ตอนที่ 293 ยอมรับแล้ว?

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“เจ้าและแม่ของเจ้ามีความคิดที่ลึกล้ำเหมือนกัน!” หยางมู่หลินไม่มีสีหน้าลำบากใจแม้แต่น้อย กล่าวทั้งคลี่ยิ้ม “นางเป็นคนที่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องการหลักฐานมายืนยันเช่นกัน!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างไม่พูดอันใด รอคำอธิบายและการแสดงหลักฐานจากเขา และหยางมู่หลินก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ควักเอากล่องเครื่องประดับออกมาจากเสื้ออย่างระมัดระวัง ด้านในมีเครื่องประดับชุดหนึ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในปีนั้นยายของเจ้าได้เตรียมเครื่องประดับชุดนี้เป็นสินเจ้าสาวให้แม่ของเจ้า ตามหาช่างเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงที่สุดในเซิ่งจิง แม้จะไม่ได้ล้ำค่าเหมือนของราชวงศ์ขนาดนั้น แต่คนธรรมดาย่อมไม่แน่ว่าจะสามารถครอบครองได้ หลังจากแม่เจ้าให้กำเนิดเจ้า ก็ให้คนส่งเครื่องประดับชุดนี้มาให้ข้า เพื่อให้ข้าสามารถเอาไว้ดูต่างหน้า ทั้งเพื่อยามที่เจ้าแต่งงาน ข้าจะสามารถสวมเครื่องประดับชุดนี้ให้เจ้าด้วยมือของข้า…”

นั่นเป็นทองประดับตกแต่งด้วยหยกสีแดงชุดหนึ่ง กำไลข้อมือแบบโบราณเรียบง่ายที่ใช้วิธีสลักนูนเป็นลวดลายนกเฟิ่งหวงที่กำลังโบยบินหนึ่งวง ต่างหูทองรูปหงส์โผบินอย่างสง่างามประดับหยกคู่หนึ่ง ทั้งปิ่นทองลวดลายหงส์ที่ในปากมันยังประดับด้วยหยกแดง ปีกทั้งสองข้างที่สั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาก็ประดับด้วยหยกแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าว นั่นเป็นเครื่องประดับที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุ้นตาเป็นอย่างมาก

“เครื่องประดับชุดนี้ที่แม่เจ้าทิ้งไว้ แม่นมฉินและเซียงหลิงล้วนคุ้นเคยดี พวกนางย่อมรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเครื่องประดับชุดนี้” หยางมู่หลินชูเครื่องประดับในมือให้มี่เอ๋อร์ดู ก่อนกล่าว “ปีนั้น ยามที่ข้าและแม่ของเจ้าพบกัน เซียงหลิงก็ติดตามอยู่ข้างกาย เจ้าสามารถถามนางได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”

“แม่นมฉินและเซียงหลิงผู้นั้น ข้าให้ซั่งกวนเอ๋อร์ไปพามาจากอารามสัตตบุษย์แล้ว!” ท่านบรรพชนกล่าวเรียบนิ่ง เมื่อวานหยางมู่หลินก็พูดเช่นนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว เวลานั้นเขาจึงส่งซั่งกวนเอ๋อร์ไปรับทั้งสองคนมาจากอารามสัตตบุษย์ แต่ไม่ได้พบกับหยางมู่หลิน ทั้งไม่ได้ให้พูดคุยอะไร เพียงจัดการที่เหมาะสมให้พวกนางพักผ่อน จากนั้นก็ส่งคนไปเฝ้าดูเท่านั้น

“อย่างไรขอท่านบรรพชนออกคำสั่งให้คนพาแม่นมฉินและป้าเซียงมาด้วยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดิ่งลึกในใจ หรือแม่นมฉินก็…นางไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ

“อื้ม!” ท่านบรรพชนพยักหน้าเล็กน้อย ก็มีคนออกไปอย่างรู้งานทันที ไม่นาน แม่นมฉินและเซียงหลิงก็ถูกคนเชิญเข้ามาในห้องโถง หลังจากแม่นมฉินพบพวกหยางมู่หลินก็จ้องมองด้วยความโกรธ ยืนอยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่ลังเลทันที ด้านเซียงหลิงกลับยืนสงบเสงี่ยมในห้องโถง ไม่ได้เข้าใกล้ฝ่ายใด แต่ก็ไม่ได้แสดงความห่างเหินต่อฝ่ายใดเช่นกัน

“แม่นมฉิน ป้าเซียง พวกเจ้าลองดูของในมือท่านโหวหยางว่ารู้จักหรือไม่” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ผ่อนคลายลงมาก ใบหน้าก็เผยยิ้มบาง นางพึงพอใจกับท่าทีของแม่นมฉินเป็นอย่างมาก

“นั่นเป็นของคุณหนูฉิง!” เซียงหลิงมองแวบเดียวก็กล่าวยืนยัน “นี่เป็นของที่ฮูหยินตั้งใจทำเพื่อคุณหนูฉิงยามที่อยู่เซิ่งจิงในปีนั้น เชิญช่างที่มีฝีมือดีที่สุด ตั้งใจทำให้คุณหนูยามที่ออกเรือน ข้าเคยเห็นคุณหนูใส่อยู่หลายครั้ง”

“ดูเหมือนจะเป็นของคุณหนูฉิง” แม่นมฉิงมองไปทีหนึ่ง ก่อนกล่าว “ยามที่คุณหนูอายุเก้าขวบในปีนั้น ไม่รู้ว่านายท่านไปได้หยกแดงเนื้อดีมาจากที่ใด จึงใช้หยกก้อนนั้นทำเป็นกำไลข้อมือคู่หนึ่ง ให้กับฮูหยินชิ้นหนึ่ง อีกชิ้นเตรียมเป็นสินเจ้าสาวให้คุณหนูฉิง ส่วนที่เหลือก็แกะสลักเป็นหยกประดับ ทั้งยังทำปิ่นหงส์และต่างหูประดับด้วยหยกแดง คุณหนูชื่นชอบเป็นอย่างมาก แต่ก็สวมเพียงครั้งเดียว เป็นยามที่เข้าพิธีแต่งงาน เครื่องประดับชุดนี้ของท่านโหวหยางดูเหมือนเครื่องประดับที่คุณหนูมีอย่างมาก แต่บ่าวเชื่อว่า นี่ย่อมไม่ใช่ของชิ้นนั้นของคุณหนู”

หยางมู่หลินเผยยิ้มเล็กน้อย “เครื่องประดับชุดนี้เสวี่ยฉิงให้คนส่งมาให้ข้ายามที่มี่เอ๋อร์เพิ่งจะเกิดไม่นาน แม่นมย่อมไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว”

“คุณหนูฉิงส่งให้เจ้า?” แม่นมฉินมองเขาอย่างเยือกเย็น “แม้คุณหนูจะหลอมของสิ่งนี้หรือทำลาย แต่ย่อมไม่อาจเอาให้เจ้าเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น เวลานั้นคุณหนูคิดว่าเจ้าถูกกรรมตามสนอง ตายไม่เป็นชิ้นดีแล้ว จะส่งของให้เจ้าได้อย่างไร? เจ้าอย่าได้พูดจาโป้ปดที่นี่ ทำลายชื่อเสียงคุณหนูฉิงจะดีกว่า!”

“แม่นมฉิน…” เซียงหลิงเผยสีหน้าลำบากใจมองแม่นมฉิน กล่าวคล้อยตามหยางมู่หลิน “เครื่องประดับชุดนี้คุณหนูฉิงให้ข้านำไปส่งให้ท่านอ๋อง กล่าวว่าให้ท่านอ๋องดูเป็นของต่างหน้า ยังกล่าวว่าหวังว่าสักวันหนึ่ง ท่านอ๋องจะสามารถมอบของพวกนี้ให้สะใภ้ใหญ่ด้วยมือตัวเอง…”

“เหลวไหล! นี่ไม่อาจเป็นไปได้!” แม่นมฉินกล่าวอย่างหนักแน่น “คุณหนูฉิงจงเกลียดจงชังชายที่ใบหน้าเป็นมนุษย์ จิตใจเดรัจฉานผู้นี้มาก ยามที่ออกจากเซิ่งจิงใช้ความคิดตั้งมากมาย เสียแรงกายแรงใจไปไม่น้อย ทั้งสาบานต่อหน้านายท่านและฮูหยิน กล่าวว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ทำร้ายครอบครัวของพวกเขาราวกับเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้อีก คุณหนูฉิงจะติดต่อกับเขาได้อีกอย่างไร ทั้งจะเอาของที่ฮูหยินเตรียมไว้ให้นางมอบให้เดรัจฉานผู้นี้ได้เช่นไร! ย่อมต้องเป็นคนต้อยต่ำอย่างเจ้าที่ถูกเขาล่อลวง ดังนั้นจึงได้พูดจามั่วซั่วที่นี่!”

“แม่นมฉิน เหตุใดเจ้ายังไม่เข้าใจอีก?” เซียงหลิงกล่าวทั้งทอดถอนหายใจ “คุณหนูฉิงส่งเครื่องประดับชุดนี้ให้ท่านอ๋อง ก็เพื่อให้ท่านอ๋องและสะใภ้ใหญ่สองพ่อลูกได้พานพบกันในวันหนึ่ง…”

“หุบปาก!” แม่นมฉินก่นด่าอย่างไม่อาจยั้งอารมณ์ไว้ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไรอยู่? เจ้ากำลังทำลายชื่อเสียงคุณหนูฉิงว่าไม่เป็นกุลสตรี เป็นหญิงใจง่าย! เจ้ากำลังหมายความว่าฐานะของสะใภ้ใหญ่ไม่ใสสะอาด เป็นลูกนอกสมรสที่ใครๆ ก็สามารถดูหมิ่นดูแคลนได้…เซียงหลิง แค่คำพูดโป้ปดเหลวไหลพวกนี้ของเจ้า ก็เพียงพอให้เจ้าถูกลงโทษตีให้ตายแล้ว! สะใภ้ใหญ่ บ่าวน่าขยะแขยงเช่นนี้จำเป็นต้องลงโทษสถานหนัก ตีนางให้ตายทั้งเป็นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ!”

“แม่นมฉิน นี่เจ้าคิดจะยุยงให้มี่เอ๋อร์ฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ?” หยางมู่หลินไม่ได้ขอความเมตตาแทนเซียงหลิง ทั้งไม่ได้อธิบายอันใด เพียงย้อนถามอย่างเรียบนิ่ง ด้านแม่นมฉินยิ่งโมโหจนดวงตาแดงก่ำไปหมด

“แม่นม ไม่จำเป็นต้องรีบ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตบมือปลอบแม่นมฉินเบาๆ “ท่านโหวหยางผู้นี้กล่าวว่าเขาป่วยไร้ทางรักษา หวังจะจะได้รับการยอมรับจากลูกสาวก่อนตาย ซึ่งก็คือข้า และเครื่องประดับในมือของเขาเป็นหนึ่งในหลักฐาน เซียงหลิงก็เป็นหนึ่งในพยานเช่นกัน”

“สะใภ้ใหญ่ เครื่องประดับนั้นไม่เพียงพอจะเป็นหลักฐาน!” แม่นมฉินกล่าวโต้แย้ง “คนที่รู้จักเครื่องประดับนั้นมีไม่น้อย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเครื่องประดับชุดนี้อาจจะเป็นคนที่ทำเครื่องประดับคนแรกให้คุณหนูเป็นคนปลอมแปลงขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นของจริงก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเป็นหลักฐานอะไร เซียงหลิงรับใช้ข้างกายคุณหนูมาหลายปีถึงเพียงนั้น ยามที่คุณหนูฉิงจากไป นางแทบจะสามารถฉวยโอกาสยามที่ทุกคนชุลมุนวุ่นวายเก็บซ่อนของชิ้นนี้ไว้ได้โดยสิ้นเชิง ของของคนตายชิ้นหนึ่ง บ่าวต่ำต้อยที่ทรยศเจ้านายคนหนึ่ง จะสามารถเป็นพยานหลักฐานอะไรได้! หากจะพูดถึงพยานบุคคล บ่าวก็เห็นคุณหนูฉิงตั้งแต่กำเนิดจนเติบใหญ่ ทั้งส่งคุณหนูจากโลกนี้ไปอย่างเศร้าอาดูร ข้าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูได้มากที่สุด หลังออกจากเซิ่งจิง นางย่อมไม่อาจติดต่ออันใดกับคนเลวในคราบผู้ดีเบื้องหน้าผู้นี้แน่ คนผู้นี้เหมือนกับคนของตระกูลจง เพียงเห็นแสงสว่างของท่านในยามนี้ คิดจะใช้ประโยชน์จากท่าน สิ่งที่แตกต่างกันคือ คนผู้นี้ใช้วิธีต่ำช้า ทั้งน่าขยะแขยงมากกว่าเท่านั้น!”

คำพูดนี้กล่าวได้ดี! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองแม่นมฉิน ปัญหาหนึ่งในใจที่กังวลมากที่สุดได้รับการแก้ไขไปแล้ว นางแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านโหวหยาง ข้าคิดว่าข้อสงสัยของข้าจะถูกแม่นมฉินพูดออกมาหมดแล้ว หลักฐานและพยานของท่านไม่เพียงพอให้คนเชื่อถือได้ ทั้งนับว่าไม่มีประโยชน์ ไม่รู้ว่าท่านโหวหยางยังมีหลักฐานอะไรอีกหรือไม่?”

“ข้ารู้ว่าแม่นมฉินมีอคติกับข้า แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีอคติลึกล้ำถึงเพียงนี้” หยางมู่หลินยิ้มขมขื่น จากนั้นก็ค้อมกายให้กับแม่นมฉิน “แม่นม หากในอดีตข้าเคยล่วงเกินอะไรเจ้า อย่างไรขอให้เจ้าเห็นแก่หน้าของเสวี่ยฉิงและมี่เอ๋อร์อภัยให้…”

“ถุย!” แม่นมฉิน ‘ถุย’ ออกมาอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “เจ้ายังกล้าเอ่ยถึงคุณหนูฉิง เจ้าหลอกใช้คุณหนูฉิงมาปกปิดความทะเยอทะยานที่โฉดชั่วของตัวเอง ทำลายคุณหนูฉิงให้แบกชื่อเสียง ‘หญิงงามล่มเมือง’ ทำให้นายท่านถูกพ่อของตัวเองขับไล่ออกจากตระกูล ทำให้ครอบครัวคุณหนูฉิงจำต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไป…ยามนี้ เจ้ายังคิดจะทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของคุณหนูฉิงอีก?”

“แม่นม เขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองท่าทีเปี่ยมด้วยอารมณ์ของแม่นมฉินอย่างกังวล กล่าวปลอบใจ “ข้าเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ด้านหลังของข้าย่อมมีตระกูลซั่งกวนคอยคุ้มครอง เขาไม่อาจทำอะไรข้าได้ อย่างไรเจ้ากลับไปพักผ่อนเสียหน่อยจะดีกว่า”

แม่นมฉินไม่อยากไป แต่ยังคงถูกคนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสายตาให้เป็นนัยพยุงออกไป แววตากังวลทั้งห่วงใยที่นางเผยก่อนจากไปทำให้มี่เอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นในใจ แม่นมฉินไม่ได้ทรยศต่อความเชื่อใจของมารดา

“ท่านโหวหยางยังมีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหยางมู่หลิน ไม่แสดงท่าทีอันใดแม้แต่น้อย

“เอาเถิด! คำพูดของเซียงหลิงไม่อาจเป็นหลักฐานได้ เช่นนั้นคำพูดของนายท่านเยี่ยนเล่า?” หยางมู่หลินไม่แปลกใจกับท่าทีของแม่นมฉินแม้แต่น้อย แม้นมฉินนับว่าจงรักภักดีกับครอบครัวของจงเสวี่ยฉิง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมนางให้เป็นพยานของตัวเองได้ ทั้งเคยให้เซียงหลิงหาโอกาสกำจัดภัยร้ายผู้นี้ซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเซียงหลิงความสามารถไม่พอหรือแม่นมฉินระมัดระวังมากเกินไป ยากที่จะรับมือ จึงหลงเหลือภัยร้ายนี้ไว้ แต่ว่า เขาเตรียมการได้อย่างเพียบพร้อม เขาประสานมือให้นายท่านเยี่ยน “ยามนี้ก็ทำได้เพียงให้นายท่านเยี่ยนพูดความจริงแล้ว!”

“มี่เอ๋อร์ ที่ท่านโหวพูดล้วนเป็นความจริง เจ้าฟังที่ท่านโหวพูด ยอมรับเขาเถิด!” นายท่านเยี่ยนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเหี่ยวแห้ง แต่ยามที่แววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จดจ่อมาที่เขา เขากลับหลบสายตาอย่างร้อนตัว

“ท่านพูดอีกครั้งซิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แทบที่จะกล่าวคำพวกนี้ลอดไรฟันออกมา คืนก่อนที่นางจะแต่งให้ซั่งกวนเจวี๋ย นายท่านเยี่ยนทำให้นางได้รับความรู้สึกของพ่อลูกที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ในจดหมายมารดากล่าวว่าเขาจะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่มั่นคงที่สุดของตัวเอง ยามที่ตนเองท้องหมิงเอ๋อร์ อาเจียนจนเวียนหัวตาลาย จดหมายหนึ่งฉบับที่ส่งมาพร้อมรายการอาหารทำให้นางมีความอยากอาหารขึ้นมา ทั้งคลายอาการรุนแรงนั้นลง…แม้จะไม่ได้ติดต่ออย่างสนิทสนมกับเขามากมาย แต่นางเชื่อคำพูดของมารดา เชื่อมั่นว่าเขาเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่ง แต่ยามนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะให้ตัวเองเชื่อในคำพูดของหยางมู่หลิน!

“มี่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากยอมรับเรื่องเช่นนี้ แต่บางครั้งเรื่องก็มักจะเหนือความคาดหมาย” นายท่านเยี่ยนกล่าวทั้งแย้มยิ้ม ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากให้มีแส้สักอันอยู่ในมือ จะตวัดรอยยิ้มเขาออกมา จากนั้นก็ทิ้งไว้ที่พื้นเหยียบขย้ำอย่างแรงๆ…

“ยามนี้มี่เอ๋อร์เชื่อแล้วหรือยัง?” หยางมู่หลินพอใจในคำพูดของนายท่านเยี่ยนเป็นอย่างมาก ทั้งพอใจท่าทีที่ราวกับถูกฟ้าผ่าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ใบหน้ายังคงเผยยิ้มสนิทสนมอย่างจอมปลอม ทั้งยังดูเข้าอกเข้าใจ “มี่เอ๋อร์ ยังต้องการหลักฐานที่หนักแน่นอะไรกว่านี้หรือไม่?”

“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!” นายท่านเยี่ยนกล่าวอย่างรีบร้อน “หากมี่เอ๋อร์ไม่เชื่อสามารถใช้วิธีตรวจเลือดนับญาติได้!”

วิธีตรวจเลือดนับญาติก็ดึงออกมาเช่นกัน! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อมั่นว่าตัวเองย่อมไม่ใช่ลูกสาวของหยางมู่หลิน ไม่อย่างนั้นมารดาต้องบอกเรื่องนี้ในจดหมายเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นในมือของตัวเองคงไม่อาจมีเครื่องประดับหยกแดงที่เหมือนของหยางมู่หลิน แต่คำพูดของนายท่านเยี่ยนทำให้นางเหน็บหนาวในใจอย่างถึงที่สุด นางมองหยางมู่หลิน ทั้งมองนายท่านเยี่ยนอย่างลึกล้ำ กล่าวในใจอย่างเศร้าอาดูร ‘ท่านแม่ ท่านมองคนผิดแล้ว!’

“มี่เอ๋อร์…” นายท่านเยี่ยนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกังวลอยู่บ้าง ความเป็นห่วงในแววตาของเขาไม่มีความเสแสร้งแม้แต่น้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างเยือกเย็นไปที จากนั้นก็กล่าวเน้นเสียง “ตรวจเลือดนับญาติคงไม่มีความจำเป็น ในเมื่อพยาน หลักฐานเพียงพอให้เชื่อถือ เช่นนั้น ข้ายอมรับคำพูดของท่านโหวหยาง”

ยอมรับแล้ว? ยอมรับง่ายๆ เช่นนี้? ท่านบรรพชนอดขมวดคิ้วไม่ได้ บรรดาผู้อาวุโสล้วนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างตกใจ ซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งยืนขึ้นมาอย่างตกตะลึง ต่างคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะยอมรับกบฏเป็นบิดาง่ายๆ เช่นนี้

หยางมู่หลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เก่งกาจกว่าจงเสวี่ยฉิงในปีนั้นอยู่มาก แต่ดีที่นางเหมือนกับข้อมูลที่ตรวจสอบมา ให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ ในที่สุดก็รับปาก ขอเพียงแค่นางยอมรับตัวเองเป็นบิดา เช่นนั้นทุกอย่างก็ง่ายแล้ว…