ตอนที่ 261 อุบัติเหตุรถยนต์

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หวังเจี่ยพูดอย่างรำคาญ “ฉันจะรู้ได้ไงล่ะ พวกเรารับผัดชอบแค่ลักพาตัว คนอื่นจัดการเรื่องการขาย ตามกฎแล้ว พวกเราห้ามถามถึงที่ขาย เดี๋ยวจะซวยกันหมด แต่ฉันได้ยินมาว่าถ้าของดีปกติจะไปขายในร่องหุบเขาข้ามมณฑล คนที่นั่นยากจน ในหัวมีแต่ความคิดเก่าๆ คิดอยากเลี้ยงลูกไว้ยามแก่อะไรพวกนี้ มีลูกเองไม่ได้เลยซื้อเอา และก็มีคนเลี้ยงลูกไว้เป็นเมีย โตแล้วก็มีลูกด้วยได้…แต่นี่ถือว่ายังดีนะ”

“นี่ยังดี?” ผู้หญิงไฝดำร้องตกใจ

“เธอจะตกใจทำไมเนี่ย? แล้วมันไม่ดีตรงไหน? ขายให้ครอบครัวแบบนั้นคือโชคดีมากนะ ถ้าขายให้…หึๆ…” หวังเจี่ยไม่พูดแล้ว บางคำพูดได้ บางคำพูดไม่ได้

ทว่าในใจผู้หญิงไฝดำเต้นระรัวตาม มองเหมิงเหมิงที่หลับไปแล้วในอ้อมกอด นัยน์ตามีความใจอ่อนนิดๆ แต่ไม่นานความใจอ่อนหายไป สงสารคนอื่นแล้วใครสงสารเธอ? หาเงินต่างหากคือหลักการสำคัญ!

ตอนนี้เองมีเสียงหมาป่าหอนดังมาจากข้างหลัง

หวังเจี่ยมองกระจกมองปราดหนึ่งแล้วร้องตกใจ “นั่นอะไร? ทำไม่วิ่งเร็วขนาดนี้?!”

ผู้หญิงไฝดำมองตาม เห็นหมาตัวใหญ่เท่าวัวสีขาวแทบจะวิ่งแซงฝุ่นมาตลอดทาง! ความเร็วนั่นน่าตกใจ! แต่นี่ก็ช่างเถอะ ข้างหลังหมาป่าตัวใหญ่ยังมีหลวงจีนจีวรขาวตามมา หัวใสเป็นเงาวาว ทว่า…เขาไม่ได้ขี่รถ ไม่ได้ขับรถ กระทั่งไม่ได้วิ่ง! แต่เดิน!

“พระเจ้า นี่มันผีอะไรวะเนี่ย?!” ผู้หญิงไฝดำร้อง

‘บรืน…’ หวังเจี่ยไม่ได้พูดอะไร เธอเพิ่งเคยเจอสถานการณ์พิลึกแบบนี้เป็นครั้งแรก ทว่าก็เหยียบคันเร่งตามสัญชาตญาณหมายจะแซงคนกับหมาป่า

รถจักรยานยนต์เริ่มส่งเสียง ความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าหมาป่าข้างหลังกลับไล่ตามมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ…

หวังเจี่ยชำเลืองตามองเข็มวัดความเร็วแวบหนึ่ง เก้าสิบแล้วยังถูกตามทันอย่างรวดเร็ว นั่นหมาเรอะ? หมาจรวด?

หวังเจี่ยเหยียบคันเร่งสุดชีวิต รถจักรยานยนต์ก็ไม่ใช่รถที่ดีอะไร สุดท้ายเหยียบถึงร้อยก็เป็นขีดจำกัด แต่หวังเจี่ยขับต่อไปไม่ไหวเล็กน้อยแล้ว รู้สึกว่ารถจักรยานยนต์จะเหิน!

ส่วนผู้หญิงไฝดำตกใจจนหน้าขาวซีด ไม่ใช่เพราะรถจักรยานยนต์เร็ว แต่เป็นสถานการณ์ตอนนี้ที่พิลึกพิลั่นเกินไป! สุนัขตัวหนึ่งวิ่งเร็วเท่าไรเธอไม่รู้ แต่คนไม่มีทางเร็วขนาดนี้! อีกอย่าง…ยังแค่เดิน! จึงพูดพร่ำไม่หยุด “หวังเจี่ย หรือว่าพวกเราจะทำเลวกันเกินไป พระพุทธองค์เลยมาจัดการพวกเรา?”

“ไร้สาระ! พระพุทธองค์ที่ไหน? ฟังให้ดีนะ พูดอะไรที่มันไร้ประโยชน์ให้น้อยๆ หน่อย เธอเองก็ขายเด็กมาไม่ต่ำกว่าสิบกว่าคนแล้ว ถ้าเกิดเรื่องจริงๆ พวกเราจบเห่แน่! กอดเด็กไว้แน่นๆ!” หวังเจี่ยตาแดงก่ำ ที่บอกว่าไม่กลัวนั่นไม่จริง เจอเรื่องประหลาดแบบนี้ เธอรู้สึกขนลุกในใจนิดๆ

ข้างหลังห่างไปไม่ไกล ฟางเจิ้งเห็นรถจักรยานยนต์ที่แล่นไปด้วยความเร็วคันนี้เช่นกัน ทว่ามีปัญหาเรื่องมุมมอง เลยไม่เห็นเหมิงเหมิงที่ถูกหนีบไว้ตรงกลาง เลยไม่ได้สนใจอะไร ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ผ่านการประชันความเร็วมาเมื่อครู่…

แต่เมื่อเข้าไปใกล้ หมาป่าเดียวดายได้กลิ่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ พลันพูดขึ้น “เจ้าอาวาส เหมิงเหมิงอยู่บนรถจักรยานยนต์คันนั้น!”

“นายมั่นใจนะ?” ขณะฟางเจิ้งถามก็นึกไปถึงแผนรับมือ ใช้มุทราราชสีห์ในควบคุมผู้หญิงให้หยุดรถดีไหม? ปัญหาคือเขาขับรถจักรยานยนต์ไม่เป็น ถ้าควบคุมมั่วๆ ด้วยความเร็วขนาดนี้จะต้องเกิดเรื่องแน่

“มั่นใจ! ไม่อย่างนั้นให้มีผักงอกมาบนหัวฉันได้เลย!” หมาป่าเดียวดายตอบ

แต่ยังไม่ทันพูดจบ ฟางเจิ้งยกระดับอภินิหารย่อแผ่นดินเป็นนิ้วให้กินบุญกุศลสามแต้ม เดินก้าวเดียวหนึ่งเงามายาสีขาว ดูไม่เร็ว แต่หมาป่าเดียวดายรู้สึกว่าขนทั่วร่างมันถูกแรงลมผ่านร่างจากฟางเจิ้งพัดจนเอียง!

ส่วนหวังเจี่ยกำลังเหยียบคันเร่งสุดชีวิต ทว่าก็ยังเร็วไม่เท่า กวาดสายตามองเข็มความเร็วปราดหนึ่งไวๆ ถึงสุดขีดแล้ว! มองถนนอีกที หวังเจี่ยพลันเห็นมีร่างเงาสีขาวเพิ่มมาข้างหน้า จีวรขาว ตั้งมือขึ้นข้างหนึ่ง เงยหน้าขึ้นนิดๆ นัยน์ตามีเพลิงโทสะไร้ที่สิ้นสุด! แต่มืออีกข้างของหลวงจีนกำหมัดแน่น! วินาทีนั้นหวังเจี่ยเหมือนเห็นพระพุทธองค์ที่กำลังโกรธ!

หวังเจี่ยไม่เชื่อพุทธ แน่นอนว่าไม่รู้ความหมายของการตั้งมือข้างหนึ่งแสดงความเคารพ

นักบวชสมัยก่อนจะประนมสองมือ แต่นักบวชก็ต้องทำงานเหมือนกัน บางครั้งในมือถือของ แน่นอนว่าประนมสองมือไม่ได้ ได้แต่ตั้งมือข้างหนึ่งแสดงความเคารพเมื่อพบกัน แต่พัฒนามาถึงตอนนี้ วัดจำนวนหนึ่งได้กำหนดการเคารพแบบมือข้างเดียวให้กับนักบวชยุทธ์ ไม่ว่านักบวชยุทธ์จะถือของหรือไม่จะแสดงความเคารพด้วยมือข้างเดียว ตอนนี้ฟางเจิ้งแสดงความเคารพด้วยมือข้างเดียว กำหมัดขวาสื่อความหมายทุกอย่าง ไต้ซือโกรธมาก และผลจะต้องหนักหนามาก!

“เป็นไปได้ยังไง? เขาไม่ได้อยู่ข้างหลังเหรอ?” หวังเจี่ยร้องตกใจ ชำเลืองตามองกระจกหลัง ข้างหลังมีสุนัขใหญ่ตัวหนึ่ง คนหายไปแล้ว!

หวังเจี่ยรู้สึกตะลึงงันไปทั้งตัว แผ่นหลังมีแต่เหงื่อเย็นๆ ทุกอย่างตอนนี้พิลึกเกินไป!

พอฟางเจิ้งขวางหน้า ในหัวหวังเจี่ยพลันมีหลายความคิดหมุนเวียน…

ตอนนี้เองผู้หญิงไฝดำข้างหลังร้องราวกับเสียสติ “ชนมันเลย ชนมันให้ตาย!”

หวังเจี่ยได้ยินแบบนั้นจึงเหลือเพียงความคิดเดียว “ถ้าหลวงจีนนี่ไม่หลบก็ตาย! ลักพาตัวเด็กมาก็เยอะ ตายไปก็ใช่ว่าไม่มี มีหลวงจีนเพิ่มไปสักคนจะเป็นอะไร?” หวังเจี่ยในยามนี้เกิดอาการหัวร้อน ลืมไปหมดว่าเธอขับรถจักรยานยนต์ ไม่ใช่รถยนต์ ถ้าชนเธอก็จะเป็นอันตราย

แต่หวังเจี่ยก็ยังตะโกนเสียงดัง “หลบไป! ไม่อย่างนั้นตาย!”

ผู้หญิงไฝดำตะโกนตาม “ไอ้ลาหัวล้านหลบไป ไม่อย่างนั้นฉันจะบี้แกให้ตาย!” ผู้หญิงไฝดำกลัวจริงๆ กลัวติดคุกและก็กลัวตาย! จึงเหมือนกับคนเสียสติ!

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นเพลิงโทสะในแววตาสว่างไสวกว่าเดิม! ที่เขาแซงหน้ารถจักรยานยนต์ขวางทางไว้ ไม่ใช่จะชนรถจักรยานยนต์ แต่จะให้รถลดความเร็วลงแล้วจะได้ช่วยคนได้อย่างปลอดภัยนั่นคือดีที่สุด แต่ตอนนี้เหมือนอย่างที่ระบบว่าไว้ คนชั่วต้องใช้คนชั่วขัดเกลา ความดีมีไว้สำหรับคนดี!

“อมิตาพุทธ” ฟางเจิ้งเคลื่อนความคิด สองมือประสานมุทราราชสีห์ใน ทำมุทราผูกจิตในใจ ปากพ่นมาคำหนึ่ง “เจ่อ!”

ต่อมาผู้หญิงไฝดำพลันปล่อยมือที่บีบคอเหมิงเหมิงไว้ก่อนโยนเหมิงเหมิงออกมา!

ฟางเจิ้งเอียงตัวพุ่งเข้าไปราวกับลูกศร กอดเหมิงเหมิงไว้ในอ้อมกอด

ทว่าด้วยความที่ผู้หญิงไฝดำพลันออกแรงโยนเด็กน้อย รถจักรยานยนต์จึงเสียทิศทางพุ่งออกจากถนน ลอยข้ามทางระบายน้ำสองข้างทางไปชนกับต้นไม้ใหญ่ที่ใช้กันลม!

ปัง!

เกิดเสียงดังสนั่น รถจักรยานยนต์ชนกับต้นไม้ข้างทางถนน แหลกเป็นชิ้นๆ…ส่วนหวังเจี่ยกับผู้หญิงไฝดำกรีดร้องพร้อมกับพุ่งชนต้นไม้ ส่งเสียงโครมสองทีแล้วถึงตกลงบนพื้น ร้องโอดครวญไม่หยุด…แถมขยับตัวไม่ได้

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ไม่คิดจะช่วย แต่เดินมาอยู่หน้าสองคน เคลื่อนความคิด ใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง!

…………………………