ชุมชนเล็ก ๆ ที่ด้านล่างเขาดูไม่ต่างจากเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ พ่อค้าแม่ค้าสองข้างถนนไม่กวักมือเรียกลูกค้า บ้างก็กำลังต่อรองราคากับลูกค้าอยู่ตรงนั้น เด็กซนสองสามคนวิ่งเล่นกันอยู่บนถนน มีเสียงดุด่าตามมาบ้างเป็นบางครั้งทว่าพวกเขากลับไม่กลัวแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังมิวายทำหน้าผีและวิ่งหนีไปไกลอย่างสนุกสนาน
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ แต่ทันทีที่พวกกู่ฟู่กุ้ยย่างกรายมา ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนไปเต็ม ๆ
พวกเขาประหลาดใจเล็กน้อย ทว่านอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
จ้าวซื่อไห่มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ปากก็พูดพึมพำ “จะไม่มีการดักซุ่มโจมตีได้ยังไง… ไม่แน่อาจมีคนกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมาฟันเราทิ้งบนถนนใหญ่ตรงนั้นก็ได้”
กู่ฟู่กุ้ยด่ากลับ “เจ้าโง่! ใช้สมองของเจ้าหน่อยเถอะ! ถ้าหากว่าอยากซุ่มฆ่าคน เจ้าคิดว่าทำบนถนนใหญ่หรือในห้องจะสะดวกกว่ากัน ?!”
จ้าวซื่อไห่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยแต่ไม่กล้าหือกับหัวหน้าใหญ่
จนกระทั่งมาถึงตึกเซียงเจียงก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ
ตรงทางเข้าตึกเซียงเจียง ชายในชุดทหารยืนอยู่ข้างประตู เขาเห็นพวกกู่ฟู่กุ้ยก็รีบเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่เย่อหยิ่ง “พวกท่านคือหัวหน้ากู่กับแม่นางเจียงใช่หรือไม่ ?”
จ้าวซื่อไห่พึมพำ “เหอะ! แบบนี้แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่คนทรยศอีกรึ แม้แต่พวกเราเป็นใครก็ยังรู้อย่างชัดเจน”
กู่ฟู่กุ้ยไม่สนใจจ้าวซื่อไห่ เขาเลือกที่จะพยักหน้าให้กับนายทหารคนนั้น “ใช่”
นายทหารผายมือเชื้อเชิญและพาทุกคนไปยังบันได “นายท่านของข้ากำลังรอพวกท่านอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นบน เชิญ ๆ ๆ”
ตอนที่กำลังจะขึ้นบันได สายตาของนายทหารจับจ้องไปที่ซูรุ่ยเอ๋อร์กับเจียงป่าวชิง สุดท้ายก็หยุดที่เจียงป่าวชิงแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “นายท่านของข้าบอกว่าช่วงนี้อากาศค่อนข้างชื้น บันไดมันจะลื่นเล็กน้อย เขาบอกให้แม่นางเจียงระวังหน่อย”
ทันใดนั้น สายตาทุกคนพลันจับจ้องเจียงป่าวชิงเป็นตาเดียว นางเลิกคิ้วขึ้น สีหน้ายังคงราบเรียบท่ามกลางสายตาที่หลากหลายของทุกคน “นี่กำลังดูถูกข้า คิดว่าข้าเซ่อซ่าอย่างนั้นรึ ?”
“เอ่อ…” นายทหารอ้ำอึ้ง เขาคิดว่านายท่านของเขาคงไม่ได้หมายความเช่นนี้
ในห้องส่วนตัวชั้นบน กงจี้ผู้มีความสามารถในการฟังเป็นเลิศมองหลิวหมิงอันที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าราบเรียบ สายตาของเขาเย็นชามาก
แม้กงจี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่หลิวหมิงอันไม่สามารถต้านทานสายตาประณามของกงจี้ได้ เขารีบโบกมือไปมาด้วยสีหน้าขมขื่นและพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เฮ้ ๆ ๆ ไม่ผิดที่ข้าสอนความคิดนี้ให้กับเจ้า
แต่แม่นางเจียง… ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ”
แรกเริ่มหลิวหมิงอันอดคิดไม่ได้ว่ากงจี้มีความชอบอะไรต่อคนคนนี้เป็นพิเศษนักหนากัน แต่ต่อมาถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มดูดีไร้ที่ติที่เขาได้พบในวันนั้นคือคนที่เขาเคยเห็นหน้าแล้วเมื่อสามปีก่อน ที่น่าตลกคือดันเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่บ้านอยู่ติดกับบ้านชนบทของกงจี้ และนางก็คือผู้ที่รักษาขาให้กงจี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ หลิวหมิงอันจึงกระดากอายที่จะต่อว่าหมู่บ้านฟู่กุ้ยว่าเป็นพวกทำเลวนานาประเภทต่อหน้ากงจี้ เพราะถึงอย่างไรผู้มีพระคุณที่ช่วยรักษาขาของอีกฝ่ายก็อยู่ในหมู่บ้านฟู่กุ้ย หากเขาต่อว่าไป เช่นนั้นก็จะเป็นการไม่ไว้หน้ากงจี้
ไม่เพียงเท่านี้ หลิวหมิงอันยังกระตือรือร้นอยากสอนกงจี้เกี่ยวกับวิธี “จีบหญิงสาว” อีกด้วย
กงจี้ทำสีหน้าประมาณว่า “เจ้าเป็นคนโง่รึ” หลังจากที่ฟังหลิวหมิงอันคุยโวโอ้อวดเสร็จ สุดท้าย หลิวหมิงอันตบขาและคุยโม้ว่าสามารถรับประกันความสำเร็จได้ ถ้าไม่สำเร็จเขาจะถือศีรษะตัวเองมาเจอกงจี้
กงจี้ได้ฟัง เขาจึงสั่งนายทหารด้วยสีหน้าเย็นชาตามที่หลิวหมิงอันบอก
แต่ทว่า…
เขาครุ่นคิดอย่างเย็นชาว่าทำไมเขาต้องเชื่อคำแนะนำของชายแก่ที่โสดมาตลอดยี่สิบปีด้วย
…
พวกกู่ฟู่กุ้ยเดินตามนายทหารขึ้นไปยังชั้นบนด้วยสีหน้าซับซ้อน
ขณะที่เขาเดินผ่านทางเดิน จ้าวซื่อไห่มองไปยังห้องส่วนตัวห้องอื่น ๆ และพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าคิดว่ามีการซุ่มโจมตีอยู่ทุกหนทุกแห่ง”
“ไม่มีการซุ่มโจมตีใด ๆ ทั้งนั้น ทุกท่านสบายใจได้เลย” เสียงชายผู้หนึ่งดังออกมาจากห้องส่วนตัวด้านในสุด
สิ้นเสียงนี้ ประตูห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดเปิดออก หลิวหมิงอันยืนอยู่ตรงทางเข้าพร้อมส่งยิ้มให้กับทุกคน แผลเป็นบนใบหน้าด้านซ้ายของเขาแผ่ขยายไปครึ่งหน้า ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูน่ากลัวเล็กน้อยจากรอยแผลเป็นนั้น
กู่ฟู่กุ้ยที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเช่นกันเกือบจะรู้สึกดวงสมพงศ์กับหลิวหมิงอันตั้งแต่แรกเห็น เขามองเจียงป่าวชิงพลางเอ่ยถาม “นี่คือคนที่เจ้ารู้จักรึ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าและส่ายหน้าในคราวเดียวกัน “เขาเป็นพี่ชายของมู่จิ้งอี๋”
มุมปากซูรุ่ยเอ๋อร์กระตุกเล็กน้อย นางสังเกตหลิวหมิงอันอย่างละเอียดพลางส่ายหน้าเบา ๆ และพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ฮืมมม… ไม่หล่อเหลาเท่าพี่อี๋ น้ำเสียงก็ไม่ได้ไพเราะเท่าพี่อี๋เช่นกัน”
หลิวหมิงอันงุนงงพลันคิดในใจ ‘ข้าไม่หล่อเหมือนน้องชายที่โง่เขลาคนนั้น งั้นข้าต้องขอโทษต่อสีหน้าเสียดายของเจ้าจริง ๆ สาวน้อย’
แน่นอนว่าหลิวหมิงอันไม่ได้พูดออกไป เขาเลือกที่จะหมุนตัว ทำสัญญาณมือเป็นการเชิญแทน “ข้าว่าเราเข้าไปคุยในห้องกันดีกว่า”
เจียงป่าวชิงมองเข้าไปในห้องส่วนตัวและเห็นชายเสื้อรำไร แต่มองไม่เห็นเงาของกงจี้ นางพูดพึมพำในใจและเดินตามพวกกู่ฟู่กุ้ยเข้าไปในห้องโดยไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
จ้าวซื่อไห่ทำหน้าขมึงทึง มือจับมีดตรงเอวอย่างไม่รู้ตัว
ตอนที่ประตูห้องส่วนตัวปิดลงไล่หลังพวกเขา จ้าวซื่อไห่ชักมีดออกมาราวกับเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกาย
กงจี้เดินออกมาจากห้องด้านใน กวาดตามองจ้าวซื่อไห่ที่ในมือถือมีดด้วยสายตาเยือกเย็น
ไม่รู้ว่าจ้าวซื่อไห่เจตนาหรือเปล่าถึงได้จ่อปลายมีดไปใกล้เจียงป่าวชิงขนาดนั้น
กู่ฟู่กุ้ยชักเริ่มเหลืออด เขาตวาดขึ้นเสียงดัง “เหล่าจ้าว!”
จ้าวซื่อไห่ตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองลืมตัว พลันรีบเก็บมีดเข้าปลอกมีดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หลิวหมิงอันพูดขึ้น “ทุกท่านอย่าได้ประหม่า เชิญนั่งก่อน เชิญนั่งก่อน…”
หลังจากที่กู่ฟู่กุ้ยถลึงตาใส่จ้าวซื่อไห่แล้ว เขาดึงเก้าอี้มานั่งลงอย่างไม่ยี่หระแต่สายตากวาดมองสังเกตกงจี้กับหลิวหมิงอันด้วยสายตาราบเรียบ ทว่ายิ่งสังเกตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องตกใจมากเท่านั้น
เขาเองก็ถือว่าเป็นคนมากอายุที่เห็นคนมานับไม่ถ้วน สองคนนี้ ดูจากท่านั่งของพวกเขาก็รู้แล้วว่าพวกเขาแตกต่างจากคนที่โตมาในทุ่งหญ้าแบบตัวเขาเอง ดูเหมือนพวกเขาเป็นคุณชายที่ออกมาจากตระกูลมีชื่อเสียง แต่ถึงอย่างไร หากดูจากท่าทางของพวกเขาทั้งสองแล้วก็รู้สึกได้ราง ๆ ว่ามันดูฉลาด สง่า และเด็ดเดี่ยวเหมือนกับทหารที่เข่นฆ่าโรมรันอยู่ในสนามรบมานับไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น
ดูเหมือนว่าการมาเจรจาต่อรองในครั้งนี้จะต้องรอบคอบสักหน่อยแล้ว
ถึงแม้ว่ากงจี้จะออกมาแล้วแต่เขากลับเงียบมาตลอด สายตาคมจับจ้องไปที่เจียงป่าวชิงกับจิ้นเทียนหยู่ เมื่อเห็นจิ้นเทียนหยู่มีท่าทางเหมือนกำลังตั้งใจปกป้องเจียงป่าวชิง สีหน้ากงจี้ยิ่งเย็นชามากกว่าเดิม
หลิวหมิงอันรู้ว่าคุณชายคงไม่สบายใจในขณะนี้ เขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจึงกระแอมไอและพูดขึ้นอย่างเป็นทางการ “เอาล่ะ ที่ทางเราที่เชิญทุกท่านมาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องประสงค์จะเจรจาหารือ ทุกท่านคงจะทราบดีแล้ว”
เขาชะงักไปเล็กน้อย “น้องชายข้ากับเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเขาถูกพวกชายชาตรีลักพาตัวขึ้นไปบนภูเขาเมื่อวันก่อน ในวันนี้ หลัก ๆ เราจะมาตกลงกันว่าพวกเจ้าจะปล่อยพวกเขาหรือจะฝังศพคนทั้งหมู่บ้าน ?”
ท่าทางของหลิวหมิงอันตอนที่พูดนั้นสง่างามไร้ที่ติอย่างมาก แต่ความหมายในคำพูดกลับไม่ได้สุภาพมากนัก
จิ้นเทียนหยู่วางมีดกับปลอกมีดลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนที่น้ำเสียงหนักแน่นจะดังขึ้นมา “ตอนนี้คนของพวกเจ้าอยู่ในกำมือเรา จะฆ่าหรือยังไงก็ขึ้นอยู่กับเรา เพียงพวกข้ามาถึงครู่เดียว พวกเจ้ากลับพูดว่าจะฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน ที่ว่าต้องการเจรจากันดี ๆ นั้นแน่ใจแล้วรึ ?!”
.
.
.