ตอนที่ 253 ร่องรอยยอดเซียน (2)

แม่ครัวยอดเซียน

คนที่ตามมาด้านหลัง พยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ดังนั้นคนผู้นี้เป็นเซียนอธนการจริงหรือ กำแพงนี้ช่างมีความแข็งแรงจริงๆ

หลิวหลีกำลังวิ่งไล่ตามเพลิงเซียนสีฟ้าที่ถูกมารเข้าครอบงำ ได้มาเจอนางก็เหมือนเป็นผู้ช่วยชีวิต ดังนั้นเจ้าเพลิงเซียนน้อย เจ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าให้เป็นของหลิวหลี

สองพี่น้องสกุลหมิงรู้สึกเหมือนได้รับองค์ความรู้ใหม่

“นายท่านเจี่ย ท่านไม่ต้องไปช่วยหรือ ฮูหยินสามารถจัดการคนเดียวได้หรือ?” หมิงเย่ากล่าว นี่เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างไรกันแน่ ถึงได้โหดร้ายถึงเพียงนี้

“ไม่ต้อง ฮูหยินของข้าจัดการเองได้” ตลกแล้ว ภรรยาของเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ สำหรับภรรยาของเขาแล้วเพลิงเซียนนี้ถือว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆเท่านั้น

“แต่ว่า” หมิงเย่ามองดูพวกสหายเซียนข้างหลังที่ใบหน้าฉาวแววโหดเหี้ยม ช่วยเร็วหน่อยจะได้ไหม อีกประเดี๋ยวพวกเขาจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆไหมนะ

“ไม่ต้องกังวล พวกเขาเข้ามาไม่ได้หรอก ท่านทั้งสองมองนางให้สบายใจเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่กังวลแม้แต่น้อย มีเรื่องอะไรที่ภรรยาของเขาจัดการไม่ได้บ้าง ส่วนพวกขี้อิจฉาที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น หนานกงเวิ่นเทียนโยนภาพยันต์ออกไป ไม่กลัวตายก็เอาเลย

“น่ารังเกียจเหลือเกิน พวก 4 คนนี้ช่างน่าเจ็บใจจริงๆ โดยเฉพาะคู่สามีภรรยานั้นซุกซ่อนพลังบำเพ็ญเพียรเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะจัดการยากขนาดนี้” มีคนหยุดโจมตีเมื่อพบว่าไม่สามารถทำลายแนวเขตปราการนั้นได้เลย อีกทั้งยังมีลายศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเข้าไปอีก สองคนนี้จะต้องมีเงินมากขนาดไหน ลายศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรืออย่างไร ทำไมถึงใช้ราวกระดาษเปล่าเช่นนี้

“สามีภรรยาคู่นั้นรับมือยากที่สุด สองคนนี้โผล่มาจากไหนกันแน่ อายุน้อยจนเกินไป คนที่อายุยังน้อยแต่มีพลังบำเพ็ญเพียรไม่น่าใช่คนที่ไม่มีใครรู้จัก”

“หรือจะเป็นเจ้าตำหนักหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิงกับสามีของนาง” มีคนพูดเล่น

“จะเป็นไปได้อย่างไร นายท่านทั้ง 2 ท่านเข้าฌานไปแล้ว แถมพวกเขาสูงส่งแล้วจะมาปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร” มีคนพูดค้านขึ้น ผู้ถูกเลือกทั้ง 2 ท่านจะไม่อยู่ที่วังได้อย่างไร คิดๆดูแล้วจักรพรรดิของทั้ง 2 แห่งคงจะไม่ปล่อยให้คนทั้งสองออกไปเที่ยวเล่นแน่ แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าคิดเช่นนี้ผิดมหันต์

หลิวหลีรู้สึกว่าเล่นไปพอประมาณแล้ว เพลิงเซียนเหลือพละกำลังอยู่อีกไม่มาก ใช้เพลิงเซียนดาราทมิฬออกมาห่อหุ้มไว้ แล้วนำของสีดำในเพลิงเซียนสีฟ้าออกมา เพื่อให้กลายเป็นเพลิงเซียนสีฟ้าบริสุทธิ์ เพลิงหทัยสมุทรออกมาจากร่างของหลิวหลีแล้วฮุบกลืนเพลิงเซียนสีฟ้าทันที บนท้องฟ้าของโลกภายนอกสะเทือนหวั่นไหว มีเพลิงเซียนชนิดใหม่ปรากฏขึ้นอีกแล้ว เพลิงเซียนหทัยสมุทร เส้นลมปราณในร่างกายนางกลายเป็นเพลิงเซียนเพิ่มขึ้นอีกเส้นแล้ว นางเก็บเพลิงดาราทมิฬอย่างพึงพอใจ

“ดูดซึมแล้วหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนถาม

“อือ พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หวังว่าจะมีเพลิงเซียนอีก” หลิวหลีชอบเพลิงเซียน

“ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเราควรจะไปได้แล้ว คนพวกนั้นคงจะรอกันจนร้อนใจแย่” หนานกงเวิ่นเทียนมองดูกลุ่มคนด้านนอกที่เริ่มร้อนรนมากกว่าเดิม

“พี่น้องสกุลหมิง ต้องเดินไปทางไหนต่อ” หลิวหลีถาม

“ข้างหลัง” อีกทั้งยังรู้สึกได้ว่ามาถึงจุดสุดท้ายแล้ว

“อืม น่าจะเป็นประตูสุดท้ายแล้ว ในที่สุดก็จะได้เห็นหน้าตาของร่องรอยยอดเซียนนี้สักที” หลังจากเพลิงเซียนหายไปแล้ว หลิวหลีมองประตูที่อยู่ด้านหลัง เพลิงเซียนชนิดนี้เป็นธาตุวารีเจ้าของร่องรอยยอดเซียนนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญธาตุเหมันต์หรือไม่ก็ธาตุวารี ซึ่งมีประโยชน์ต่อสามีของนาง

“เปิดเลย” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว หัวใจสั่นระรัว ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด

หมิงเย่าสูดหายใจเข้าลึก ใช้กุญแจเปิดประตูเซียนที่หนานกงเวิ่นเทียนขวางพวกเขาเอาไว้ในตอนแรก จู่ๆก็เหมือนปราการที่ขวางกั้นถูกทำลายลงทำให้ทุกคนเซถลาหัวคะมำ และโฉมหน้าของร่องรอยยอดเซียนที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน

“นึกไม่ถึงเลยว่าในครั้งนี้จะมียอดฝีมือมาด้วย แต่ยิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงก็ยิ่งดี ข้ายิ่งฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” หลังจากที่ประตูถูกเปิดออกแล้ว ด้านบนมีเพียงแค่เก้าอี้ตัวหนึ่งเท่านั้น มีศพแห้งนั่งอยู่ ศพแห้งตนนั้นพูดจาแปลกประหลาดออกมา

“มองพลังบำเพ็ญเพียรไม่ออกเลย” สีหน้าหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ฮ่าฮ่า พวกเด็กน้อยทั้งสองคนช่างน่าสนใจจริงๆ แต่ถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี โดยเฉพาะเจ้าหนูคนนั้น ร่างกายของเจ้าเข้ากับข้าได้เป็นอย่างดี” ศพแห้งกล่าวพร้อมกับมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยสายตาประหลาด

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำร่องรอยยอดเซียนปลอมขึ้น คิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าบอกว่าทำเพื่อความสนุก เจ้าน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญมารที่มีชื่อเสียงกระมัง ทำไมจะต้องสร้างร่องรอยยอดเซียนปลอมด้วย” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมกับก้าวเข้าขวางสายตาของศพแห้งที่มองหนานกงเวิ่นเทียน

“ใช่แล้ว ข้าเป็นผู้บำเพ็ญสายมาร ของทุกสิ่งในร่องรอยยอดเซียนนี้เป็นของปลอมให้กลายเป็นโลกเซียน ข้าถูกนักปราชญ์จอมปลอมของโลกเซียนขังไว้ในที่แห่งนี้ จำเป็นต้องใช้พลังเซียนเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการของที่นี่ เดิมข้าคิดว่า ยังจะต้องหลอกผู้บำเพ็ญในขั้นเซียนสุวรรณเข้ามาอีกกลุ่มหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจะมีเซียนนภานพเก้าสองคนเข้ามาพร้อมกันแปลว่าสวรรค์ต้องการให้ข้าออกไป” ศพแห้งยกแขนที่แห้งเหี่ยวแล้วพูดขึ้น

“เซียนนภานพเก้า” พวกผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้ตะลึง หันมองสองสามีภรรยาดูเหมือนจะมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนอธนการ แต่พวกเขาอำพรางพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองเอาไว้จริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นถึงเซียนนภานพเก้า

“เจ้าหนู ร่างปลอมนี้น่าเกลียดเกินไป ถอดมันออกมาเถอะ” ไม่รู้ว่าศพแห้งใช้วิธีอะไร ชายหญิงสง่างามคู่หนึ่งจึงปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ผู้บำเพ็ญชายผมขาวมีไอเย็นแผ่ไปทั้งตัว แต่กลับดูโดดเด่นน่ามอง ส่วนผู้บำเพ็ญหญิงก็งดงามไม่แพ้กัน นางสง่าผ่าเผยช่วยให้นางดูโดดเด่นมากขึ้น

“บอกชื่อมาเถอะ ข้าเซียนมารคูหลินไม่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักชื่อ บังเอิญพวกเจ้าโชคดี จะได้บอกชื่อตัวเอง” เซียนมารคูหลินกล่าว

“คูหลิน ข้าเคยจัดการกับคูมู่ สังหารคูเยี่ย คราวนี้ข้าได้จัดการคนสกุลนี้ครบเลย เจ้าเองก็โชคดีที่จะได้ยินชื่อพวกข้าสองคน ฟังให้ดี ข้าคือหลิวหลีเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาเพลิง” หลิวหลีพูดด้วยอย่างโอหัง

“เวิ่นเทียนเจ้าตำหนักหลิวหลีแห่งวังนภาธารา” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“เป็นเจ้าตำหนักหลิวหลีกับเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนจริงๆด้วย พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าจริงๆ” พวกเขาก็คิดว่าเป็นเรื่องโกหก ใครจะไปคิดว่าคนที่เป็นต้นแบบของพวกเขาจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมขนาดนี้

สองพี่น้องสกุลหมิงยิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก สองสามีภรรยาที่พวกเขาเชื้อเชิญมา หวังจะให้ช่วยเหลือกลับเป็นหลิวหลีและสามีของนางที่อ้างว่าเข้าฌานแต่ดันออกมาเที่ยวเล่น ต้นแบบของพวกเขาอยู่ใกล้กับพวกเขาแค่เอื้อม อีกทั้งยังช่วยเหลือพวกเขามาตลอดทาง นึกว่าอีกฝ่ายเป็นตัวถ่วง ที่ไหนได้ฝั่งที่เป็นตัวถ่วงจริงๆคือเขาสองคนพี่น้องต่างหาก

“ดูแล้วพวกเจ้าสองคนน่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง พวกอ่อนหัดพวกนี้ก็ยังรู้จักพวกเจ้า” คูหลินหรี่ตาแล้วพูดขึ้น  ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าเขาทำท่าอะไร แต่ก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังหรี่ตามองอย่างคุกคาม

“พอได้ น่าจะมีชื่อเสียงมากกว่าเจ้า” หลิวหลีกล่าว แล้วพลังเซียนในตัวเริ่มกู่ร้อง

“แน่นอน ข้าถูกขังอยู่ในนี้มาหลายแสนปีแล้ว ข้างนอกมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ข้ายิ่งอยากจะออกไปข้างนอกเร็วๆ” คูหลินกล่าว

“น่าเสียดาย เจ้าคงจะออกไปไหนไม่ได้ ที่นี่จะกลายเป็นสุสานของเจ้า” หลิวหลีพูดอย่างเสียดาย

“ฮ่าฮ่า ตอนนั้นข้าเหลืออีกแค่เพียงนิดเดียวก็จะบรรลุแล้ว ไม่ใช่ขั้นที่เด็กในขั้นเซียนนภานพเก้าอย่างพวกเจ้าจะทำอะไรได้” คูหลินกล่าว

พลังบำเพ็ญเพียรของคนผู้นี้อยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียนเลยหรือ แต่ถูกขังมาหลายแสนปีคาดว่าพลังบำเพ็ญเพียรคงจะถดถอยลงไปไม่น้อย

“เสี่ยวเทียน คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญธาตุวารีหรือไม่ก็ธาตุเหมันต์ พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียน แต่ตอนนี้คงอ่อนแอลงไปไม่น้อยเลยจำเป็นต้องใช้พลังเซียนเพื่อออกจากที่นี่ พวกเราลองดูได้ เดี๋ยวข้าจะใช้เพลิงเซียนจับเขาไว้ รู้สึกว่ารูปร่างศพแห้งแบบนั้นดูปลอมไม่น้อย” หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนส่งกระแสจิตหากัน

“เจ้าเป็นคนโจมตี ข้าจะคอยหนุน ข้ามักรู้สึกว่าเหมือนศพแห้งนี้มีอะไรบางอย่างดึงดูดข้าอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เขากำลังจะก้าวเท้ามาสู่สถานที่แห่งนี้

“ถ้าเป็นเช่นนี้ อีกเดี๋ยวพอพวกเราเริ่มโจมตี สหายเซียนพวกนี้น่าจะมีความสามารถในการป้องกันตัวเองได้ อนึ่งข้ารู้สึกว่าการปรากฏตัวของพวกเราสองคน ทำให้ศพแห้งนั่นดูเหมือนจะไม่สนใจคนกลุ่มนั้นมากนัก คาดว่าคงจะไม่ไปรังแกพวกของแถมหรอก ในเมื่อมีพวกเราสองคนเป็นอาหารจานหลักที่สำคัญกว่า” หลิวหลีใช้การเปรียบเทียบ พูดจนทำให้หนานกงเวิ่นเทียนต้องหันไปมองของแถมพวกนั้น เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่า ฮูหยินของเขารู้สึกว่าพวกนั้นเป็นของแถมยังเป็นการให้ค่าอีกฝ่ายมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

“พวกเจ้าสองคน ในเมื่อเป็นคู่รักกัน ได้ตายวันเดียวกันถือเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว” เมื่อคูหลินพูดจบก็หรี่ตาเตรียมจะโจมตี

“พวกข้าสองคนชอบอยู่ข้างนอกอย่างอิสระมากกว่า บำเพ็ญอยู่ในหนทางแห่งธรรมด้วยกันไปนานๆ ดังนั้นผู้อาวุโสเซียนมารคูมู่ ท่านอยู่ที่นี่ไปคนเดียวเถอะ พวกข้าไม่ขอไปแย่งที่ของท่านหรอก” หลิวหลีตอกกลับแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

“ปากดีจริงๆ หวังว่าเจ้าจะปากดีไปได้ตลอด” คูหลินพูดจบ ก็กระแทกเท้าแล้วตำหนักก็เกิดความเคลื่อนไหว หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนหลบไปอย่างรวดเร็ว และเป็นเหมือนคำพูดหลิวหลี ถึงคนกลุ่มนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ก็พอจะมีความสามารถในการป้องกันตัวเอง

คูหลินเป็นเหมือนที่หลิวหลีว่าไว้ คนพวกนั้นเป็นแค่ของแถมไม่ควรค่าในสนใจแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเอาแต่จ้องหนานกงเวิ่นเทียน และเมื่อเป็นไปตามที่นางคิด นางจึงปล่อยเพลิงเซียนดาราทมิฬออกมาในทันทีอย่างไม่รีรอ

“เพลิงเซียนสีดำที่ดูคุ้นๆนั้น ที่แท้ก็เป็นเพลิงเซียนดาราทมิฬนี่เอง”

“พวกข้าตาถั่วกันจริงๆ แม้แต่เพลิงเซียนที่เป็นของประจำตัวของนายท่านหลิวหลีก็ยังจำไม่ได้”

“เพลิงเซียน น่าสนใจๆ คิดว่าเจ้าได้เพลิงเซียนที่อยู่ข้างนอกไปแล้วใช่ไหม นังหนู” คูหลินรู้สึกถึงความผิดปกติ ถึงเพลิงเซียนชนิดนี้จะแข็งแกร่งแต่ก็รู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่างอยู่ดี

 …………………………….