ตอนที่ 96 ภาพถ่ายงานแต่งงาน

“นักพรตเฒ่า”

“อ๊ะ เถ้าแก่ มีอะไรเหรอครับ”

“จอดรถเถอะ”

“อ้อ ครับผม”

หลังจากลงจากรถ โจวเจ๋อก็โยนก้นบุหรี่ในมือลงบนพื้นแล้วใช้พื้นรองเท้าเหยียบก้นบุหรี่ซ้ำ

“คุณกลับไปก่อน”

“อ้าว” นักพรตเฒ่าชะงักไปครู่หนึ่ง “เถ้าแก่ ผมรอจนกว่าคุณจะออกมาได้นะครับ”

“กลับไปเถอะ”

“ไม่เป็นไรครับ เถ้าแก่ ผมไม่กลัวว่าจะรอ…”

“กลับไป”

โจวเจ๋อหันกลับไปมองนักพรตเฒ่า

นักพรตเฒ่าตกใจจนตัวสั่นงกๆ

จุ๊ๆๆ แท้จริงแล้วแก่นแท้ของพวกที่ปีนออกจากนรกเหล่านี้ยังคงเหมือนเดิม คนตรงหน้าที่คิดว่าเป็นมิตรมาก แต่จริงๆ ล้วนแล้วแต่เสแสร้งกันทั้งนั้น

เสแสร้ง!

นักพรตเฒ่าทำความเคารพทันที “ได้ครับ เถ้าแก่ ถ้าคุณต้องการใช้รถเมื่อไหร่ก็โทรหาผมนะครับ”

นักพรตเฒ่าขับรถออกไปแล้ว

โจวเจ๋อยืนหยุดอยู่หน้าประตูชุมชนประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้

ก่อนหน้านี้ถังซือเคยบอกเขาว่าหลังจากที่สาวน้อยโลลิจากไป นอกจากร้านหนังสือของตัวเขาเองแล้ว ยังมีที่มืดภายใต้แสงไฟในทงเฉิงอีกแห่งหนึ่ง

เพียงแต่ว่าเจ้าตะเกียงนี้อาจจะมีปัญหาเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ถังซือเลือกที่จะไม่หลบซ่อนที่นี่ แต่ไปที่ร้านหนังสือของตัวเองแทน

ถังซือบอกเป็นนัยๆ ว่าตัวเขาสามารถลองไปดูที่นั่นได้ ไม่แน่ว่าอาจจะพบเจอหรือได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้ และในขณะที่ความเจ็บป่วยกำลังจะคร่าชีวิตเขา อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะใช้ประโยชน์จากมันได้

ตอนนั้นโจวเจ๋อกลัวปัญหามากเลยไม่ได้ไป กระทั่งไม่ได้ถามถึงรายละเอียดใดๆ เลย

และเพราะเหตุนี้พอได้ยินจากปากของนักพรตเฒ่า โจวเจ๋อถึงได้รู้ว่าที่มืดภายใต้แสงไฟนี้ จริงๆ แล้วก็คือย่านชุมชนที่หมอหลินอาศัยอยู่

จุดแต่ละจุด วาดจนเป็นวงกลม แม้ว่าจุดเหล่านั้นหายไปแล้ว แต่วงกลมนี้ก็ประกอบเป็นรูปร่างสมบูรณ์ในท้ายที่สุด

การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของตัวเองทั้งก่อนและหลังที่มีต่อหมอหลิน

หมอหลินเก็บบ้านตัวเองก่อนเสียชีวิตเอาไว้ ทั้งซื้อมันไว้และดูแลมันอย่างระมัดระวัง

ตัวตนของสวีเล่อนั้น แยกเตียงกันนอน

อำพรางตัว เป็นฆาตกรตัวจริงในอุบัติเหตุทางรถยนต์

ฆ่าปิดปากทีละคนและทำลายหลักฐาน

อันที่จริงรายละเอียดยิบย่อยมากมายเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นถึงทิศทางแล้ว

รวมถึงวันที่ตัวเองปลอมตัวเป็นหมอผ่าตัดจนเสร็จและสารภาพความจริงกับหมอหลินไปในวันนั้นด้วย และหมอหลินก็เริ่มเข้ามากอดตัวเขาก่อน

ตอนนั้นตัวเขาเองเพียงคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ช่างสวยงามไปหมด และไม่ได้สังเกตว่ามุมปากของใบหน้าในอ้อมแขนเขานั้นอาจจะปรากฏรอยยักยิ้มอยู่เล็กน้อย

มือข้างหนึ่งกำลังกวนน้ำในสระ ทำให้ปลาเริ่มว่ายปั่นป่วน ในท้ายที่สุดปล่อยอวนลงไปตะครุบไว้ เมื่อดึงกลับก็จบงาน

ผู้คนถักอวนแหเพื่อเอาไว้จับปลา จับปลาเพื่อที่จะกินปลา

ของตกแต่งบ้านมีไว้เพื่อความสวยงาม และความสวยงามก็มีไว้เพื่อให้น่าอยู่ขึ้น

สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดมุ่งหมาย แม้ว่าจะนั่งนิ่งๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น แต่นั่นก็เป็นการเพลิดเพลินไปการพักผ่อนผ่อนคลายตัวเอง

การเสียชีวิตก่อนหน้านี้ของตัวเอง และการยืมซากศพคืนชีพของตัวเองในภายหลัง

ตัวตนใหม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวใหม่

ท้ายที่สุดแล้วดีต่อใครที่สุดกันแน่

ผู้หญิงที่แอบรักตัวเองมาโดยตลอดได้สามีที่เธอไม่ได้รัก เธอเคารพข้อบังคับในศีลธรรมจรรยาอย่างเคร่งครัด และเคารพกฎเกณฑ์ของครอบครัว

เธอไม่ได้ละเมิดและไม่ได้แหกกฎ แต่ภายใต้กฎเกณฑ์ เธอเปลี่ยนสามีที่ตัวเองไม่ได้รักตั้งแต่แรกเป็นอีกคนจนสำเร็จ

คนที่บุคคลภายนอกไม่ทราบ ไม่รู้และไม่มีวันค้นพบอย่างสิ้นเชิง

เธอนอนที่ริมขอบเตียงอย่างสบายใจ และทำหน้าที่เป็นบุตรสาวของครอบครัวต่อไป ใช้ชีวิตของตัวเองตามแบบที่พ่อแม่ของเธออยากให้เป็น แต่ก็ยังทำบางสิ่งบางอย่างตามความปรารถนาและความคิดของตัวเองเหมือนเช่นเคย

ความคิดวุ่นวายมากมาย วนเวียนวกวนอยู่ภายในหัวของโจวเจ๋อไม่หยุด ทำให้โจวเจ๋อเองก็สับสนกับทิศทางอยู่บ้าง แม้กระทั่งในขณะนี้เอง ภายในจิตใจของเขาว้าวุ่นจนตัวเองแทบจะคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่

หากทั้งหมดนี้เป็นอย่างที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้จริงๆ คนที่เป็นผู้ควบคุมวงโคจรทุกสิ่งทั้งหมดทั้งมวลเป็นเธอจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตัวเขาควรจะเผชิญหน้ากับเธอด้วยท่าทีอย่างไร

เป็นความแค้น เป็นความโกรธที่เธอทำให้ตัวเขาตาย และทำลายชีวิตเดิมของเขาอย่างนั้นหรือ

เป็นความประทับใจ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งเธอทำมากเท่าไร จริงๆ แล้วกลับยิ่งพิสูจน์ความรู้สึกที่เธอมีต่อตัวเขาอย่างนั้นหรือ

ก่อนหน้านี้ โจวเจ๋อสามารถถือด้ามกล้องยาสูบหวดสวีต้าชวนไม่ยั้งโดยไร้แรงกดดันทางจิตใจ แต่ตอนนี้โจวเจ๋อไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะหยิบกิ่งไม้บนพื้นพุ่งเข้าไปในบ้านตระกูลหลิน

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนมาก เขาไม่ใช่หุ่นยนต์ ที่เพียงต้องขับเคลื่อนตามลำดับโปรแกรมบางอย่าง และสร้างตัวเลือกภายใต้การตั้งค่ารหัสทริกเกอร์ทีละตัวของตัวเองตามธรรมชาติ

สิบห้านาทีของความสองจิตสองใจ สิบหานาทีของความลังเล

ท้ายที่สุดโจวเจ๋อก็ก้าวเข้าไปในชุมชน

บางเรื่องก็ต้องเอาให้กระจ่าง บางเรื่องก็ต้องเปิดปากพูด

นี่คือตัวเขามอบคำอธิบายให้ตัวเขาเอง ให้คำอธิบายแก่ตัวเขาเองในชาติก่อน

มันยากจนดูสับสนวุ่นวาย

แต่นั่นใช้กับที่นี่ไม่ได้

‘ก๊อกๆๆ’

เคาะประตู

อันที่จริงโจวเจ๋อมีกุญแจบ้าน แต่มันไม่ได้อยู่ที่โจวเจ๋อ เขาไม่ได้กลับบ้านตระกูลหลินมานานแล้ว

“มาแล้วค่ะ”

เสียงของน้องภรรยาดังออกมาจากข้างใน เมื่อเปิดประตูก็เห็นโจวเจ๋อและถามขึ้น

“สวีเล่อ ลุงของนายกลับไปแล้วเหรอ”

“อืม กลับไปแล้ว”

ถูกฉันซัดกลับไปแล้ว

“อ้อ” น้องภรรยายังคงเปิดประตูแง้มดู

เมื่อเห็นว่าโจวเจ๋อยังไม่ไป ก็รู้สึกแปลกใจเลยพูดขึ้น

“นายอยากจะเข้ามาเหรอ”

โจวเจ๋อไม่ขยับตัว

น้องภรรยาแลบลิ้น โจวเจ๋อไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว จู่ๆ เขาก็อยากกลับมา เธอยังไม่ได้เตรียมใจเลย แต่ถึงอย่างไรโจวเจ๋อก็เป็นพี่เขยของเธอ จึงเปิดประตูออก

โจวเจ๋อเดินเข้ามาและนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

น้องภรรยาเอาน้ำส้มให้โจวเจ๋อหนึ่งขวด พร้อมกับส่งที่เขี่ยบุหรี่มาให้ ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโจวเจ๋อไม่เลวเลยทีเดียว เพราะว่าโจวเจ๋อมักจะช่วยเธอปกปิดทำให้เธอออกได้ไปเที่ยวเล่นได้บ่อยๆ ดังนั้นท่าทีที่เธอปฏิบัติต่อโจวเจ๋อในบ้านจึงเปลี่ยนไปจากในตอนแรกมาก

“พี่สาวเธอล่ะ”

“เพิ่งจะออกไปซื้อกับข้าว พ่อแม่ฉันออกจากบ้านไปเมื่อวานนี้แล้ว ลูกของเพื่อนเก่าที่ต่างจังหวัดแต่งงานเลยไปแสดงความยินดีน่ะ จะว่าไปเมื่อสักครู่ที่ลุงของนายนั่งอยู่หน้าบ้านฉัน มันทำให้ฉันตกใจจริงๆ นะ โดยเฉพาะตอนที่เขาบอกว่าจะเอานายเข้าคุกน่ะ จุ๊ๆ สวีเล่อ ทำไมญาติฝั่งนู้นของนายแปลกจัง”

น้องภรรยานั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม เปิดทีวี และยกเท้าทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะวางชุดน้ำชา ในลักษณะจะนั่งก็ไม่นั่ง จะยืนก็ไม่ยืน

เมื่อเทียบกับมารยาทที่สง่างามและน่าเกรงขามของหมอหลินแล้ว ดูไม่เหมือนพี่น้องกันจริงๆ

ไม่เหมือนจริงๆ นะ

“เฮ้ สวีเล่อ นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ นายมีจุดอ่อนอะไรอยู่ในกำมือลุงของนายหรือเปล่า เขามารีดไถเงินนายใช่ไหม”

สวีเล่อเป็นลูกเขยจำเป็นของตระกูลหลิน เป็นธรรมดาที่ตระกูลหลินจะไม่ค่อยประทับใจญาติที่ชอบปอกลอกคนรวยพวกนั้นของสวีเล่อ ถึงอย่างไรเงินของสวีเล่อเมื่อก่อนนั้น จริงๆ แล้วก็เป็นเงินที่ตระกูลหลินมอบให้

“ไม่มีอะไร”

โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวน พร้อมรอหมอหลินกลับมา

“ไม่มีอะไรจริงๆ เหรอ” น้องภรรยามองโจวเจ๋อ

“เธอนี่น่ารำคาญจริงๆ”

เมื่อน้องภรรยาได้ยินดังนั้น ก็งอนตุ๊บป่อง แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ

เธอรู้สึกว่าสวีเล่อนับวันยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าในอนาคตเธอยังต้องการให้เขาช่วยปกปิดเรื่องที่ตัวเองออกไปเที่ยวเล่นอีก ก็เลยไม่หาเรื่องเขาแล้ว

บุหรี่มวนหนึ่งวางอยู่ตรงที่เขี่ยบุหรี่ โจวเจ๋อมองบุหรี่ที่ค่อยๆ มอดดับลงอย่างช้าๆ

กลุ่มควันบุหรี่หมุนเป็นเกลียวลอยวนขึ้นไปเกาะกลุ่มและแตกกระจายไปในที่สุด

และในเวลานี้เองเสียงเปิดประตูดั่งแว่วเข้ามา โจวเจ๋อยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หมอหลินกลับมาพร้อมกับหิ้วถุงผักจำนวนหนึ่ง เธอถักผมเปีย วันนี้เป็นวันหยุด ดังนั้นจึงดูสดชื่นมาก

เธอแปลกใจเล็กน้อยที่โจวเจ๋ออยู่ในบ้าน

“พี่คะ วันนี้พี่เข้าครัวนะ” น้องภรรยาถือหมอนอิงพร้อมกับดูทีวี และชี้ไปที่โจวเจ๋ออย่างซุกซน

“กินอะไรมาหรือยังคะ” หมอหลินถามโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อส่ายหน้า “ยัง”

“’งั้นรอสักครู่นะ ฉันไปทำกับข้าวก่อน” ราวกับว่าหมอหลินจงใจประคองความสัมพันธ์ที่สงบเรียบนิ่งเอาไว้ จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องครัว

โจวเจ๋อยืนอยู่ที่เดิมและรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง

ตอนนี้จิตใจของเขาว้าวุ่นมาก

“เฮ้ นายจะอึ้งอยู่ทำไม เข้าไปช่วยสิ”

น้องภรรยาเหยียดเท้าออกไปสะกิดขาโจวเจ๋อเบาๆ

โอกาสกระชับความสัมพันธ์ที่เหมาะขนาดนี้ยังไม่คว้าเอาไว้อีก มายืนอึ้งอยู่ตรงนี้อยู่ได้ ช่างเงอะงะงุ่มง่ามจริงๆ เลย

น้องภรรยารู้สึกว่า พี่เขยของตัวเองคนนี้ยังห่างชั้นกับพวกผู้ชายที่ตามจีบตัวเองในโรงเรียนมากโข หัวขี้เลื่อยขนานแท้เลย

ในที่สุดโจวเจ๋อก็เดินเข้าไปในห้องครัว

หมอหลินสวมผ้ากันเปื้อนกำลังหั่นผักอยู่ในห้องครัว

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองได้ คุณไปดูทีวีเป็นเพื่อนเสี่ยวอี้เถอะ” หมอหลินบอกโจวเจ๋อ

“ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามคุณน่ะ” โจวเจ๋อพูดพลางมองหมอหลิน

“หืม” หมอหลินเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจนิดหน่อย “งั้นรอให้ฉันทำอาหารมื้อนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยถามได้ไหมคะ ฉันไม่อยากเสียสมาธิน่ะค่ะ จริงๆ แล้วฉันทำอาหารไม่บ่อยนัก กลัวว่าจะไม่ถูกปากคุณ”

เมื่อเห็นว่าเธอกำลังหั่นผักอย่างระมัดระวัง อยู่กับร่องกับรอย จู่ๆ โจวเจ๋อก็รู้สึกว่ามีบางคำที่ยากจะถามออกจากปาก

“ผมกลับห้องก่อน อีกเดี๋ยวคุณก็ขึ้นมาแล้วกัน”

“ได้ค่ะ รอฉันทำอาหารเสร็จแล้วฉันจะไปเรียกคุณให้ลงมากินข้าวนะคะ”

โจวเจ๋อเดินออกจากห้องครัวเดินขึ้นไปชั้นสองท่ามกลางสายตาประหลาดใจของน้องภรรยา

เมื่อผลักประตูห้องนอนออก โจวเจ๋อเห็นเตียงใหญ่นั้น เขาเคยนอนเตียงนั้นมาก่อน และในตอนนั้นหมอหลินก็ปูพื้นนอนด้านล่างเตียง

อันที่จริงเขาไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่มากสักเท่าไร

เมื่อเงยหน้าก็มองเห็นภาพถ่ายงานแต่งงานที่แขวนอยู่บนผนังบนหัวเตียง

ในภาพถ่ายงานแต่งงาน ระยะห่างระหว่างคนสองคนที่สวมชุดแต่งงานไกลกันเล็กน้อย ผู้หญิงมีสง่าราศี ส่วนผู้ชายเก้ๆ กังๆ เหนียมอาย มันเป็นภาพถ่ายงานแต่งงานของหมอหลินกับสวีเล่อ

อันที่จริงเพียงแค่ภาพถ่ายหนึ่งใบก็สามารถมองเห็นปัญหามากมายแล้ว

แต่ตอนนี้ ใบหน้าของผู้ชายที่อยู่ในภาพถ่ายงานแต่งงาน คือตัวเขาเอง

โจวเจ๋อจ้องมองภาพถ่ายงานแต่งงานใบนั้น

ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้และรวมไปถึงกระบวนการฆาตกรรมอำพราง ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือหมอหลินคอยผสมโรงอยู่เบื้องหลัง คอยจ้องดูทุกๆ กระบวนการจากด้านบน โดยเข้าใจอย่างถ่องแท้ทุกอย่างล่ะ

ถ้าอย่างนั้น สวีเล่อคนก่อน สวีเล่อคนที่เคยนอนหลับอยู่บนเตียงใหญ่เพียงลำพังทุกๆ คืนก่อนหน้า จริงๆ แล้วเขามีบทบาทอย่างไรกันแน่

ก็เหมือนแป้งที่นวดเป็นก้อน และในที่สุดแป้งก้อนนี้ก็ปลุกระดมความบ้าคลั่งและความกล้าหาญที่ยากจะได้เห็นในชาตินี้

แต่ผลปรากฏว่า แท้จริงแล้วพฤติกรรมของเขาล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาภรรยาของเขาทั้งนั้น ทำเหมือนว่าเขาเป็นหุ่นเชิด เฝ้าดูเขาก้าวไปข้างหน้าทีละขั้น

กระทั่งในท้ายที่สุด เธอก็ชำระล้างร่องรอยด้วยตัวเธอเอง

คนที่ควรตาย ก็ตายไปหมดแล้ว

สวีเล่อก็ตายไปแล้ว

และแม้แต่ร่างกายของเขาก็ถูกชำระล้างจนสะอาดหมดจด เพียงเพื่อต้อนรับการมาถึงของดวงวิญญาณของคนที่ตัวเองรัก

ดูเหมือนว่าในเวลานี้สายตาจะมีความพร่าเบลอเล็กน้อย

ราวกับว่าโจวเจ๋อมองเห็นนัยน์ตาคู่นั้นของสวีเล่อที่อยู่ในภาพถ่ายงานแต่งงานบนหัวเตียงมีเลือดไหลออกมาเป็นทางและหยดร่วงลงมาอย่างช้าๆ…

…………………………………………………………………………