บทที่ 274 พบว่า

คู่ชะตาบันดาลรัก

เห็นหมิงเวยไม่ว่าอะไร เขาก็ยื่นมือออกมาจับมือนางอย่างใจกล้า สักพักก็หดมือกลับ ใบหน้าของหยางชูร้อนผ่าว หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง

แปลกจริงๆ ตอนอยู่ที่ตงหนิงพวกเขาได้แตะเนื้อต้องตัวกันไปไม่น้อย ตอนนั้นเขาบอกว่าตนเป็นบุรุษที่อยู่แทบเท้าสตรีซ้ำยังพูดได้คล่องปากมากๆ เหตุใดตอนนี้ถึง…

ขณะที่กำลังคิดจู่ๆ มือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ หยางชูตกตะลึงแล้วเขาก็รู้สึกวาบหวามในใจ เขาคิดในใจว่าหรือว่านางก็อยากใกล้ชิดกับเขาเช่นกัน…

ยังคิดไม่ทันจบหมิงเวยก็ดึงเขาเข้าไปในป่าเสียแล้ว

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” หยางชูพูดเสียงเบาเขาทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่า

หมิงเวยยังคงเดินต่อไปไม่หยุดพลางพูดว่า “งูขาวพบอะไรบางอย่าง ท่านมากับข้าเจ้าค่ะ”

“….” หยางชูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามนาง “ท่านจะพาข้าไปดูอะไร”

“ไปถึงท่านก็จะรู้เอง”

ทั้งสองเข้าไปในป่าและเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ

หยางชูถาม “ท่านเดินเช่นนี้รู้ทางหรือ”

หมิงเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ยังมีท่านอยู่ด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

หยางชูรู้สึกหมดหวัง แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที

“ท่านรู้ทางใช่หรือไม่” หมิงเวยถาม

“แน่นอน!” เขาตบอกตนเองเพื่อแสดงความมั่นใจ “ตราบใดที่มีความต่างกันเล็กน้อย ข้าดูออกแน่นอน”

พูดถึงเรื่องนี้เขาก็คิดนางดูคนไม่ออกดูทางไม่เป็น แต่นางมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ถือว่าเป็นส่วนเสริมหรือไม่ นางเป็นเช่นนี้ควรอยู่ข้างกายเขาถึงจะถูกแบบนี้เรียกว่าบุพเพสันนิวาสได้หรือไม่

ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นหมิงเวยก็มาถึงที่หมาย หลังจากผลักเขาเข้าไปในพุ่มไม้ นางก็ตามเข้าไปด้วย

ด้านหลังพุ่มไม้มีหินก้อนใหญ่และทั้งสองอยู่ใกล้กัน หยางชูได้กลิ่นยาจางๆ จากร่างกายของนาง อาจเป็นเพราะอาบน้ำยาทุกวัน และดูเหมือนว่าจะผสมกับกลิ่นอื่นๆ จึงมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ

หรือเมื่อกลับไปเขาถามสูตรยากับนางเพื่อนำไปอาบบ้างดี อืม…ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็มีกลิ่นเหมือนกัน….

ท้องฟ้ามืดลงอย่างสมบูรณ์บริเวณรอบกายเงียบสงัดแม้แต่เวลาก็ยังหยุดชะงัก ภายใต้ความเงียบนั้นมีเสียงกิ่งไม้แตกหักดังลอยเข้ามา

คนสองคนกำลังเดินมาทางนี้

หยางชูรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที ในเวลานี้เข้าป่ามาทำอะไรกัน ฟ้ามืดเพียงนี้ไม่เหมาะต่อการล่าสัตว์เลยสักนิด

จากนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “ที่นี่แหละ”

เขามองผ่านพุ่มไม้ภายใต้แสงจันทร์ส่องลงมา เขาเห็นคนสองคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไปสิบจั้ง แสงสลัวเกินกว่าจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของทั้งสองได้ มีเพียงเสียงเท่านั้นที่แยกแยะได้อีกฝ่ายควรเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกินสามสิบปี

อีกฝ่ายพูดขึ้นว่า “นำของมาด้วยหรือไม่”

คนผู้นี้มีเสียงแหบดูเหมือนว่าเส้นเสียงของเขาจะเสียหายฟังดูเหมือนคนมีอายุ

หยางชูขมวดคิ้วเส้นเสียงได้รับความเสียหายต้องไม่ใช่บุคคลในราชสำนักอย่างแน่นอนไม่มีขุนนางคนใดมีลักษณะเช่นนี้หรือจะเป็นบ่าวรับใช้จากตระกูลใดตระกูลหนึ่งกัน

เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้น “เอามา”

เขาหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อีกฝ่ายรับมาและมองลงมาช้าๆ

เด็กหนุ่มกล่าวว่า “นายท่านบอกว่านี่เป็นของทั้งหมดที่ท่านต้องการ ดูเถิด ต้องการอะไรนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่”

“ไม่แล้ว” บุคคลนั้นนำของไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “ลงคาถาต้องใช้เวลาหนึ่งวัน พวกท่านแค่รอก็พอแล้ว” เด็กหนุ่มรับคำ

คนผู้นั้นพูดอีกว่า “ยาที่ข้าให้พวกท่าน ต้องให้เป้าหมายใช้ในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นคาถาจะสลายไปข้าไม่รับผิดชอบนะ” เด็กหนุ่มรับคำอีกครั้ง

ทั้งสองพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้ยาเบื้องต้นจากนั้นก็แยกย้ายกันไป

หยางชูถอนหายใจแล้วถามนาง “ที่พวกเขาพูดหมายความว่าอย่างไร”

หมิงเวยออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ และเดินไปที่ใต้ต้นไม้ที่พวกเขานัดพบกัน จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วดม “สมุนไพรนี้มีกลิ่นพิเศษมากน่าจะเป็นพ่อมด”

“พ่อมดงั้นหรือ”

“ใช่ วิชาต่างๆ ในใต้หล้าเรียกรวมกันว่าเคล็ดวิชา แต่หากแบ่งย่อยออกไปจะมีหลายประเภทปกติแล้วไสยศาสตร์เป็นวิชาของเผ่าอื่นจะใช้ยารักษาโรค ถึงแม้สามารถใช้รักษาโรค และช่วยชีวิตผู้คนได้ แต่ก็เป็นพิษทำร้ายผู้คนได้เช่นกัน”

หยางชูขมวดคิ้วแน่น “เช่นนั้นมีคนนำไสยศาสตร์เข้ามาในเขตล่าสัตว์ เขาคิดจะทำอะไรเป้าหมายเป็นผู้ใดกัน”

“รอก่อน งูขาวกำลังตามสืบอยู่เจ้าค่ะ” ผ่านไปสักพักควันก็ลอยเข้ามาและตกลงบนฝ่ามือของหมิงเวย

“นายท่าน”

“จับได้หรือไม่”

งูขาวรู้สึกละอาย “ข้าใช้การไม่ได้เลย คนผู้นั้นไหวตัวเร็วมากไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน ข้าไล่ตามเขาไปสักพักแล้วก็หาไม่เจอแล้วเจ้าค่ะ”

หมิงเวยพยักหน้า “ดูเหมือนจะเป็นพ่อมดที่เก่งกาจมาก!”

งูขาวรีบบอกว่า “อีกคนข้าเห็นว่าเขาเข้าไปในบริเวณกระโจมฝั่งซ้าย…”

เมื่อได้ยินที่ตั้งของกระโจมสีหน้าของหยางชูมืดครึ้มลง “กองทหารรักษาพระองค์”

หมิงเวยคิดอย่างรอบคอบ “ผู้ที่สมคบคิดกับกองทหารรักษาพระองค์ ดูเหมือนแผนการของอีกฝ่ายจะไม่เล็กเลย ฝ่าบาท กุ้ยเฟย ฮุ่ยเฟยล้วนประทับอยู่ที่นั่น แล้วยังมีไท่จื่อกับองค์ชายอีกสองพระองค์…”

หยางชูกัดฟัน “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ต้องทำการค้นหาเดี๋ยวนี้!”

“เดี๋ยวเจ้าค่ะ!” หมิงเวยดึงเขาไว้ “ท่านแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้ กองทหารรักษาพระองค์ไม่ใช่ผู้บงการอย่างแน่นอน ตามหาเขาไม่ได้หมายความว่าหาผู้สั่งการพบ พ่อมดคนนั้นน่ากลัวมาก เขาปะปนอยู่ในกองล่าสัตว์ เมื่อสุนัขจนตรอกไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรมากมายตามหลังหรือไม่ แม้ข้าจะสามารถหยุดเขาได้ แต่ข้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนอื่นจะไม่ได้รับผลกระทบ”

“คนผู้นั้นเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

หมิงเวยพยักหน้า “วิธีที่เขาใช้ในการหลีกเลี่ยงงูขาวตัวน้อยในตอนนี้เป็นวิธีของฉีเหมิน เพื่อบิดเบือนในช่วงเวลาอันสั้นมีเพียงพ่อมดระดับสูงเท่านั้นที่สามารถทำได้”

หยางชูคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กองทหารรักษาพระองค์ถูกคนแทรกแซงหมายความว่าเกิดปัญหาในความปลอดภัยของฝ่าบาท หากไม่สามารถจับศัตรูมาถอนรากถอนโคนได้ก็จะเกิดปัญหาไม่รู้จบ”

หมิงเวยเห็นด้วย “เพราะฉะนั้นพวกเราต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ”

“อืม…แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานต่อเบื้องบนเพื่อให้ฝ่าบาทเตรียมตัวให้ดี ข้าจะไปส่งท่านกลับก่อน”

“ได้เจ้าค่ะ” เมื่อส่งหมิงเวยถึงบริเวณกระโจมแล้วหยางชูก็รีบเดินออกไป

หมิงเวยมองแผ่นหลังของเขานางยังคิดถึงเรื่องพ่อมดคนนั้น แต่หูก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยลอยมา “มีสัญญาหมั้นหมายแล้วแต่ยังลักลอบพบชายอื่น ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ!”

หมิงเวยหันศีรษะกลับไปและเห็นพี่น้องตระกูลเหวินยืนห่างออกไปไม่กี่จั้ง

คนที่พูดคือเหวินอิ๋ง ช่วงนี้เหวินหรูทำตัวเงียบมากไม่ถือหางนางอีกทำให้เหวินอิ๋งยิ่งดูโหดร้ายมากขึ้น หมิงเวยเหลือบมองแล้วหมุนตัวกลับเข้ากระโจมไป

ผู้ใดจะรู้ว่าเหวินอิ๋งเห็นนางทำเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธ นางเร่งเดินไม่กี่ก้าวเพื่อรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ “ทำไม ละอายใจงั้นหรือ”

เหวินหรูดึงแขนเสื้อนางแล้วพูดเสียงเบา “พี่สาม…”

เหวินอิ๋งหันกลับมาพูดต่อว่านาง “เจ้าเลิกแสร้งทำเป็นคนดีได้แล้ว กลับไปซะ!”

เหวินหรูปิดปาก

เดิมทีหมิงเวยไม่คิดสนใจนางพอหลีกเลี่ยงก็ถูกรั้งไว้ก็เริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าไม่ละอายใจแล้วเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย คุณหนูสามตระกูลเหวินสนใจมากเกินไปแล้ว!”

เหวินอิ๋งพูดอย่างดูถูก “เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น! คิดว่าทำตัวโดดเด่นแล้วจะบรรลุถึงผลสำเร็จเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ได้หรือ ช่างไม่ดูตนเองบ้างเลย!”

หมิงเวยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นขอถามคุณหนูสามตระกูลเหวินหน่อย ข้าเป็นคนอย่างไรหรือ”

…………….