บทที่ 275 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (5)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 275 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (5)

สำนักมารกำเนิด

ลิ่วซานจื่อจัดเสื้อผ้า และตรวจสอบสิ่งของในห่อสัมภาระที่พกติดตัว

“เสี่ยวเซิ่งบอกว่าจะปิดด่าน ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน แถมยังไม่ได้บอกว่าจะกลับมาตอนไหน รอเขาออกด่านกลับมา เจ้าให้เขาไปงานชุมนุมย่อย ดูว่าจะเข้าร่วมทันหรือไม่”

เหอเซียงจื่อกับศิษย์ในสำนักอีกสองคนรีบขานรับ

เหอเซียงจื่อในตอนนี้มีบารมีในสำนักสูงมาก ถึงแม้พลังไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าอิงอิงสตรีกางร่ม หรือว่าศิษย์คนใหม่ที่เข้าร่วมในภายหลัง ต่างแข็งแกร่งกว่านาง

ทว่าเหอเซียงจื่อใจดีและมีความอดทน ไม่ว่าเป็นเรื่องใด ถ้ามีคนมาหานาง ก็จะทำอย่างเต็มที่ หากช่วยได้ก็จะช่วยสุดอย่างกำลัง

เวลาผ่านไปนานขึ้น ทุกคนก็นับถือนางเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ชื่อเสียงสมคำล่ำรือ

เทียบกับศิษย์พี่ลู่ผู้นำที่ลึกลับและช่วงนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน ชื่อเสียงกับบารมีของเหอเซียงจื่อสูงกว่าเขามาก

“นอกจากนั้นตอนนี้คนในสำนักเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ปราณมารในบึงมารเหมือนลดลงไปบ้าง ข้าได้ให้พวกศิษย์พี่ของพวกเจ้าทดลองขยับขยายบึงมารแห่งใหม่อย่างเป็นการลับแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องร้อนใจ…” ลิ่วซานจื่อเริ่มกำชับเรื่องการดูแลสำนักกับเหอเซียงจื่อ ลู่เซิ่งพึ่งไม่ได้ ดูเหมือนด้านการดูแลยังต้องพึ่งพาเหอเซียงจื่อ

แต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นเลยว่า ใต้เสาศิลาใกล้ๆ พวกเขา รอยแตกมากมายได้กระจายจนเต็มฐานเสาศิลามานานแล้ว และในรอยแตกก็มีเมฆสีขาวเทาก้อนหนากำลังกระจายตัวอยู่

เสียงร้องฮือๆ ที่แปลกประหลาดน่าพิศวงสะท้อนอยู่กลางเมฆ เหมือนกับกำลังกัดร่อนรอยแตกมากกว่าเดิมอยู่

แกร๊ก

รอยแตกบนเสาศิลาใหญ่กว่าเดิมแล้ว

ถ้ำหมื่นโพรง

แสงไฟที่กำลังเต้นระริกย้อมถ้ำขนาดมหึมาเป็นสีเหลืองอ่อนผืนใหญ่

หินย้อยสีเหลืองงอกจนเต็มยอดถ้ำเหมือนกับพุ่มหญ้า หินงอกเหล่านี้ดูเหมือนทั้งหนามแหลมและป่าศิลา แต่ก็เหมือนน้ำแข็งย้อยมากกว่า

บนหนังหินรอบๆ เต็มไปด้วยหินที่นูนเว้าหยาบกระด้าง เหมือนกับโคลนที่ถูกปั้นออกมาอย่างไม่ใส่ใจโดยใช้กรวดหินทาผสมลงไป

หวงฟู่ทารกโลหิตเดินอย่างเชื่องช้าบนสะพานแขวนที่อยู่ก้นถ้ำ ด้านล่างสะพานแขวนเป็นเหวลึกสีดำสนิท ที่มองไปไร้ก้น ในหุบเหวลึกส่งกระแสอากาศที่เย็นเยียบขึ้นมาหลายระลอก

เอี๊ยด…อ๊าด…

สะพานแขวนทำจากโซ่โลหะ ไม่ได้รับการดูแลรักษามานานปี จึงส่งเสียงเสียดสีระคายหู มาพร้อมกับเสียงลมพัดดังสะท้อนในโพรงถ้ำ

หวงฟู่เดินไปด้านหน้าช้าๆ ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ สองตากวาดมองรอบๆ อย่างระแวดระวังเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากข้ามสะพานแขวน เขาก็เดินขึ้นลานเรียบ ปากถ้ำดำทะมึนสามแห่งที่เหมือนปากขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหน้า

หวงฟู่ไม่ได้ลังเล เลือกถ้ำที่สามจากด้านซ้ายอย่างแน่วแน่

เดินเข้าไปด้านในถ้ำ หอยกาบหยกขาวยักษ์สูงเท่าตัวคนสองคนวางอยู่ด้านใน เปลือกหอยเปิดออกเผยให้เห็นเนื้อหอยสีขาวผ่องที่อยู่ด้านใน

โคมไฟโลหะฉลุลายขนาดเท่าล้อรถใบหนึ่งวางอยู่บนเนื้อหอยเงียบๆ มีเปลวไฟสีน้ำเงินเข้มกลุ่มหนึ่งลุกไหม้อยู่ด้านใน ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

หวงฟู่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้โคมไฟ ก่อนจะยื่นมือไปลูบคลำพลางตรวจสอบร่องรอยรอบๆ

‘โคมวิญญาณสีเงินไม่มีความผิดปกติ หมายความว่าตราผนึกที่อยู่ใต้ดินยังเรียบร้อยดี’ หวงฟู่ขมวดคิ้วพร้อมกับยื่นมือขวาเข้าไปหาโคมไฟอย่างแผ่วเบา

อยู่ๆ มือเขาก็พลันหยุดลงในขณะที่อยู่ห่างโคมไฟครึ่งหมี่ เพราะชนใส่ฉากกำบังโปร่งแสงที่ไร้รูปร่าง

‘ค่ายกลรอบตราผนึกก็ปกติ…น่าจะใช่ที่นี่’ เขาส่ายหน้า ชักมือกลับ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังทางที่มา

แกร๊ก

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากพื้นด้านล่างเปลือกหอย

หวงฟู่ชะงักฝีเท้า

‘เสียงอะไรกัน’ เขาก้มมองเท้า ทว่ามุมที่เสียงดังมาอยู่ในมุมอับตรงเงามืดของไฟจากโคมไฟพอดี จึงไม่เห็นสภาพที่มืดมิดอยู่ชั่วขณะ

หวงฟู่หยุดนิ่ง ยื่นคบไฟในมือเข้าใกล้เล็กน้อยเพื่อตรวจสอบ

มีแค่รอยแตกเล็กๆ สายหนึ่งบนพื้นกำลังถูกลมพัดเข้าไปจนเกิดเสียงดังแกร๊กๆ

‘ไม่เห็นมีอะไร’ เขานิ่วหน้า หมุนตัวเตรียมจะกลับทางเดิม

ฟิ้ว!

เส้นสายสีดำเล็กๆ สายหนึ่งลอยออกมาจากร่องแยกอย่างฉับพลัน ก่อนจะซึมเข้าไปในท้ายทอยของหวงฟู่ แต่เขาสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย

กราวๆ

กรวดหินใต้ฝ่าเท้าลู่เซิ่งร่วงลงก้นเหวกลุ่มใหญ่ ในที่สุดทางเชื่อมก็สิ้นสุดแล้ว

เขายืนอยู่ที่ปากทางเชื่อม ใช้มือป้องสองตา เส้นแสงที่แยงตาจนเกินไปส่องสว่างจนเขาไม่ชินอยู่บ้าง

ปลายทางของโพรงหินเป็นลานกว้างสีทองเหลืองอร่ามที่กว้างใหญ่สุดเปรียบปาน

ลานกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นขอบ สุดท้ายสายตาคือไอหมอกสีทองขมุกขมัว

ไกลออกไป สิ่งที่มหึมาราวชิงช้าสวรรค์หมุนอย่างเชื่องช้าพร้อมกับส่องแสงสีทองอยู่ที่มุมหนึ่งของลานกว้าง

ลานกว้างนี้อยู่ด้านในถ้ำที่กว้างใหญ่มหึมา รอบๆ มองไม่เห็นขอบเขตของโพรงถ้ำ มีแค่ผนังหินสีเทาอยู่เหนือศีรษะที่ยื่นเหยียดไปถึงเส้นขอบฟ้า

ลู่เซิ่งเดินเอื่อยๆ ออกจากทางเชื่อม ก้าวเหยียบลงบนพื้นสีทองที่เหลืองอร่าม

ซู่…

ควันสีดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้น นั่นเป็นควันพิษที่ลอยออกมา หลังจากสารปนเปื้อนข้างใต้ภูเขาถูกเผาด้วยอุณหภูมิสูง

‘อุณหภูมิสูงมาก’ ลู่เซิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเลื่อนออกจากชิงช้าสวรรค์ยักษ์ แล้วเริ่มกวาดตามองทิศทางอื่น

ไม่นาน ยักษ์ที่ทั้งร่างเป็นสีทองตนหนึ่งก็เข้าสู่คลองจักษุของเขา

นั่นเป็นยักษ์ที่ถูกสิ่งก่อสร้างทรงสามเหลี่ยมขนาดมหึมาปกคลุมไว้ ร่างที่สูงเกือบเจ็ดแปดหมี่เหมือนถูกสร้างจากทองทั้งหมด

ตอนนี้เขาแบกหีบยักษ์สีทองเหลืองอร่ามใบหนึ่งไว้บนหลัง สิ่งก่อสร้างทรงสามเหลี่ยมหมุนวนอยู่รอบๆ

ตึงๆๆ

เสียงฝีเท้าที่ไม่นับว่าดังและไม่ระคายหู เพียงแค่ฟังแล้วอึดอัดอยู่บ้าง ให้ความรู้สึกง่วงนอนอย่างแปลกประหลาด

ลู่เซิ่งนิ่วหน้า สะกิดเท้าเบาๆ แล้วพุ่งเข้าหายักษ์สีทองนั้นอย่างรวดเร็ว

เขาข้ามผ่านระยะทางสิบลี้ด้วยความเร็วสูง มาถึงด้านข้างยักษ์สีทองเหลืองร่ามตนนั้น มองดูมันก้าวเท้าอย่างหนักหน่วงทีละก้าวๆ วนเวียนไปมา ขณะแบกหีบใหญ่

เสียงฝีเท้าที่หนักอึ้งและดังสนั่นแจ่มชัดเป็นพิเศษหลังจากเข้ามาใกล้

“สวัสดี”

ลู่เซิ่งร้องทักทายอีกฝ่ายเสียงดัง

ยักษ์สีทองใบหน้าไร้อารมณ์ เคลื่อนไหววนเวียนไปมาอย่างแข็งทื่อต่อไป ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย

“สวัสดี?” ลู่เซิ่งทักทายอีกรอบ

ทว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ยักษ์สีทองขนาดมหึมาเหมือนกับเป็นรูปปั้น รู้จักแค่เคลื่อนไหวตามเส้นทางที่แน่นอนเท่านั้น

ลู่เซิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด สัมผัสถึงพลังชีวิตใดๆ ในร่างยักษ์สีเหลืองทองไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขามาที่นี่เพื่อตามหาต้นกำเนิดของธารหมอกพิเศษ แต่นึกไม่ถึงว่าคล้ายจะมายังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

ลานกว้างสีเหลืองทองผืนนี้ไม่เห็นจุดสิ้นสุด เหมือนกับเป็นโลกใต้พิภพขนาดยักษ์อย่างสมบูรณ์

พื้นปูด้วยแผ่นหินสีทองเหลืองอร่ามที่ราบเรียบเกลี้ยงเกลา แต่มีลวดลายหยาบกระด้าง บริเวณพื้น ที่อยู่รอบๆ นอกจากชิงช้าสวรรค์ยักษ์แล้ว ก็มียักษ์สีเหลืองทองกับสิ่งก่อสร้างทรงสามเหลี่ยม สิ่งก่อสร้างกับสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตเหล่านี้เปล่งแสงสีทองอย่างเจิดจ้าจนทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น

อุณหภูมิของอากาศก็ร้อนจนน่าตกใจ ทั้งแห้งผากทั้งร้อนอบอ้าว ไม่มีน้ำแม้แต่นิดเดียว อย่างน้อยก็สูงถึงสองสามร้อยองศา

‘ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของธารหมอกพิษจริงๆ หรือ’ ลู่เซิ่งกลับมาถึงทางเชื่อม สำรวจน้ำในธารหมอกพิษที่ไหลเอื่อยอยู่ข้างใต้

ทางซ้ายของปากทางเชื่อม จากด้านในที่ว่างบนลานกว้างสีเหลืองทองมีน้ำไหลออกมา

น้ำสีดำจำนวนมาก ซึมออกมาจากร่องแยกของแผ่นหินสีเหลืองทองง ระหว่างสีเหลืองทองอันบริสุทธิ์เหมือนกับมีหมึกจุดหนึ่งเพิ่มขึ้นมาด้านบนผืนภาพวาดสีทองผืนใหญ่อย่างอธิบายไม่ได้

ลู่เซิ่งสะกิดเท้า แล้วทิ้งตัวลงด้านข้างแผ่นหินสีเหลืองทองอย่างแผ่วเบา พลังข่ายโลหิตสั่นไหว พลันแล่นไปตามร่องแยก และเปิดแผ่นหินสีเหลืองทองแผ่นหนึ่งออกช้าๆ

แผ่นหินกว้างเท่าหนึ่งคนครึ่งค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นทางเชื่อมใต้ดินสีดำสนิทที่ปกคลุมหมอกสีเทาเอาไว้

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปในหมอกโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น

ข่ายโหลิตสั่นสะเทือนด้วยตัวเอง พร้อมกับปัดเป่าหมอกหนา อุโมงค์อันมืดมิดขมุกขมัวพลันโผล่ขึ้นมา

‘นี่คือ…?’

ลู่เซิ่งพลันยื่นมือไปรูปผนังอุโมงค์อย่างแผ่วเบา บนผนังอุโมงค์หยาบกระด้างสลักหน้าคนที่กำลังได้รับความเจ็บปวดไว้จำนวนนับไม่ถ้วน ใบหน้าคนเป็นพันเป็นหมื่นหันหน้าเข้าหาเขาที่อยู่ตรงกลางอุโมงค์

‘ใบหน้าคนแบบนี้…หรือว่าจะเป็น?’ เขานึกถึงสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายชนิดหนึ่งที่บันทึกในคัมภีร์ซึ่งตนได้อ่าน

ความตื่นเต้นกับความคาดหมายฉายบนใบหน้า ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้า ไม่สนใจสนามพลังบิดเบี้ยวมากมายที่แผ่กระจายอยู่รอบๆ อุโมงค์แม้แต่น้อย

พอสนามพลังทั้งหมดมาถึงด้านบนร่างของเขา ก็จะถูกกายเนื้อที่แข็งแกร่งสุดขีดต้านทานไว้

ทางอุโมงค์ยาวยิ่ง ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าพุ่งไปด้านหน้าสุดกำลัง ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยามค่อยใกล้ถึงสุดทาง

สุดเส้นทางเป็นประตูใหญ่เกิดจากรากไม้ที่สลักดวงตามหึมาไว้ข้างหนึ่ง รากสีดำนับไม่ถ้วนเลื้อยมาจากบริเวณรอบๆ จนเต็มบานประตูแล้ว แทงเชื่อมต่อกับลูกตาขนาดยักษ์

ไม่ทราบว่าประตูใหญ่ถูกใครเปิดเอาไว้เป็นร่องแยกสายหนึ่ง น้ำจากธารหมอกพิษที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายไหลออกมาจากในร่องแยก

‘ที่นี่นี่เอง…’ ลู่เซิ่งโบกมือปล่อยมารหยินตัวหนึ่งออกมา เป็นราชสีห์โทสะที่ไม่เชื่อฟังที่สุด

“ไป เปิดประตู!” เขาชี้ประตูใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล

โฮก!

ราชสีห์โทสะอยากอาละวาด แต่หลังจากเห็นสีหน้าของลู่เซิ่ง ในที่สุดก็หยุดขัดขืน เดินไปถึงหน้าประตูรากไม้อย่างเชื่อฟัง แล้วเริ่มใช้หัวดันร่องแยกประตู

ครืด

ประตูขยับเล็กน้อย กว้างขึ้นนิดหน่อย แล้วไม่มีการขยับใดๆ อีก

ไม่ว่าราชสีห์โทสะจะใช้แรงขนาดไหน ประตูก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

ลู่เซิ่งหรี่ตา สัมผัสได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีความลี้ลับส่วนหนึ่ง ตั้งแต่ตอนแรกสุดถึงตอนนี้เขาไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากตนเอง มีเพียงยักษ์สีเหลืองทองที่เหมือนกับกลไก ส่วนรากไม้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่สิ่งของที่เหี่ยวเฉา

‘ว่ากันว่าในอดีต สำนักมารกำเนิดพบสถานที่แห่งนี้ และสร้างหน่วยหลักของสำนักขึ้นที่นี่ แต่ในความจริงแล้วสิ่งของมากมายของที่นี่ดำรงอยู่มาแต่แรกแล้ว’ ลู่เซิ่งนึกถึงข้อมูลในบันทึกเมื่อครั้งอดีต ‘ดูจากทางเชื่อมที่เราเข้ามา ผู้สร้างสำนักมารกำเนิดไม่มีทางทนรับการกัดกร่อนจากปราณมารที่อยู่มานานขนาดนี้ แล้วมาพบที่นี่ได้ หมายความว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่อยู่มาก่อนสำนักมารกำเนิดจะถูกก่อตั้ง’

เขายกมือขึ้น ราชสีห์โทสะกลายเป็นควันสีดำสายหนึ่งลอยกลับไปอยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะมุดหายเข้าไปในเงาของเขา

เดินเข้าใกล้ประตู ลู่เซิ่งมองด้านในผ่านร่องแยกที่มืดทะมึน

มีแค่ร่องแยกขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเห็นมุมมองส่วนใหญ่ด้านในได้พอดี

ขวดแก้วโปร่งแสงสูงสิบกว่าหมี่ใบหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในโถงใหญ่ที่มืดมิด ของเหลวสีเทาด้านในขวดแช่สิ่งที่เหมือนหนอนสีขาวซีดนับไม่ถ้วนไว้ด้านใน

ลู่เซิ่งหยีตาหมายจะดูให้ชัดขึ้น เข้าย้ายตำแหน่ง พยายามเข้าใกล้ขวดให้มากที่สุด

ฟึ่บ!

อยู่ๆ ดวงตาข้างหนึ่งก็บังสายตาของเขาไว้

ดวงตาดุร้ายสีขาวที่มีเส้นสายสีเลือดแทรกอยู่ดวงหนึ่ง เหมือนกับกำลังมองเขาผ่านร่องแยก……………………………………….