เขาจะส่งมารดาหลี่มู่และสาวใช้ทั้งหลายไปยังเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
ไปหาเรื่องเจิ้นซีอ๋องบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แบบนี้ ภายในเมืองฉางอัน ต่อให้มีค่ายกลในเรือนซอมซ่อก็ไม่ถือว่าปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว มีเพียงที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่วาง ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ เอาไว้เท่านั้นถึงจะปกป้องพวกท่านแม่หลี่ได้
หลี่มู่จะลงมือต่อกรกับจวนเจิ้นซีอ๋องได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อพวกของท่านแม่หลี่ไม่กลายเป็นภาระ
นี่เป็นการวางแผนสำหรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด
เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้าตอบ “ขอรับ”
เขาในตอนนี้ใจหวาดผวา แม้แต่ความคิดที่จะเสนอข้อคิดเห็นให้หลี่มู่ก็ไม่เหลือแล้ว
รอจนเจิ้งฉุนเจี้ยนกลับไป หลี่มู่ก็ออกจากห้องหนังสือไปบอกมารดาเรื่องการตัดสินใจที่จะส่งพวกนางไปอำเภอขาวพิสุทธิ์
“มู่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่?” มารดาหลี่มู่ถามอย่างกังวล
หลี่มู่ยิ้มแล้วพูดตอบ “ไม่ใช่ เพราะข้าออกมานานเกินไปแล้ว งานราชการของอำเภอขาวพิสุทธิ์มากมายไม่มีใครดูแล ดังนั้นจึงต้องกลับไป และก็ถือโอกาสส่งพวกท่านกลับไปด้วยเลย วันข้างหน้าอย่างไรก็ต้องอาศัยอยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่แล้ว ที่นั่นทิวทัศน์งดงาม อากาศสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะให้รักษาบำรุงร่างกาย ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยมานานหลายปี ในกายมีโรคเก่า เหมาะที่จะไปรักษาฟื้นฟูสุขภาพที่นั่นเป็นที่สุด”
มารดาหลี่มู่ถึงได้วางใจ
นางอยู่ที่เมืองฉางอันมานานหลายปี พ่ายแพ้ล้มเหลวและได้รับความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิต นางก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรกับเมืองนี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเริ่มลงมือเก็บของมีค่าบางอย่างในบ้านด้วยกันกับเหล่าสาวใช้ชุนเฉ่าเซี่ยจวี๋ และเตรียมตัวไปจากที่นี่
“เพียงแต่เรือนเพิ่งจะปรับปรุงเสร็จ ภูมิทัศน์ปรับได้สวยมากทีเดียว น่าเสียดายอยู่บ้าง”
มารดาหลี่มู่เอ่ยอย่างเสียดาย
หลี่มู่พูดปลอบ “ไม่เป็นไร หากท่านแม่ชอบที่นี่ รอให้ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง เมื่องานราชการในอำเภอจัดการไปได้พอสมควรแล้ว ข้าจะหาเวลาพาท่านแม่กลับมาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ถือเป็นการผ่อนคลายและรำลึกความหลัง”
มารดาหลี่มู่พยักหน้ารับคำ
หลี่มู่อยู่ที่นี่ครู่หนึ่งก็ออกไปจากตรอกไล่หมู
เขายังต้องไปรับใครอีกคนหนึ่ง
……
ถนนกลิ่นกำจาย หน่วยเลี้ยงรับรอง
หอสดับเซียน
“อะไรนะ? เจ้าอยากชิงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่ง?” หลี่มู่ดื่มชาลงท้อง ครั้นฟังฮวาเสี่ยงหรงพูดจบ เขาก็รู้สึกประหลาดใจนัก
สำหรับเขา ฮวาเสี่ยงหรงบุคลิกงามสง่า ไม่มีจิตใจชอบเอาชนะใคร จากการที่คุยกันหลายวันก่อนหน้านี้นางก็ไม่มีใจเฝ้าใฝ่ฝันถึงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่ง ทำไมแค่ไม่กี่วันจึงพลันเปลี่ยนความคิดเสียได้?
ใบหน้างดงามหาใดเปรียบของฮวาเสี่ยงหรงเผยความหวาดหวั่น กลัวหลี่มู่จะไม่พอใจ จึงลนลานอธิบาย “คุณชายไม่อยากให้ข้าเที่ยวออกไปปรากฏตัวใช่หรือไม่? ที่จริงข้าก็ไม่ได้มีใจอยากแก่งแย่งชิงดี เพียงแต่ท่านแม่ไป๋เซวียนนาง…” ฮวาเสี่ยงหรงบอกเจตนาของไป๋เซวียนให้หลี่มู่ฟัง
อ้อ ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้
หลี่มู่เข้าใจในทันที
ฮวาเสี่ยงหรงพูดขึ้นอีกว่า “หลายปีมานี้ ดีที่ได้รับการดูแลจากท่านแม่ไป๋เซวียน ข้าถึงได้รักษากายที่ยังบริสุทธิ์เอาไว้ได้ในที่เริงรมย์แบบนี้ ไม่ถึงกับตกอยู่ในห้วงทะเลทุกข์ ข้าซาบซึ้งต่อท่านแม่ไป๋นัก บุญคุณครั้งนี้หากเมินเฉยไม่สนใจ ใจข้ายากจะสงบลงได้ แต่หากคุณชายไม่ยอม ข้าก็จะไม่ไปร่วมงานแบบนี้…”
หลี่มู่โบกมือติดๆ กัน บอกว่า “แม่นางฮวาคิดมากไปแล้ว…เอ่อ?” พูดจบไปครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เราไม่ใช่พวกทหารญี่ปุ่นสักหน่อย เอะอะๆ ก็เรียกแม่นางฮวา[1] ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเอ่ย “นับจากวันนี้ข้าเรียกเจ้าว่าฮวาเอ๋อร์ก็แล้วกัน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ บุญคุณความแค้นต้องแยกกันให้ชัดเจน เจ้าอยากตอบแทนท่านแม่ไป๋ แน่นอนว่าข้าย่อมสนับสนุน เพียงแต่วันนี้ที่มาเดิมทีคิดอยากจะพาเจ้าออกจากหน่วยเลี้ยงรับรองไปที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วยกัน เห็นทีวันนี้คงพาเจ้าไปไม่ได้แล้ว”
“เอ๋? คุณชายจะไปจากเมืองฉางอันแล้วหรือ?” ฮวาเสี่ยงหรงตกใจวูบหนึ่ง รู้สึกหมดหวัง เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
หลี่มู่พูดแกมหัวเราะ “แค่มีเรื่องกะทันหันเลยต้องกลับไปสักหน่อย ไปกลับอย่างมากสุดแค่สองวัน หลังจากนั้นก็กลับมาแล้ว”
แผนของเขาคือหลังจากส่งท่านแม่หลี่กลับไปอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วก็จะกลับมาเมืองฉางอันทันที
หนึ่งเพราะจะไปยืมหนังสือในคลังตำราของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และเสียงวิหคสวรรค์มาอ่าน
สองคือจะไปสุสานฉางอัน ลองดูดซับพลังฮวงจุ้ยฟ้าดินที่ซ่อนอยู่ในชีพจรมังกรใต้ดิน
อย่างน้อยช่วงนี้เขาจะต้องอยู่ในเมืองฉางอัน
ฮวาเสี่ยงหรงได้ยินหลี่มู่พูดเช่นนี้ ใจที่หนักอึ้งอยู่ก็ผ่อนลงเล็กน้อย ในใจซาบซึ้งต่อหลี่มู่ยิ่งนัก นางมองออกว่าเขาไม่ได้หยิ่งทะนงและดูถูกอิสตรีเหมือนกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป แต่ตามใจนางเป็นอย่างยิ่ง สนใจความรู้สึกของนางมาก ความอ่อนโยนและเป็นกันเองเช่นนี้ ไม่มีทางหาเจอในบรรดาคนใหญ่คนโตชนชั้นสูงทั้งหลายเลย
นี่ทำให้จิตใจของนางยิ่งผูกติดอยู่กับเขา
สามารถได้พบกับบุคคลเช่นนี้ในโลกโลกีย์ ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน
หวังเพียงได้พบคู่เคียงใจ แม้นผมขาวไม่แยกจากกัน
และตอนนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองหาคนเช่นนั้นเจอแล้ว
“วันนี้คุณชายอยากดูระบำหรือไม่?” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ย “สองวันนี้ข้าฝึกร่ายรำเพลงใหม่เพลงหนึ่ง”
หลี่มู่ยิ้มๆ แล้วพูดขึ้น “วันนี้ยังไม่ดูการร่ายรำ แต่มีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษากับฮวาเอ๋อร์”
“คุณชายเชิญเอ่ย” ฮวาเสี่ยงหรงคุกเข่าลงข้างกายหลี่มู่ กล่าวอย่างอยากรู้
หลี่มู่จึงบอกกับนาง “ฮวาเอ๋อร์เคยคิดอยากจะฝึกวรยุทธ์หรือไม่?”
ฮวาเสี่ยงหรงประหลาดใจ ย้อนถามว่า “คุณชายอยากให้ข้าฝึกวรยุทธ์? ข้าเองอิจฉาสตรีมีวรยุทธ์เป็นเลิศเหล่านั้นมาก มีบุญคุณก็ทดแทนมีแค้นก็ชำระ เพียงแต่เมื่อก่อนที่อยู่ในตระกูลซ่างกวน ท่านพ่อท่านแม่ไม่ยอมให้ข้าฝึกวรยุทธ์ ไม่อยากให้ข้าลำบาก ภายหลังตระกูลตกอับ คิดอยากจะฝึกวรยุทธ์ก็ไม่มีโอกาสอีก ตอนนี้ข้าพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับฝึกยุทธ์ไปแล้ว…” สีหน้าของนางเศร้าสลดเล็กน้อย
หลี่มู่บอก “ใครว่าพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกยุทธ์ไปกัน นั่นก็แค่คนโง่ไม่รู้เรื่องราวเท่านั้น คุณสมบัติกายของฮวาเอ๋อร์เป็นหนึ่งในหมื่น มีพรสวรรค์ราวเทพเซียนในหนทางแห่งการฝึกฝน หากเจ้ายินดีที่จะฝึกยุทธ์ ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้ชุดหนึ่ง”
ใบหน้าของนางฉายรอยยิ้มงามพิลาศชวนหลงใหล พูดอย่างอ่อนหวานว่า “ขอเพียงเป็นวิชาที่คุณชายถ่ายทอดให้ ข้าก็ยินดีที่จะเรียน”
หลี่มู่ส่ายหน้า ท่าทางแบบนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้สนใจเรื่องการต่อสู้สักเท่าไหร่ เพียงแค่โอนอ่อนตามตนเท่านั้นถึงได้พูดเช่นนี้ แต่ว่านี่ก็ไม่แปลก นิสัยของฮวาเสี่ยงหรงอ่อนโยน นุ่มนิ่ม ไม่แก่งแย่งช่วงชิง จิตใจดีเป็นที่สุด
“ดี วิชาข้าชุดนี้ชื่อว่า ‘วิชาก่อนกำเนิดเทพนารี’ ไม่จำเป็นต้องตรากตรำฝึกฝน เป็นแค่วิธีการหายใจอย่างหนึ่ง ข้าจะถ่ายทอดวิธีการควบคุมจิตใจขั้นที่หนึ่งให้เจ้า ฟังให้ดีล่ะ…”
หลี่มู่พูดแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึม จากนั้นจึงเริ่มถ่ายทอดวิชา
ใช่แล้ว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถ่ายทอด ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ให้กับฮวาเสี่ยงหรง
กายเต๋าฟ้าประทานมีแตกต่างกันหลายประเภท ซินแสเฒ่าเคยชื่นชมและกล่าวไว้ว่า ในจักรวาลผืนฟ้าดวงดาวมีอัจฉริยะมากมายเปล่งแสงประชันกัน ผู้ทรงอำนาจที่ปกครองดินแดนใดดินแดนหนึ่งเหล่านั้นล้วนแต่พัฒนาจากคุณสมบัติกายที่หายากทั้งสิ้น กายเต๋าฟ้าประทานอยู่ในคุณสมบัติกายเป็นเลิศพวกนี้ และนับว่าจัดอยู่ในอันดับต้นๆ หายากยิ่งนัก
หลี่มู่จินตนาการได้เลยว่า หากฮวาเสี่ยงหรงพัฒนาขึ้นมาจะแข็งแกร่งเพียงใด
หากจะให้นางอยู่ข้างกายร้องรำทำเพลงไปทุกวันๆ ช่วยเหลือตนฝึกฝน ไม่สู้ให้นางพัฒนาขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน จนเป็นเทพยุทธ์สตรีที่แข็งแกร่งในดินแดนหนึ่งเสียดีกว่า สำหรับหลี่มู่แล้วเช่นนี้ถึงจะได้ประโยชน์มากที่สุด
วันข้างหน้า เมื่อหลี่มู่ออกจากดาวดวงนี้ไป คิดอยากจะช่วยกอบกู้ชะตากรรมของโลก พลังของคนคนหนึ่ง ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็ยังอ่อนแอไร้พลังอยู่ดี บางครั้งมักจะเจอสถานการณ์ที่คู่ต่อสู้ใช้วิชาร่างแยก หากมีผู้ช่วยสถานการณ์จะดีขึ้นอีกมากแน่
จุดนี้พิจารณาจากด้านผลประโยชน์ของหลี่มู่เอง
หากพิจารณาจากมุมของฮวาเสี่ยงหรง หากกายเต๋าฟ้าประทานไม่ฝึกฝน พรสวรรค์จะสูญเปล่าเป็นแน่ สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมมากนัก
ดังนั้น หลี่มู่ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้
แน่นอน สิ่งที่เขาถ่ายทอดให้ฮวาเสี่ยงหรงไม่ใช่เนื้อหาของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ทั้งหมด แต่ผ่านการดัดแปลงให้ง่ายขึ้นชั้นหนึ่ง แล้วก็ยังเปลี่ยนชื่อเป็น ‘วิชาก่อนกำเนิดเทพนารี’ อีกด้วย จึงไม่ต้องกังวลว่าวิชาจะรั่วไหลอะไรทำนองนี้ เมื่อนางฝึกฝนสำเร็จ พลังก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ค่อยถ่ายทอดขั้นต่อไปให้ก็ยังไม่สาย
อีกครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่มู่ก็อธิบาย บรรยาย สาธิตถึงแก่นแท้และประสบการณ์ในวิชาให้นางไม่หยุด
ในฐานะที่นางเป็นผู้เริ่มศึกษาที่โง่เรื่องการยุทธ์เสียยิ่งกว่าหลี่มู่ ฮวาเสี่ยงหรงดูเงอะงะอย่างเห็นได้ชัด
แต่กายเต๋าฟ้าประทานก็คือกายเต๋าฟ้าประทาน ฮวาเสี่ยงหรงฉลาดปราดเปรื่อง เมื่อนางเข้าใจคำศัพท์เฉพาะและทฤษฎีด้านการฝึกยุทธ์คร่าวๆ แล้ว ก็เริ่มเข้าสู่สภาพที่ดีที่สุด
ไม่นานนัก นางก็เข้าสู่สภาวะฌาน
นางสวมชุดกระโปรงหรูฉวินเกาะอกสีขาวผ้าโปร่งบาง เท้าขาวเนียนเปลือยเปล่า นิ้วเท้าเรียงชิด นั่งขัดสมาธิ ผมยาวดำขลับแผ่สยายข้างกายเป็นรูปทรงจานกลมดำเงางาม หญิงงามที่อยู่ในสภาวะฌาน ใบหน้างามล้ำราวหยกชั้นเลิศ ดวงตาปิดสนิท หน้าสีท่าท่างศักดิ์สิทธิ์อ่อนโยน ขนตายาว ชวนให้คนเคลิบเคลิ้มกับเส้นโค้งนั่น
หลี่มู่เหม่อลอยไปเล็กน้อย
‘กายเต๋าฟ้าประทานจะน่ากลัวไปหน่อยแล้วกระมัง ฝึกฝนครั้งแรกก็เข้าสภาวะฌานได้แล้ว’
ถึงแม้จะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังตกใจกับความเร็วในการฝึกฝนของฮวาเสี่ยงหรงอยู่ดี
นี่ทำให้เขายิ่งคาดหวังกับอนาคตเส้นทางด้านการฝึกยุทธ์ของนาง
“ไม่ใช่ว่าพอไม่ระวังก็สร้างสตรีเทพยุทธ์ที่พัดกวาดไปทั่วจักรวาลเข้าหรอกนะ?” หลี่มู่มีเหตุผลที่คิดแบบนี้
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากการหายใจของนางว่า พลังวิญญาณในฟ้าดินรอบๆ รวมตัวไปยังร่างของนางราวกับพายุหมุน เหมือนแย่งชิงกันทะลักเข้าไปในร่างนางจากทางจมูกหรือแม้กระทั่งรูขุมขนทั่วร่าง
ความเร็วระดับนี้ไม่ด้อยไปกว่าตอนที่หลี่มู่ฝึกวิชาก่อนกำเนิดครั้งแรกยามมาถึงโลกใบนี้เลย
ทว่า หลี่มู่สะสมพลังจากการฝึกฝนเมื่อตอนอยู่บนโลกมาแล้วสิบกว่าปีเชียวนะ
กายเต๋าฟ้าประทานช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ
หลี่มู่คิดแล้วก็กางค่ายกลโดยรอบห้อง
แบบนี้สามารถเลี่ยงไม่ให้มีระลอกคลื่นพลังฟ้าดินสร้างจุดสังเกตให้คนที่ไม่ประสงค์ดี
เมืองฉางอันไม่ใช่เมืองเล็กๆ อย่างอำเภอขาวพิสุทธิ์ ยอดฝีมือในเมืองมีมากมาย ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานก็มี หากมีใครสัมผัสหรือสังเกตอะไรได้จะดึงดูดปัญหาที่ไม่จำเป็นมา
หลี่มู่คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ตลอด
จวบจนหลังจากผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็หยุดการฝึกฝนครั้งแรกของฮวาเสี่ยงหรง
เพราะเขาจะต้องไปแล้ว
……………………………………………………
[1] แม่นางฮวาหรือฮวากูเหนี่ยง (花姑娘) ตรงนี้ มีอีกความหมายหนึ่งคือหญิงขายบริการ และเมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน ทหารญี่ปุ่นมักใช้คำนี้พูดล้อเลียนแทะโลมสตรีชาวจีน หลี่มู่จึงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม