิดจดหมายออก อ่านออกเสียงดัง

“ข้าน้อยจางสิงอิง ขอคารวะฝ่าบาท

คดีที่อวิ๋นโจวถูกปิดเมื่อวันที่ยี่สิบสี่มกราคม กบฏซ่งฉางฟู่ หยางโหย่ว และเฉินหมิง…รวมทั้งสามสิบสี่คน ถูกประหารชีวิตทั้งหมด”

รายชื่อที่เอ่ยออกมา ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสี่ทั้งสิ้น

“ตอนนี้อวิ๋นโจวได้กลับมาในความปกครอง และคดีใหญ่ได้ปิดตัวลงแล้ว เป็นเพราะความรู้ของราชสำนักที่มีเกียรติ และบุญคุณอันใหญ่หลวงของฝ่าบาท

ฆ้องทองคำเจียงลวี่จง ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเหล่าขุนนาง อย่างสุขุมรอบคอบและมีความระมัดระวัง…

“ฆ้องทองคำหยางเยี่ยน ได้เสี่ยงตายเพื่อนำทัพเข้าโจมตีกลุ่มกบฏ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก กลุ่มกบฏล้มเหลวในการเผา ฆ่า และปล้นสะดม พร้อมทั้งวางยาพิษชาวอวิ๋นโจว ถือว่าเป็นคุณงามความดีอย่างใหญ่หลวง…

“ฆ้องเงินจ้าวปิง ทังซานหู หลี่อวิ้น ทั้งสามเพื่อปกป้องข้าน้อย ได้ตายตกเพราะเงื้อมมือพ่อมดแห่งความฝัน ตายไปไม่มีความเสียใจ หัวใจที่จงรักภักดี จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยเสียใจอย่างสุดซึ้ง…

“ฆ้องทองแดงซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว ในการสืบสวนคดีนี้ได้มีส่วนช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ช่วยเหลือสวี่ชีอันในการหาหลักฐาน และเพื่อปกป้องหลักฐาน แม้แต่เลือดเนื้อก็ไม่เสียดาย…ในการสังหารกบฏ ได้เอาตัวเองออกนำหน้าดิ้นรนสุดชีวิต ไม่กลัวตาย รับใช้ชาติด้วยหัวใจช่างน่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก…”

ตั้งแต่ฆ้องทองคำไปจนถึงฆ้องทองแดง ผู้ตรวจการจางได้เขียนวีรกรรมของแต่ละคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ช่างเอาใจใส่ยิ่งนัก

เว่ยเยวียนที่ฟังอยู่เงียบๆ แม้กระทั่งเมื่อเขาได้ยินว่าฆ้องเงินทั้งสามเสียชีวิตในหน้าที่ ขุนนางระดับสูงท่านนี้ก็ไม่ปรากฏความสุขและโกรธบนใบหน้าเลย มักจะทำหน้านิ่งและไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อยู่เสมอ

“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอัน ในอยู่ระหว่างทางลงใต้ การสอบสวนคดีลักลอบขนแร่เหล็ก ตารางก่อนหน้านี้ได้จัดทำขึ้นไม่ขอลงรายละเอียด แต่ตอนที่อยู่อวิ๋นโจว สวี่ชีอันใช้แรง คลี่คลายเบาะแสทุกอย่างเพียงคนเดียว จนสามารถหาหลักฐานออกมาได้…เป็นเขาอีกเช่นกันที่ตรวจพบแผนการสมรู้ร่วมคิดของซ่งฉางฝู่จนสามารถพลิกคดี ข้าไม่ได้โทษความจงรักภักดี

หลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซ่งฉางฝู่สุนัขจนตรอก ระดมพลกบฏปิดประตูเมือง และปิดล้อมลอบสังหารข้าน้อยที่ที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาล ข้าน้อยอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง สวี่ชีอันได้ต่อสู้กับผู้ก่อกบฏหลายร้อย ตัดศีรษะไปมากกว่าสองร้อยคนด้วยกระบี่เล่มเดียว สุดท้ายหมดแรงและเสียชีวิตในที่สุด

“ข้าน้อยขอบังอาจ ขอพระราชทานฐานันดรและตำแหน่งมรณกรรม

“ข้าน้อยอยู่ในอวิ๋นโจว หวังว่าจะได้พบกับพระองค์โดยเร็ว จางสิงอิงขอโค้งคำนับอีกครั้ง”

เมื่ออ่านจบ ขันทีได้รวบรวมสมุดเล่มยาว และถอยกลับออกไป

จักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองกลุ่มขุนนางที่กระซิบกระซาบกันและสร้างโกลาหลไม่หยุด สุดท้ายสายตาก็ไปตกที่เว่ยเยวียน

ท่านนี้เป็นขุนนางในตำนาน รู้จักกันในนามขุนนางผู้มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในรอบห้าร้อยปีของต้าฟ่ง ท่านนี้ชนะการรบที่ด่านซานไห่ เข้าพิชิตแม่ทัพฝ่ายซ้ายห้ากองทัพที่อยู่ในเมืองต่างๆ รอบข้างด้วยกำลัง ท่านนี้ที่เป็นผู้สั่งการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไป่กวนตรวจสอบ เว่ยอี้ผู้โด่งดัง…

ตอนนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเหม่อลอยในที่ประชุม

“สิ่งที่จางอิงสิงได้รายงานทั้งหมด พวกขุนนางคิดเห็นว่าอย่างไรเล่า” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสถาม “เว่ยเยวียน เว่ยเยวียน เว่ยเยวียน…”

ตะโกนสามครั้งติด สุรเสียงทวีความดังขึ้นทุกครั้ง

เว่ยเยวียนสะดุ้ง เหมือนจะตกใจ จากนั้นถึงจะสามารถตอบสนอง พลางเอ่ยว่า ‘ห๊ะ?’ เบาๆ

จักรพรรดิหยวนจิ่งมุมปากกระตุก “ขุนนางเว่ยดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี จางสิงอิงเค้นคอฆ่ากบฏอวิ๋นโจวในเปล ถือว่าเป็นความดีความชอบของเจ้า หรือว่าขุนนางเว่ยไม่ดีใจ?”

เว่ยเยวียนไม่ตอบ

ขุนนางใกล้ชิดกรมพิธีการ ที่อยู่ด้านซ้ายก้าวออกมาตำหนิ “เว่ยเยวียน ฝ่าบาทถามเจ้าอยู่นะ”

เว่ยเยวียนยังคงไม่ตอบ

“ช่างเถอะ!” จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ยังอารมณ์ดีอยู่โบกมือ หารือเรื่องดังกล่าวกับเหล่าขุนนางเกี่ยวกับการให้บำเหน็จตามความชอบแก่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

ครั้นมาถึงสวี่ชีอัน เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับตำแหน่งมรณกรรม และมีขุนนางเป็นส่วนน้อยที่เห็นด้วยกับตำแหน่งนี้ ส่วนใหญ่ต่างแสดงความไม่เห็นด้วย

ความจริงก็ไม่ถือว่าไม่เหมาะสม ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งทางการ แต่เป็น ‘รางวัล’ สำหรับบุคคลที่มีผลงาน เป็นวิธีที่ราชสำนักจะสามารถเอาชนะใจคนได้

สถานการณ์เช่นนี้ของสวี่ชีอัน จัดอยู่ในการมอบตำแหน่งหลังความตาย เป็นเพียงเกียรติหลังจากถึงแก่กรรมเท่านั้น

แต่สวี่ชีอันเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน การงัดข้อกับเว่ยเยวียนถือเป็นความสามารถที่มีเกียรติของเหล่าขุนนาง อีกอย่างสวี่ชีอันมีศัตรูมากเกินไป ตั้งแต่คดีภาษีเงินไปจนถึงคดีซังผอ และจากคดีท่านหญิงผิงหยางถึงคดีอวิ๋นโจว

เป็นเพราะเขา ทำให้รองเจ้ากรมกรมการคลังจากพรรคหวางหมดอำนาจ พรรคเหลียงถูกละทิ้ง เจ้ากรมพิธีการจากพรรคหวางหมดอำนาจ เจ้ากรมกรมโยธาจากพรรคฉีถูกลงโทษเก้าชั่วโคตร…

คนที่เกลียดเขามีนับไม่ถ้วน แม้แต่เกียรติหลังความตายก็ไม่เต็มใจที่จะมอบให้เขา

ศาลต้าหลี่จากพรรคฉีและรองเจ้ากรมกรมพิธีการต่างก็เป็นคนของพรรคฉี จึงมีความกระตือรือร้นที่สุด มักจะแสดงความคิดเห็นของตนเองและชี้ให้เห็นจุดด้อย สรุปเป็นคำเดียวคือ

สวี่ชีอันไม่คู่ควร

ศาลต้าหลี่แม้จะเป็นของพรรคฉี แต่เจ้ากรมกรมโยธาที่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด ไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าศาลต้าหลี่ก็สมรู้ร่วมคิดด้วย เขาก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้

ดังคำกล่าวว่า เป็นแค่พันธมิตรทางการเมือง ไม่ใช่ญาติ

รองเจ้ากรมกรมพิธีการเป็นคนของพรรคหวาง หัวหน้าพ่ายแพ้ให้กับสวี่ชีอันในคดีซังผอ สิ่งที่เกลียดที่สุดคือเจ้ากรมพิธีการคนใหม่คือคนของเว่ยเยวียน

ท่าทางของกลุ่มขุนนางทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งลังเลเล็กน้อย จากมุมมองของเขา การตายในหน้าที่ของฆ้องทองแดงที่มักจะขัดตาอยู่เสมอนั้น แน่นอนว่าไม่เพียงพอที่จะทำให้โอรสสวรรค์ผู้สง่างามปีติยินดีเท่าใดนัก แต่บอกตามตรงว่าค่อนข้างพึงพอใจ

เหมือนกับการวิ่งไล่แมลงวันที่บินหึ่งๆ

แต่ว่าการมอบตำแหน่งให้ จักรพรรดิหยวนจิ่งมีความเห็นด้วย เนื่องจากสวี่ชีอันได้สร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ ฐานันดรศักดิ์สามารถแบ่งปูนบำเหน็จความดีความชอบและการลงโทษของเขาได้อย่างชัดเจน

…………………………….

[1] หมังเผา คือ เสื้อยศมังกรของขุนนาง