ตอนที่ 156 คุณค่าของซูจุ้ยเตี๋ย

ชายาเคียงหทัย

ภายในห้องมีแต่ความเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงม่อซิวเหยาหยิบตัวหมากที่กระจัดกระจายอยู่กลับวางขึ้นบนกระดานอีกครั้งเท่านั้น จนเมื่อหานหมิงเย่ว์คิดว่าเขาจะไม่ตอบคำถามของตนแล้ว ถึงได้ยินเสียงเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”

 

 

หานหมิงเย่ว์ทำได้เพียงระบายยิ้ม จริงสิ เช่นนั้นแล้วอย่างไร ต่อให้คนทุกชนชั้นบนแผ่นดินจะต้องวุ่นวายกันไปหมด แล้วเกี่ยวอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องของเขา ที่สำคัญกว่านั้น ด้วยเพราะยามนี้อิทธิพลในต้าฉู่ของเทียนอี้เก๋อนั้นลดน้อยลงไปจนแทบจะไม่เหลือ จึงทำให้ผลกระทบที่ต้าฉู่จะได้รับก็ย่อมน้อยที่สุดไปด้วย ส่วนตำหนักติ้งอ๋องยังสามารถใช้โอกาสนี้ในการสอดแทรกคนของตนเข้าไปได้อีกด้วย

 

 

หานหมิงเย่ว์ยกมือขึ้นเท้าศีรษะ นิ่งคิดอยู่พักใหญ่ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองอดีตสหายรักของตน “ข้าจะได้ประโยชน์อันใดบ้าง”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ “ข้าให้เจ้าได้มีชีวิตต่อไป ยังไม่ถือว่าได้ประโยชน์อีกหรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์ถึงกับพูดไม่ออก เขามักคิดว่าม่อซิวเหยาไม่มีทางฆ่าตน แต่กลับลืมไปว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่เหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาเลือกที่จะทรยศม่อซิวเหยา

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยา หานหมิงเย่ว์ถึงได้เข้าใจขึ้นมาในบัดดลว่า…หากตนไม่รับปากแล้ว ม่อซิวเหยาจะไม่มีทางยั้งมือกับเขาอีก เขาจึงทำได้เพียงยักไหล่ “ดูเหมือนข้าจะไม่เหลือทางเลือกอื่นเสียแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยามองกระดานหมากรุกตรงหน้าด้วยสายตาราบเรียบ

 

 

หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะจัดการอย่างไรกับซูจุ้ยเตี๋ย”

 

 

ในที่สุดสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยาก็เปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาที่โผล่พ้นหน้ากากมาเขียนคำว่ารังเกียจเอาไว้อย่างชัดเจน “นั่นเป็นเรื่องของอาหลี ข้าไม่สนใจที่จะรู้” คำพูดของเขา คือการบอกว่าได้ยกเรื่องความเป็นความตายของซูจุ้ยเตี๋ยให้เยี่ยหลีทั้งหมดแล้ว

 

 

“เจ้าไม่สนใจซูจุ้ยเตี๋ยแม้แต่น้อยเลยจริงๆ หรือ” หานหมิงเย่ว์จ้องหน้าเขาพร้อมเอ่ยถามเสียงขรึม

 

 

ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตามีประกายส่อเสียด “หากข้าสนใจนางจริง เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่จนถึงยามนี้หรือ” ด้วยเพราะเขามิได้รักใคร่อันใดซูจุ้ยเตี๋ย ดังนั้นยามที่ซูจุ้ยเตี๋ยและหานหมิงเย่ว์หนีไป เขาถึงได้ปล่อยให้พวกเขาไป และถึงขั้นช่วยจัดงานศพให้พวกเขาอีกด้วย แต่ไม่คิดว่าที่ซูจุ้ยเตี๋ยหนีไปกับหานหมิงเย่ว์นั้น ก็เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อไม่ให้เขานึกโกรธขึ้นมาเท่านั้น หลังจากไปจากเมืองหลวงของต้าฉู่แล้ว ซูจุ้ยเตี๋ยทอดทิ้งหานหมิงเย่ว์ไปยังซีหลิงอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็กลายไปเป็นบุตรสาวของตระกูลไป๋แห่งซีหลิง และกุ้ยเฟยแห่งซีหลิง ตั้งแต่ต้นจนจบ หานหมิงเย่ว์ก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกนางหลอกใช้เท่านั้นเอง

 

 

หานหมิงเย่ว์มองม่อซิวเหยาด้วยความอิจฉา ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “บางคราข้าก็นึกอิจฉาเจ้าจริงๆ จะว่าไปพวกเราก็รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ ข้าหลงรักซูจุ้ยเตี๋ยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้า แต่สายตาของนางกลับมองตามแต่เจ้า ส่วนเจ้า…ว่ากันตามตรง ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นเจ้าสนใจผู้ใดหรือสิ่งใดมาก่อนเลย นอกจากตำหนักติ้งอ๋องกับเสด็จพ่อและพี่ใหญ่ของเจ้า”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เจ้ากำลังต่อว่าข้าว่าเมื่อก่อนข้าปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีพอ จนทำให้พวกเจ้าต้องหักหลังข้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

การที่เขาเอ่ยคำว่าหักหลังสองคำนี้ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้สีหน้าหานหมิงเย่ว์เปลี่ยนไปเล็กน้อย หักหลังคนที่ตนเคยคิดว่าเป็นสหายและพี่น้องที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นความรู้สึกผิดและเป็นบาปในใจที่เขามิอาจหาสิ่งใดมาเทียบได้ไปตลอดกาล

 

 

เขาส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ คุณชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋อง…งามสง่าและไร้กฎเกณฑ์ จริงใจและทุ่มเทให้กับคนที่เป็นสหาย ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความถูกต้อง เพียงแต่…ซิวเหยา เจ้ารู้หรือไม่ ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้ามิได้รักซูจุ้ยเตี๋ย” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ไม่รู้หานหมิงเย่ว์นึกอันใดขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

 

 

เมื่อเห็นสายตาของม่อซิวเหยาที่มองมา หานหมิงเย่ว์ก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “เจ้าดีกับซูจุ้ยเตี๋ยมาก ไม่ว่ามีของดีอันใดก็มักนำมาให้นาง นางอย่างได้อันใดขอเพียงสมเหตุสมผล เจ้าก็จะต้องทำให้นางจนสำเร็จ ต่างกับคุณชายตระกูลอื่นๆ เจ้าไม่เคยหว่านเสน่ห์ และไม่เคยชายตามองหญิงอื่น อย่างหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงนั่น เพียงแต่…เจ้าก็ไม่เคยมองซูจุ้ยเตี๋ยจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง สตรีที่งดงามหยาดเยิ้มเช่นนั้น ในสายตาของเจ้านางไม่ต่างอันใดกับสตรีทั่วไปในโลกนี้เลย ในยามที่ข้า เฟิ่งซาน และพวกเราอยู่ในช่วงอายุที่ต้องต่อสู้กับความรักความรู้สึกในใจ เจ้ากลับไม่เคยต้องอยู่ในวังวนนี ประหนึ่งเจ้ามิได้อยู่ในโลกนี้กระนั้น ในยามนั้น ข้าเริ่มคิดว่า…บางทีข้าอาจไม่ได้ไม่มีโอกาสเอาเสียเลย”

 

 

ม่อซิวเหยานึกย้อนกลับไปเมื่อสมัยเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกที่ยังคึกคะนอง สีหน้าเขามีแววแห่งความคิดถึง “บางทีอาจเป็นเพราะข้ายังไม่เจอคนผู้นั้น…หากยามนั้นเจ้าบอกข้าตรงๆ และซูจุ้ยเตี๋ยก็เห็นด้วย ข้าก็จะตามใจพวกเจ้า”

 

 

เมื่อนึกย้อนไปถึงวันวาน ม่อซิวเหยาก็ต้องยอมรับว่า ที่หานหมิงเย่ว์พูดนั้นเป็นความจริง ที่หานหมิงเย่ว์คิดชอบพอคู่หมั้นของเขาอย่างออกหน้าออกตานั้น พูดตามตรง เขาไม่เคยนึกโกรธ ขอเพียงไม่ใช่อาหลีของเขา ขอเพียงอีกฝ่ายก็เห็นด้วย เขาก็ไม่คิดว่าการทำให้คนคู่หนึ่งที่มีใจรักใคร่กันได้สมปราถนาเป็นเรื่องที่เสียหน้า แต่แน่นอนว่า หานหมิงเย่ว์กับซูจุ้ยเตี๋ยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยเพราะคนที่ซูจุ้ยเตี๋ยต้องการไม่เคยใช่หานหมิงเย่ว์ บางทีเขาอาจดูเป็นคนไร้หัวใจ แต่นั่นก็ด้วยเพราะเขายังไม่เคยพบคนผู้นั้นเท่านั้นเอง

 

 

“แต่…ข้ากลับลืมไปว่า…ต่อให้ไม่ใช่เจ้า ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นข้า” ในน้ำเสียงของหานหมิงเย่ว์มีแววเจ็บปวดและสับสน ในยามที่เขาพาสตรีที่เข้าเฝ้าใฝ่ฝันถึงมาหลายปีออกไปจากเมืองหลวงด้วยทั้งความรู้สึกผิดและยินดีนั้น เขาถึงได้รู้ว่าการหักหลังสหายรักนั่นมิใช่ช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเขา แต่เป็นในยามที่เขารู้ทั้งรู้ว่าสตรีที่ตนเฝ้าใฝ่ฝันหามิใช่อย่างที่ตนวาดฝันไว้ แต่ตนเองกลับยังถลำลึกลงไปอย่างไม่อาจถอนตัวขึ้นนั่นเอง “ข้าอิจฉาเจ้ายิ่งนัก…ซิวเหยา ไว้ชีวิตจุ้ยเตี๋ยเถิด ข้าขอร้อง…”

 

 

“คุณชายหานคิดจะใช้สิ่งใดมาแลกกับชีวิตซูจุ้ยเตี๋ยหรือ” น้ำเสียงของเยี่ยหลีกังวานใสรื่นหู ดังขึ้นเรื่อยๆ มาจากหน้าประตู

 

 

ม่อซิวเหยาวางหมากในมือลง ลุกขึ้นเดินไปจูงมือเยี่ยหลีมาจากหน้าประตู ก้มหน้าลงเอ่ยถามว่า “มีเวลามาที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เหลือบมองหานหมิงเย่ว์แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าในสายตาของเจิ้นหนานอ๋องแล้ว คุณชายหานดูจะมีค่าเสียยิ่งกว่ายอดหญิงงามแห่งใต้หล้าเสียอีก”

 

 

หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่น “พระชายาล้อเล่นแล้ว พระชายาเองก็รู้ดีมิใช่หรือ ว่าข้าไม่มีทางหนีไป”

 

 

เยี่ยหลีผินหน้าไปมองหานหมิงเย่ว์พร้อมถอนใจ “เอ่ยถามโลกนี้ว่าความรักคืออันใด… หากมิใช่สถานการณ์ในยามนี้ค่อนข้างพิเศษ ข้าก็คงไม่อยากทำให้คุณชายหมิงเย่ว์ต้องลำบาก”

 

 

หานหมิงเย่ว์หลุบตาลงไม่เอ่ยอันใด นี่เขาตกต่ำถึงขั้นต้องให้ผู้อื่นมาสงสารแล้วหรือ

 

 

“พระชายาต้องการให้ข้าน้อยนำสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนหรือ เมื่อครู่ข้าเพิ่งตกลงกับท่านอ๋องไปเรื่องหนึ่ง ยามนี้ข้าไม่เหลืออันใดแล้วนอกจากร่างกายเพียงอย่างเดียว” หานหมิงเย่ว์ผายมือออก มองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยยิ้มๆ

 

 

เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้ม “ที่พูดเช่นนี้…ตัวคุณชายหานเองเชื่อหรือ กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีโพรงถึงสามโพรง คุณชายหานเป็นคนฉลาด จะนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีทุ่มให้กับเทียนอี้เก๋อเพียงที่เดียวได้อย่างไร”

 

 

หานหมิงเย่ว์หุบยิ้มลงเล็กน้อย มองลึกไปเยี่ยหลีที่ระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยทอดถอนใจว่า “ซิวเหยาได้แต่งงานกับพระชายา ช่างมีวาสนายิ่งนัก”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ขอบคุณในคำชมของท่าน”

 

 

หานหมิงเย่ว์ไม่รู้จะพูดอันใด หยิบเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่งจากหน้าอกออกมาโยนให้นาง “ในเมื่อพระชายารู้ดีเช่นนี้ เช่นนั้นสิ่งนี้…เชื่อว่าท่านคงรู้ว่าควรใช้มันเช่นไร?”

 

 

เยี่ยหลีดูจะพอใจกับเครื่องประดับหยกในมือตนเป็นอย่างมาก ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “คุณชายหานช่างใจกว้างยิ่งนัก ในเมื่อคุณชายหานทำเช่นนี้ ข้าเองก็มิใช่คนใจแคบ ไว้รอให้เมืองซิ่นหยางหลุดจากการถูกปิดล้อมไปได้ก่อน คุณชายนำตัวคุณหนูซูไปได้เลย”

 

 

เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว เยี่ยหลีก็ไม่เรียกซูจุ้ยเตี๋ยว่าไป๋กุ้ยเฟยกับหานหมิงเย่ว์ทุกคำอีกต่อไป

 

 

หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น “เหตุใดถึงมิใช่ตอนนี้”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้มอย่างเมตตาและใสซื่อ “ข้าทำก็เพราะคิดถึงคุณชายหาน แน่นอนว่าหากคุณชายหานใจร้อนอยากรีบไปข้าก็จะไม่ขวางท่านไว้”

 

 

หานหมิงเย่ว์นิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้ประสานมือคารวะเยี่ยหลี “เช่นนั้นคงต้องรบกวนพระชายาแล้ว”

 

 

เมื่อออกมาจากเรือนของหานหมิงเย่ว์ ทั้งสองเดินจับจูงมือกัน ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมองมือข้างหนึ่งของเยี่ยหลีที่จับเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นเล่นอยู่ ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “เหตุใดอาหลีถึงได้ปล่อยหานหมิงเย่ว์กับซูจุ้ยเตี๋ยหรือ”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป เลิกคิ้วเอ่ยว่า “มิใช่ว่าท่านอ๋องมิได้คิดอยากเอาชีวิตพวกเขาหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “ชีวิตของพวกเขามีค่าอันใดได้ อยากเอาหรือไม่อยากเอาชีวิตพวกเขาก็เป็นเพียงคำพูดเท่านั้นเอง”

 

 

เยี่ยหลีนึกทอดถอนใจ เอาเถิด เป็นนางเองที่เข้าใจผิด คิดว่าม่อซิวเหยามิอาจทำใจเอาชีวิตหานหมิงเย่ว์กับซูจุ้ยเตี๋ยได้ แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก ใช้ชีวิตด้วยกันมานานเพียงนี้แล้ว เหตุใดนางถึงได้คิดว่าม่อซิวเหยาเป็นคนอ่อนแอตัดสินใจไม่เด็ดขาดไปได้นะ เอาเข้าจริง…ตัวนางคงได้รับอิทธิพลจากซูจุ้ยเตี๋ยเข้าแล้วกระมัง

 

 

“เห็นแก่หมิงซี ไว้ชีวิตหานหมิงเย่ว์ไว้จะดีกว่า ในเมื่อไว้ชีวิตหานหมิงเย่ว์แล้ว ก็มิอาจไม่ไว้ชีวิตซูจุ้ยเตี๋ยได้ มิเช่นนั้น เกรงว่าหานหมิงเย่ว์คงได้เปลี่ยนพวกมากลายเป็นศัตรูคู่แค้นเสียแล้ว ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นอาวุธที่ใช้ควบคุมหานหมิงเย่ว์ได้ดีที่สุด” เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “อีกย่าง พวกเราก็ได้สิ่งตอบแทนที่คุ้มค่ามาแล้ว ของพวกนี้เพียงพอที่จะซื้อชีวิตของหานหมิงเย่ว์และซูจุ้ยเตี๋ยได้มิใช่หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มองเครื่องประดับหยกในมือนางแล้วเอ่ยด้วยความใคร่รู้ว่า “ของดีอันใดที่ทำให้อาหลียินดีเช่นนี้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นี่ท่านไม่อยากรู้หรือว่าหลายปีมานี้ เงินของเทียนอี้เก๋อหายไปที่ใดหมด หานหมิงเย่ว์ได้ชื่อว่ารักเงินยิ่งชีพเชียวนะ เงินในมือเขาจะมีน้อยๆ หรือ แต่ในยามนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหานหรือสำนักเทียนอี้เก๋อในต้าฉู่ที่พวกเรากวาดล้างไป กลับมีเงินอยู่ไม่มากนักทั้งนั้นมิใช่หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเหลือบมองหยกชิ้นนั้นด้วยความประหลาดใจ “สมบัติของหานหมิงเย่ว?”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่เพียงเงินเท่านั้น แต่ยังมีพืชพันธุ์ ผ้าพับ อาวุธ เครื่องยา…หานหมิงเย่ว์อย่างไรก็ไม่เสียแรงที่เป็นหานหมิงเย่ว์ เรื่องหาเงินแล้วเขายังเก่งกว่าหมิงซีอยู่มากทีเดียว น่าเสียดายก็เพียง…สมองเขามักทำงานผิดปกติบ้างเป็นครั้งคราว”

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เยี่ยหลีก็อดนึกเสียใจแทนเขาเล็กน้อยไม่ได้ ในใต้หล้านี้ คนที่นางเคยพบรวมถึงเหลิ่งเฮ่าอวี่และตระกูลต่างๆ อย่างตระกูลเฟิ่ง ยังไม่มีผู้ใดมีวิธีหาเงินที่เก่งกาจอย่างหานหมิงเย่ว์เลย ยามที่นางได้อ่านสิ่งที่เว่ยลิ่นสืบพบมานั้น นางอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หากหานหมิงเย่ว์มิได้ทุ่มเทเพื่อซูจุ้ยเตี๋ย นางก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมงานกับเขาสักครั้ง ยามนี้ในเมื่อร่วมงานกันไม่ได้ เช่นนั้นนางก็นั่งรอเก็บผลประโยชน์จากเขาก็แล้วกัน

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “หานหมิงเย่ว์คิดอยากใช้โอกาสที่ทุกที่เกิดสงครามในการหาเงินหรือ” สิ่งที่ทำให้อาหลีรู้สึกใจเต้นได้ ก็พอนึกภาพออกว่าหานหมิงเย่ว์สะสมข้าวของไว้มากมายเพียงใด

 

 

“ภายใต้ความวุ่นวาย คนที่มีสายตาที่เฉียบแหลม ย่อมไม่มีทางไม่ร่ำรวย” เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะ

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ในเมื่ออาหลีพูดเช่นนี้ ไว้ชีวิตพวกเขาก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ เจ้าให้คนระวังซูจุ้ยเตี๋ยไว้หน่อยก็จะดี”

 

 

เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาด้วยความแปลกใจ

 

 

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้ารู้ว่าอาหลีคิดว่าซูจุ้ยเตี๋ยมิได้ดีความสามารถอันใดใช่หรือไม่ อันที่จริง…หากไม่มีซูจุ้ยเตี๋ย หานหมิงเย่ว์จะไม่อันตรายถึงเพียงนี้ อาหลีเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะให้คนคอยระวังซูจุ้ยเตี๋ยไว้” นางมักมองข้ามซูจุ้ยเตี๋ยไปทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจอย่างที่เขาว่าจริง แต่ที่ม่อซิวเหยาพูดนั้นก็ไม่ผิด หากซูจุ้ยเตี๋ยไม่มีความสามารถเลยแม้แต่น้อย จะสามารถจูงจมูกหานหมิงเย่ว์มาได้หลายปีเช่นนี้ได้อย่างไร