ตอนที่ 34 ใครเหยียบใคร

Perfect Superstar

ตอนที่ 34 ใครเหยียบใคร!

ลู่เฉินกำลังรู้สึกงง ทันใดนั้นก็มีคนตบไหล่เขา

เขาหันกลับไปมองโดยสัญชาตญาณ แล้วจึงเห็นพี่น่าปรากฏตัวอยู่ข้างหลังตัวเองตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

แล้วยังมีฉินฮั่นหยางกับสมาชิกอีกสี่คนของวงเฮสิเทชั่นด้วย!

ลู่เฉินรู้สึกดีใจมาก “พี่น่า พี่ฉิน พวกพี่มาแล้วเหรอ”

“มาแล้ว!”

พี่น่ายิ้มพูดว่า “พี่กับพวกต้าฉินมีปัญหานิดหน่อยที่บาร์ โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่สาย นายมาเร็วมาก”

ฉินฮั่นหยางพยักหน้า จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวลู่ นายกับพวกเสี่ยวเฉิงรู้จักกันเหรอ”

“เสี่ยวเฉิง?”

ลู่เฉินตกตะลึง “พี่ฉิน พี่พูดถึงเจ้าหมอนั่นเหรอ”

คราวนี้ฉินฮั่นหยางกลับตกใจเสียเอง “นายไม่รู้จักเหรอ นั่นคือเฉิงเสี่ยวตงนักร้องนำวงเฟยตู้ ร้องประจำอยู่ที่เฟลมมิ่งโรส ช่วงนี้เป็นวงที่ได้รับความนิยมมาก”

ลู่เฉินได้ยินชื่อของเฉิงเสี่ยวตงเป็นครั้งแรก แต่พอพูดถึงเฟลมมิ่งโรสก็คุ้นขึ้นมาทันที

เฟลมมิ่งโรสเป็นบาร์แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในย่านซานหลี่ถุน ร้านใหญ่มาก กิจการดีเป็นเทน้ำเทท่า

ได้ยินว่าเฟลมมิ่งโรสเปิดที่โฮ่วไห่นานแล้ว แต่เนื่องจากสไตล์การบริการไม่เข้ากันกับบรรยากาศของโฮ่วไห่ ดังนั้นจึงย้ายไปเปิดกิจการใหม่ที่ซานหลี่ถุนเมื่อสองสามปีก่อน คนในวงการก็รู้กันทั้งหมด

จะว่าไปแล้วก็มีเรื่องที่สนุกมากเหมือนกัน ก็คือบาร์มากมายในโฮ่วไห่ต่างก็ตั้งชื่อเป็นร้านดอกไม้ อย่างเช่นบลูโลตัส ดอกลิลลี่ ดอกไฮอะซินท์ ดอกแดนดิไลออน เป็นต้น ซึ่งไม่เหมือนชื่อแฟชั่นของบาร์ในซานหลี่ถุน

เฟลมมิ่งโรสก็เช่นกัน หลังจากย้ายไปที่ซานหลี่ถุนก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ

ลู่เฉินยิ้มเจื่อน “ไม่รู้จักจริงๆ ครับ ผมยังไม่เคยไปเฟลมมิ่งโรส จู่ๆ คนนี้ก็วิ่งเข้ามาหาผม”

เขาเองก็ไม่ได้พูดถึงที่เฉิงเสี่ยวตงมาหาเรื่องตัวเอง แต่ฉินฮั่นหยางน่าจะมองออกถึงการกระทำของอีกฝ่ายแล้ว

พี่น่าครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ดูเหมือนเสี่ยวเยี่ยจะสนิทกับวงเฟยตู้มากนะ…”

กลองดีไม่ต้องตีดัง คำเตือนของพี่น่าอาจดูคลุมเครือเล็กน้อย แต่ลู่เฉินแค่ฟังก็เข้าใจแล้ว

เสี่ยวเยี่ยก็คือเยี่ยเจิ้นหยาง นักร้องประจำของบาร์เดย์ลิลลี่

ฉินฮั่นหยางเอ่ย “พวกเรานั่งลงก่อน คืนนี้ต้องร้องเพลงให้ดี ครั้งนี้พวกเราจะอยู่บนเวทีนานนะ”

เทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ของบลูโลตัสมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในวงการมาก นักร้องที่ร้องเพลงตามผับบาร์ใครบ้างที่ไม่อยากโชคดีได้ขึ้นเวที แต่เวลาในการแสดงมักมีข้อจำกัดเสมอ พอแบ่งกันแล้วก็เหลือเวลาเพียงนิดเดียว

แต่ก่อนนักร้องของบาร์เดย์ลิลลี่ก็มาแสดงหลายครั้ง แต่ให้เวลาในการแสดงมากที่สุดแค่สิบห้านาทีเท่านั้น

งานไลท์บลูมิวสิคคาร์นิวัลออฟไนท์ครั้งนี้ ได้จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก และยังเป็นการโฆษณาบริษัทมีเดียน้องใหม่ในวงการอีกด้วย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่อยากเสนอหน้าเข้ามาให้ได้

บาร์เดย์ลิลลี่ถูกแบ่งเป็นนักร้องสองคนกับวงดนตรีอีกหนึ่งวง ให้เวลาสามสิบนาทีเต็ม!

แม้แต่เฉินเจี้ยนหาวก็ยังพูดว่าพี่ฉางให้เกียรติมากจริงๆ

ส่วนการแบ่งเวลาอย่างไรนั้น ทางบลูโลตัสไม่สนใจ พวกเขาแค่สนใจลำดับการจัดแสดงของนักร้องเท่านั้น

ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะพร้อมกัน

ฉินฮั่นหยางพูดว่า “การแสดงใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเรามาแบ่งเวลาขึ้นเวทีก่อน พี่น่าครับ”

ใครเป็นคนแบ่งเวลานั้นสำคัญมาก ในฐานะพี่ชายในบาร์เดย์ลิลลี่ ฉินฮั่นหยางจึงรับหน้าที่โดยไม่ลังเลใดๆ แต่เขาก็ยังเคารพความคิดเห็นของพี่น่าเสมอ

พี่น่าพูดว่า “ฉันจะร้องเพลงเดียว ให้เวลาฉันห้านาทีก็พอ เสี่ยวลู่สิบนาที ร้องสองเพลง!”

ตามสถานการณ์ปกติทั่วไป การแบ่งเวลาการแสดงบนเวทีจะเรียงลำดับจากผู้อาวุโสก่อน ฉินฮั่นหยางกับพี่น่าต่างก็ร้องคนละสองเพลง จากนั้นก็เหลือให้ลู่เฉินหนึ่งเพลง ทั้งหมดห้าเพลงใช้เวลาสามสิบนาทีกำลังดี

เพลงหนึ่งเพลงปกติจะมีความยาวประมาณสี่นาที รวมการเข้าออกเวทีพูดสองสามประโยค ห้านาทีก็พอแล้ว

ยิ่งเป็นนักร้องเดี่ยวยิ่งง่าย วงดนตรีก็จะยุ่งยากนิดหน่อย ดังนั้นจึงให้เวลาครึ่งหนึ่งกับวงเฮสิเทชั่นของฉินฮั่นหยาง

ทว่าพี่น่ากลับเอาเวลาร้องหนึ่งเพลงของตัวเองให้กับลู่เฉิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายจริงๆ!

ลู่เฉินรีบบอก “พี่น่า ผมร้องเพลงเดียวก็พอแล้วครับ”

พี่น่ายิ้มพูดว่า “ร้องเพลงเดียวจะพอได้ยังไง เพื่อนร่วมโต๊ะของนายบวกกับซินเดอเรลล่า ขาดไปสักเพลงคงน่าเสียดายแย่ และควรจะทำให้ทุกคนรู้ว่าบาร์เดย์ลิลลี่ของพวกเราก็มีนักร้องมากความสามารถเช่นกัน แล้วฉันก็จะร้องเพลงนั้นที่นายแต่งให้!”

ฉินฮั่นหยางก็พยักหน้า ก่อนเอ่ย “พี่น่าพูดถูก นายเขียนเพลงให้เธอได้ดีมาก!”

ในความทรงจำของลู่เฉิน ฉินฮั่นหยางเป็นนักร้องที่มีมาดเคร่งขรึม ในฐานะนักร้องนำกับหัวหน้าวงของเฮสิเทชั่น เวลาส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่ก็คือหลบอยู่ในห้องเล็กๆ กับสมาชิกของวง ไม่ฟังเรื่องภายนอก พอถึงเวลาแสดงถึงออกมา

ลู่เฉินทำงานในบาร์เดย์ลิลลี่มาสามปี จำนวนครั้งที่คุยกับพี่ชายคนนี้ บวกกับตอนนี้ถือว่ามากที่สุดแล้ว!

ดังนั้นพอได้ยินคำชมของฉินฮั่นหยาง ลู่เฉินจึงรู้สึกเหมือนได้รับความเมตตาทันที

“ฉันโชคดีจริงๆ ที่ได้รู้จักเสี่ยวลู่!”

พี่น่าก็ยิ้มอย่างมีความสุข พูดว่า “เสี่ยวลู่ เพลงที่นายเขียนให้ฉัน ฉันได้ให้ต้าฉินเรียบเรียงแล้ว คืนนี้ฉันจะขึ้นร้องพร้อมกับวงเฮสิเทชั่น พวกเขาจะเล่นดนตรีให้ฉัน จากนั้นเวลาที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”

พูดถึงการเรียบเรียงเพลง ลู่เฉินรู้สึกละอายใจมาก ถึงแม้ในความทรงจำของเขาจะมีเพลงคลาสสิคจำนวนนับไม่ถ้วน การจัดเรียงทำนองของโน้ตดนตรีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะให้เรียบเรียงใหม่ทั้งหมด เขายังไม่สามารถทำได้

สาเหตุหลักก็คือลู่เฉินมีประสบการณ์ด้านนี้น้อย เขาจำเป็นต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นเขียนเป็นแค่ทำนองดนตรีแต่ไม่เข้าใจการเรียบเรียงเพลง แบบนั้นก็คงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะได้ง่าย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พี่น่ายืนยันและฉินฮั่นหยางก็ไม่มีปัญหา เวลาร้องเพลงสองเพลงของลู่เฉินเป็นไปตามนี้

มือกีตาร์ มือเบส มือกลองกับมือคีย์บอร์ดซึ่งเป็นเสียงหลักของวงเฮสิเทชั่น ต่างก็ใช้สายตา ‘ไอ้หนุ่มนี่โชคดีจริงๆ’ มองลู่เฉิน ทำให้เขารู้สึกเขินอาย

ฉินฮั่นหยางหยิบใบกำหนดการที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งลู่เฉินยังไม่ได้อ่านขึ้นมาดูอีกรอบ แล้วจึงขมวดคิ้ว

พี่น่าก็รู้สึกไวเช่นกัน

“ทำไม มีปัญหาเหรอ”

ฉินฮั่นหยางส่ายหน้าแล้วบอก “ปัญหาไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่การขึ้นเวทีของเสี่ยวลู่ไม่ได้จัดอยู่กับพวกเรา ก่อนหน้าเขาคือวงเฟยตู้ ต่อมาคือวงจื่อเป่ยเจิน จากนั้นค่อยถึงตาของพวกเราสองคน”

จากการจัดลำดับที่ผ่านมา เวลาขึ้นแสดงของนักร้องที่อยู่บาร์เดียวกันจะถูกจัดให้อยู่ด้วยกัน เพราะว่านักร้องส่วนใหญ่จะนำวงของตัวเองมาเล่นดนตรี อย่างเช่นพี่น่ากับวงเฮสิเทชั่น

แต่สถานการณ์อย่างลู่เฉินที่ตั้งใจให้แยกออกโดยเฉพาะกลับมีน้อยมาก

พี่น่าไม่ได้สังเกตเลย

“แบบนี้ไม่เป็นไรมั้ง ระดับการร้องและเล่นเพลงของเสี่ยวลู่ก็เหมาะกับเล่นเดี่ยวมากที่สุด!”

ฉินฮั่นหยางพูดอย่างลังเล “ผมได้ยินว่าเทศการดนตรีคาร์นิวัลไนท์ในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อวงจื่อเป่ยเจินโดยเฉพาะ”

วงจื่อเป่ยเจินก่อตั้งขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว กานหล่างนักร้องนำของวงเป็นนักร้องที่มีความสามารถมาก ตอนนี้ได้เซ็นสัญญากับบาร์บลูโลตัส วงจื่อเป่ยเจินมีชื่อเสียงในวงการด้วยแนวเพลงสไตล์ซอฟต์ร็อค และมีชื่อเสียงมากกว่าวงเฮสิเท ชั่นเสียอีก

ฉินฮั่นหยางได้รับข่าวว่า วงจื่อเป่ยเจินได้เซ็นสัญญากับบริษัทชิงอวี่มีเดียแล้ว งานไลท์บลูมิวสิคคาร์นิวัลออฟไนท์ครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อวงจื่อเป่ยเจินโดยเฉพาะ และจะประกาศอย่างเป็นทางการตอนที่การแสดงสิ้นสุดลง

ชิงอวี่มีเดียกระทั่งออกหน้าเชิญสื่อนักข่าวและบุคคลในวงการกลุ่มหนึ่งมา

เพราะฉะนั้นการแสดงของวงจื่อเป่ยเจินในคืนนี้จึงสำคัญต่อเทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์เป็นอย่างมาก ลู่เฉินถูกจัดลำดับไว้ข้างหน้าของพวกเขา และข้างหน้าไปอีกก็เป็นวงเฟยตู้ที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ ทำไมดูแล้วเหมือนโดนโจมตีขนาบทั้งหน้าหลังเลย

ฉินฮั่นหยางกับพี่น่าก็เป็นคนมีประสบการณ์มาก พอวิเคราะห์สักพักหนึ่งก็เข้าใจแล้ว พี่น่าลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เสี่ยวลู่ นายต้องเปลี่ยนเพลงร้องไหม”

วงเฟยตู้กับวงจื่อเป่ยเจินล้วนแต่เป็นแนวดนตรีร็อค การแสดงของพวกเขาจะต้องทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านแน่นอน ทำให้กระตุ้นคนดูได้ง่ายมาก ขับเคลื่อนบรรยากาศของงานทั้งหมด

ถ้าหากวงเฮสิเทชั่นเสียบอยู่ตรงกลาง ฉินฮั่นหยางผู้มีประสบการณ์ก็ยังพอควบคุมสถานการณ์ได้บ้าง แต่ถ้าหากตอนที่ทุกคนอารมณ์พลุ่งพล่านไปแล้ว ลู่เฉินกลับอุ้มกีตาร์ตัวหนึ่งขึ้นไปร้องเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันกับซินเดอเรลล่า…

เกรงว่าร้องได้แค่สองสามประโยคก็ถูกคนดูไล่ลงมาแล้ว…เพราะสไตล์ไม่เข้ากันเลย!

ผู้ชมที่มาร่วมงานเทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ไม่ใช่กลุ่มแฟนคลับของใคร ถ้าพวกเขาคิดว่าไม่ดีก็ไล่ลงไปได้เลย และมีน้อยมากที่นักร้องทนต่อเหตุการณ์ที่ขายหน้าแบบนี้ได้

ฉินฮั่นหยางเห็นด้วย “ใช่ เปลี่ยนเพลงที่สนุกหน่อย วงของพวกเราเล่นดนตรีให้นายได้!”

ลำดับการกำหนดไว้แล้ว หากเปลี่ยนคนขึ้นแสดงกะทันหันคงไม่ได้แน่นอน เพราะนั่นเป็นการไม่เคารพฝ่ายที่จัดงาน แต่วงดนตรีกับนักร้องขึ้นเวทีแสดงพร้อมกันนั้นไม่มีปัญหา

มีวงเฮสิเทชั่นคอยอยู่ด้วย เสียงของลู่เฉินไม่แย่แน่นอน แต่เพลงที่แต่งขึ้นมาสองเพลงกลับต้องยอมปล่อยไป

เมื่อถึงเวลานี้ ลู่เฉินจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าตัวเองถูกคนใช้เป็นบันไดให้คนอื่นปีนป่าย ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่คนของวงเฟยตู้นั่นถึงมาหาเรื่องเขา

“ขอบคุณพี่ฉิน ขอบคุณพี่น่า แต่ผมคิดว่าการแสดงของตัวเองไม่มีปัญหาครับ!”

ลู่เฉินขอบคุณความหวังดีและคำเตือนของฉินฮั่นหยางกับพี่น่าเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่มีแววว่าจะถอยเลยสักนิด

ตรงกันข้าม เขากลับถูกกระตุ้นอารมณ์ต่อสู้ขึ้นมาอย่างเต็มที่!

อยากจะเหยียบฉัน อย่างนั้นก็ต้องดูว่าใครเหยียบใครกันแน่!

…………………………………………………………………………