ภาคที่ 2 ตอนที่ 128 เจรจากับราชินีหิมะ

มรรคาสู่สวรรค์

จิ๋งจิ่วรับเอาไว้ เขามองดูสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนชิ้นหยกที่อยู่ในมือ รับรู้ได้ถึงพลังอันเก่าแก่และโบราณสายหนึ่งแผ่ออกมาจากด้านในของมัน สีหน้างุนงงเล็กน้อย

ตอนที่ลั่วไหวหนานจากไป เขาที่อยู่บนหน้าผาด้านล่างพายุหิมะรับรู้ได้ถึงพลังสายนี้ ทราบว่าน่าจะเป็นของวิเศษที่มีระดับพลังวิญญาณสูงมากบางอย่าง

ที่แท้ก็เป็นตราประทับหมื่นลี้

ของวิเศษที่มีระดับพลังวิญญาณสูงปานนี้ แม้แต่ในสำนักชิงซานก็ยังพบเห็นได้น้อยมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักจงโจวจะเอามันให้บุตรสาวของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาให้นางทั้งหมดด้วย

จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าวว่า “หากลั่วไหวหนานรู้ เขาคงไม่มีทางลงมือกับเจ้า”

“ถูกต้อง เขายังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ซื่อสัตย์จริงใจ จิตใจกว้างขวาง รักใคร่เอ็นดูข้าคนนั้น”

ไป๋เจ่ากล่าวอย่างเรียบเฉย “เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าท่านพ่อให้ข้าอันหนึ่ง ท่านแม่เองก็ให้ข้าอันหนึ่ง”

หนึ่งในตราประทับหมื่นลี้ เดิมเป็นสิ่งที่พ่อของนางเตรียมเอาไว้ให้ลั่วไหวหนาน

ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าด้านหน้าอันตรายอย่างมาก นางก็ยังมา

นางคิดถึงคำพูดที่พูดกับลั่วไหวหนาน

ตอนนั้นที่นางบอกว่ามีคนเกินมาคนหนึ่ง นางหมายถึงจิ๋งจิ่ว

ตราประทับหมื่นลี้สองชิ้นไม่สามารถพาคนสามคนออกไปได้

ตอนนั้นนางได้เตรียมใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนจิ๋งจิ่วแล้ว

แต่ลั่วไหวหนานกลับเข้าใจว่านางหมายความว่าพวกเรามีกันสองคน แต่ตราประทับหมื่นลี้กลับมีแค่อันเดียว

หากเขาขยับความคิดช้ากว่านั้นอีกหน่อย แม้นจะช้าเพียงแค่อึดใจเดียว เขาก็คงได้ยินคำพูดทั้งหมดของไป๋เจ่าและเข้าใจความหมายของนาง เช่นนั้นก็จะไม่มีเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น

ก็เหมือนกับที่ไป๋เจ่าว่ามา เขาคงจะยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักจงโจวที่ได้รับความรักและการชื่นชมอยู่

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ บนใบหน้าไป๋เจ่าได้เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงตอนนี้ นางยังคงรู้สึกว่ามันช่างน่าขันสิ้นดี

จิ๋งจิ่วไม่ทราบว่านางกำลังคิดอะไร เขาเพียงแต่รู้สึกสงสัยว่าเหตุใดนางต้องเอาตราประทับหมื่นลี้ออกมา หรือนางไม่กลัวว่าตนเองจะขโมยไป?

“เจ้าใช้ตราประทับอันนี้หนีไปเถอะ”

ไป๋เจ่ากล่าว “อย่างไรเสียจินตันข้าก็แตกเสียหายแล้ว ไม่สามารถใช้มันได้”

เวลานี้จิ๋งจิ่วถึงได้เข้าใจความหมายของนาง

ท่าทีที่ผู้บำเพ็ญพรตมีต่อความเป็นความตายจะมีความรุนแรงมากกว่าคนธรรมดา

ยิ่งมีชีวิตอยู่นานก็ยิ่งกลัวตาย นี่คือคำพูดที่กล่าวต่อๆ กันมาและเป็นความจริง

ตราประทับหมื่นลี้หมายถึงโอกาสที่จะมีชีวิตรอด แต่นางกลับส่งให้เขาง่ายๆ แบบนี้

เขานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ตายหรอก เจ้ารักษาตัวเองก่อน”

ไป๋เจ่าคล้ายมิได้ยินคำพูดของเขา นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “หลังเจ้าออกไปแล้ว บอกพ่อแม่ข้าว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น ให้พวกเขาสังหารลั่วไหวหนานซะ”

จิ๋งจิ่วคิดในใจว่านี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องบอก อย่างไรเสียตัวเองก็จะทำเรื่องนี้อยู่แล้ว

ไป๋เจ่าพลันกล่าวขึ้นมา “ทำไมพ่อแม่ข้าถึงไม่มาช่วยข้า?”

เจ้าสำนักและฮูหยินของสำนักจงโจวเป็นยอดคนแห่งโลก สภาวะสูงส่งสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สถานที่แห่งนี้เย็นยะเยือกจนน่าประหลาด แต่มันจะหยุดยั้งพวกเขาได้อย่างไร?

จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “พวกเขาย่อมต้องมีเหตุผลที่ไม่สามารถปรากฏตัวได้”

นี่มิใช่การปลอบนาง แล้วก็มิใช่การแก้ต่างให้สองสามีภรรยาของสำนักจงโจวคู่นั้น หากแต่เขาเหมือนจะคาดเดาได้แล้วว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด

ไป๋เจ่ารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย กล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญพรตจำเป็นต้องไร้ความรู้สึกจริงๆ หรือ?”

“เจ้าเองก็ไม่ตายหรอก ดังนั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้”

จิ๋งจิ่วกล่าวจบประโยคนี้ก็เอาดาบเหล็กที่ลุกไหม้ปักลงไปบนพื้นตรงหน้าศพหนอนหิมะ จากนั้นลุกขึ้นปัดเอาหินที่ปิดอยู่ตรงปากถ้ำออก แล้วเดินไปริมผา

เขามองไปยังส่วนหนึ่งของพายุหิมะ

ห่างออกไปแสนกว่าลี้

อีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างมาก น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนหรือกระทั่งแผ่นดินทั้งหมด

หากใช้สภาวะของสำนักชิงซานมาแบ่ง อีกฝ่ายน่าจะข้ามขั้นทะลวงสวรรค์ บรรลุสู่ขั้นซ่อนพิภพไปแล้ว

อย่าว่าแต่สองสามีภรรยาของสำนักจงโจวเลย ต่อให้เป็นสหายต่างแดนของเขาผู้นั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ได้

หากเปลี่ยนเป็นตัวเองในอดีต ในช่วงเวลาขณะที่บรรลุกลายเป็นเซียนก็น่าจะทำได้เพียงเสมอกับอีกฝ่าย

ส่วนตัวเขาในตอนนี้ ในสายตาของอีกฝ่ายก็เป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น

หากเขาขี่กระบี่ออกไป อีกฝ่ายจะต้องตื่นตกใจอย่างแน่นอน

หากอีกฝ่ายไม่สนใจเขาก็แล้วไป แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกเขายั่วโมโหขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?

หากนี่เป็นกับดักของศิษย์พี่ เขาก็จำเป็นต้องยอมรับว่ามันยอดเยี่ยมอย่างมาก

เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหาร กล่อมเขาให้มาเข้าร่วมงานประลองวิถีพรต

นี่ล้วนแต่เป็นแผนการที่เขาคิดคำนวณเอาไว้

ขอเพียงจิ๋งจิ่วเข้าร่วมการประลองวิถีพรต ยังไงก็ต้องได้พบกับสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของพายุหิมะแน่นอน อาจจะเป็นตัวจริง หรืออาจจะเป็นจิต

เพราะแม้นว่าตัวเขาในตอนนี้จะเป็นเพียงมดปลวก แต่บนโลกก็มีเพียงมดปลวกอย่างเขาที่เคยบินได้สูงกว่าสิ่งนั้น

ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่รู้ถึงความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงการบำเพ็ญเพียรในชีวิตใหม่ของเขา หากแต่ยังใช้ประโยชน์จากนิสัยของเจ้าล่าเยวี่ย กระทั่งสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของพายุหิมะนั้นก็ยังถูกนำเข้ามาอยู่ในกับดักนี้ด้วย

กับดักเช่นนี้ ควรค่าแก่การชื่นชม

ทำอย่างไรจึงจะทำลายกับดักได้?

จิ๋งจิ่วส่งเจตน์กระบี่สายหนึ่งไปยังส่วนลึกของพายุหิมะ

นี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก

แต่นอกจากการเจรจาแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่ายังทำอะไรได้อีก

มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่มีสิทธิ์เจรจากับสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของพายุหิมะนั้น ต่อให้เป็นเทพดาบที่อยู่ในเมืองไป๋เฉิงก็ไม่มีสิทธิ์

จิ๋งจิ่วเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบสนองกลับมา

ยังคงเป็นประโยคนั้น

ตอนนี้เขาเป็นเพียงมดปลวก แต่เขาเคยบินมาก่อน อีกทั้งยังบินได้สูงกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล

ทันใดนั้นเอง แรงกดดันที่ยากจะบรรยายได้สายหนึ่งได้พุ่งตรงมาจากทางทิศเหนืออันห่างไกล

พายุหิมะโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นมาทันที

ไม่มีสายฟ้า แต่ในฟ้าดินกลับคล้ายมีเสียงฟ้าคำรามจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา

สีหน้าของจิ๋งจิ่วแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างมาก

……

……

นอกเมืองไป๋เฉิงคือที่ราบหิมะ

ทั่วทุกที่บนท้องฟ้าที่อยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะล้วนแต่เต็มไปล้วนเมฆดำทะมึน สามารถมองเห็นเกล็ดหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาได้อย่างชัดเจน ตกลงไปในหมอกอันหนาทึบราวปุยฝ้าย ก่อนจะสลายหายไป

พลังที่แข็งแกร่งอย่างมากสองสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทิศตะวันออกและทิศใต้

ชั้นเมฆเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นรูปร่างต่างๆ ลมกระโชกรุนแรง รถม้าบินที่กำลังลงจอดเหล่านั้นส่ายไหวไปมา เหล่าสาวกที่กำลังคุกเข่าอยู่บนทางขึ้นเขาขรุขระมิกล้าเงยหน้า สีหน้าหวาดกลัว สวดภาวนาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

แสงสีขาวนวลจำนวนนับไม่ถ้วนแลบมาจากในก้อนเมฆทางฝั่งตะวันออก ให้ความรู้สึกเลิศล้ำและอบอุ่น

แต่ในชั้นเมฆทางทิศใต้กลับมีฝนตกลงมา ฝนอันหนาวเย็นตกลงมาบนพื้นแล้วจับตัวเป็นน้ำแข็ง ภาพที่เกิดขึ้นดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

เจ้าสำนักจงโจวและหยวนฉีจิงมาแล้ว

นักพรตขั้นทะลวงสวรรค์สองคนออกเดินทาง ฟ้าดินเปลี่ยนสี ในส่วนลึกของที่ราบหิมะคล้ายเกิดการตอบสนอง มีเสียงคำรามราวกับสายฟ้าฟาดดังขึ้นมา

ทันใดนั้น ปราณดาบที่แข็งกร้าวเป็นอย่างมากสายหนึ่งพลันพุ่งจากเมืองไป๋เฉิงขึ้นมาบนท้องฟ้า ทอดตัวยาวไปบนท้องฟ้าเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดเอาไว้

ความหมายของเทพดาบชัดเจน ในเวลานี้ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปในที่ราบหิมะทั้งหมด ถึงแม้นจะเป็นเจ้าสำนักจงโจวและหยวนฉีจิงก็ตาม!

……

……

กั้วตงนั่งอยู่บนธรณีประตูหน้าวัด มองดูปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า

เวลานี้สภาวะของนางธรรมดา แต่สายตากลับยังดีเยี่ยม นางรู้ว่านอกจากเจ้าสำนักจงโจวและหยวนฉีจิงแล้ว ยังมีคนอื่นที่มาอีก

ลมที่มีกลิ่นเค็มเล็กน้อยพัดมาจากด้านหลังภูเขา

เทพกระบี่ซีไหลน่าจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างไกลเท่าไร

ดอกบัวของฉานจึเองก็น่าจะอยู่ไม่ไกล

เหล่ายอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นบนโลกเป็นเวลาหลายสิบปีกลับมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้

การเปลี่ยนแปลงในแคว้นเสวี่ยนั้นเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ

เจ้าสำนักจงโจวและหยวนฉีจิงอยากจะเข้าไปในที่ราบหิมะ นอกจากตรวจสอบดูสถานการณ์แล้ว ก็ย่อมเป็นเพราะไป๋เจ่าและจิ๋งจิ่วด้วย

ก่อนหน้านี้สองชั่วยาม ลั่วไหวหนานใช้ตราประทับหมื่นลี้หนีออกมาจากที่ราบหิมะได้สำเร็จ กลับไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง

แต่ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังมิทันได้กล่าวอะไรก็เป็นลมสลบไป

เสียงที่ดูจริงใจและเศร้าสร้อยเสียงนั้นดังขึ้นที่ด้านหลังกั้วตง

“ตอนนี้นางอ่อนไหวเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีทางที่นางจะเป็นฝ่ายโจมตีก่อน แต่ถ้าหากคนอย่างพวกเจ้าเข้าไป นางอาจจะมองเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง และจะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารพวกเจ้า โลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะไม่อาจแบกรับความเสียหายเช่นนี้ได้”

ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นอธิบายให้นางฟัง หรือว่าอธิบายให้ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้นฟัง

พลังอันแข็งแกร่งสองสายที่อยู่บนท้องฟ้าสงบลง เนื่องเพราะเชื่อในการวิเคราะห์ของคนผู้นั้น

ในเวลาหลายร้อยปีมานี้ คนเดียวที่เคยประมือกับสิ่งที่อยู่จุดสูงสุดของแคว้นเสวี่ยก็คือคนผู้นั้น

…………………………………………….