ตอนที่ 158 ข่าวดีที่มาอย่างกะทันหัน

ชายาเคียงหทัย

เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนั้น สีหน้าเฟิ่งจือเหยาก็บิดเบี้ยวขึ้นทันที พักใหญ่ถึงได้กัดฟันกรอดเอ่ยว่า “ม่อจิ่งฉี! ท่านอ๋องใจอ่อนเกินไปแล้ว ข้าบอกตั้งนานแล้วว่า ตัวเขาเองยังไม่อยากได้แผ่นดินต้าฉู่แล้วพวกเราจะไปยุ่งให้มากเรื่องเช่นนั้นเพื่อเหตุใด ยกทัพบุกเมืองหลวงไปเลยก็สิ้นเรื่อง ดูซิว่าเขายังจะมีลูกไม้อันใดอีก!”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้าทอดถอนใจ “หากไปทำอันใดม่อจิ่งฉีในยามนี้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์ของพวกเราย่ำแย่ลงไปอีก”

 

 

ไม่ว่าจิตใจของมั่วจิ่งฉีจะมืดมิดและชั่วร้ายเพียงใด แต่อย่างไรเขาก็ไม่ถึงกับเป็นประมุขที่ไร้ซึ่งคุณธรรม ในใต้หล้านี้ผู้คนต่างได้รับการอบรมทุกอย่างกันตามประเพณี คนที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ย่อมมีอยู่ไม่น้อย แล้วยิ่งมีคำกล่าวที่ว่า หากประมุขต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางมิอาจไม่ตายได้อีกด้วยแล้ว หากยามนี้กองทัพตระกูลม่อคิดจะตัดขาดกับม่อจิ่งฉีขึ้นมากะทันหัน มีแต่จะทำให้ทหารที่ประจำการอยู่ตามที่ต่างๆ ที่ยังไม่ได้เข้าร่วมในการศึกครั้งนี้ คงถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์รบอันวุ่นวายนี้ด้วยเป็นแน่ แล้วหากเปิดช่องให้ผู้อื่นได้ฉกฉวยโอกาส ถึงยามนั้นไม่เพียงต้าฉู่ที่จะต้องสูญสิ้น เกรงว่ากองทัพตระกูลม่อเองก็คงไม่เหลือเช่นกัน

 

 

สิ่งที่เยี่ยหลีพูด มิใช่ว่าเฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจ เพียงแต่ยากที่จะทำจิตใจให้สงบได้เท่านั้น

 

 

“ยามนี้พวกเราควรทำเช่นไร”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่สว่างสดใส ก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอันใด ก็ต้องยื้อตัวเจิ้นหนานอ๋องไว้ให้ได้ อย่าให้เขายื่นมือเข้าไปยุ่งกับการศึกในจงหยวนเป็นอันขาด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาตกใจเล็กน้อย มองแผ่นหลังที่ดูแบบบางแต่ตั้งตรงประหนึ่งด้ามพู่กันตรงหน้า ในใจนึกเข้าใจว่า ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอันใดที่นางพูดนั้นหมายความถึงสิ่งใด คู่ปรับที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าคือเจิ้นหนานอ๋องที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงคราม แล้วยังมีทัพของซีหลิงที่ยกมาเสริมกันไม่ได้หยุด แต่กองทัพตระกูลม่อที่เหลือยอยู่ในซีเป่ยนั้นก็มีเพียงสองแสนนายเท่านั้น “ข้าน้อยรับบัญชา!”

 

 

เมื่อให้เฟิ่งจือเหยาถอยออกไปแล้ว เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ หลายวันนี้ร่างกายนางอ่อนเพลียง่ายเหลือเกิน ยามนี้เพิ่งเป็นช่วงปลายเดือนเก้าเท่านั้น เพียงยืนรับลมอยู่บนกำแพงเมืองได้ไม่เท่าไร ก็กลับรู้สึกเวียนหัวและไม่สบายสักเท่าไรเสียแล้ว หากเป็นยามปกติ ผู้ใดต่างก็มีช่วงที่ร่างกายอ่อนแอด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในยามนี้นางกลับมิอาจล้มลงได้ มือข้างหนึ่งยกจับกำแพงเมืองไว้ หลุบตาลงรอให้อาการเวียนหัวนี้หายไป เยี่ยหลียกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว อดรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นไม่ได้

 

 

“ท่านไม่สบายหรือ” เสียงของหานหมิงเย่ว์ลอยดังมาจากด้านหลัง ช่วงหลายวันนี้หานหมิงเย่ว์สงบเรียบร้อยดีมาก นอกจากเยี่ยหลีให้องครักษ์ลับคอยสอดส่องบ้างแล้ว ก็มิได้ยุ่งวุ่นวายอันใดกับเขาอีก

 

 

หานหมิงเย่ว์เองก็ว่าง่าย ส่วนใหญ่ก็อยู่เพียงในเรือนของตนเองเท่านั้นหรือไม่ก็ไปนั่งพูดคุยกับซูจุ้ยเตี๋ย ไม่รู้ว่าเขาไปพูดอีท่าไหนกับซูจุ้ยเตี๋ย หลายวันนี้ซูจุ้ยเตี๋ยเองก็สงบเรียบร้อยเช่นกัน ไม่มีการอาละวาดให้ได้เห็นอีก

 

 

นางหันกลับไป ก็เห็นหานหมิงเย่ว์ยืนห่างไปไม่ไกลและกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาเป็นห่วง เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร แค่เพียงเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น คุณชายหานขึ้นมาทำอันใดหรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์กวาดตามองสำรวจนางรอบหนึ่ง ก่อนเดินเข้ามาเอ่ยว่า “หากพระชายาเชื่อใจข้าน้อย ให้ข้าน้อยช่วยดูสักหน่อยจะดีกว่า”

 

 

เยี่ยหลีผินหน้าไปมองเขา เอ่ยด้วยท่าทีตกใจว่า “คุณชายหานรู้เรื่องการแพทย์หรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์หัวเราะน้อยๆ “พอรู้บ้างเล็กน้อย”

 

 

เขาก้าวขึ้นหน้ามาจับมือเยี่ยหลีข้างหนึ่งขึ้นจับชีพจร เยี่ยหลีก็ไม่ขัดขืน เพียงมองเขาเงียบๆ เท่านั้น

 

 

หานหมิงเย่ว์จับชีพจรนางพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เลยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี แล้วกดนิ้วลงบนเส้นชีพจรอีกครั้ง พักใหญ่ถึงได้ถอนใจออกมาเบาๆ แล้วปล่อยมือเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีมองเขาพร้อมอมยิ้มถามว่า “สีหน้าของคุณชายหานนี้ หรือว่าข้าเป็นโรคอันใดที่รักษาไม่หายหรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์ส่ายหน้า มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าหลากหลาย “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าสำหรับพระชายาแล้วนี่ถือเป็นข่าวดีหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ เป็นการตอบรับ เป็นการบอกว่าไม่ว่าจะเป็นข่าวอันใดนางก็สามารถรับได้ทั้งสิ้น

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงขรึมว่า “พระชายากำลังตั้งครรภ์ ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนดี”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป ในหัวว่างเปล่า แต่ประหนึ่งคิดอันใดไปมากมาย คำพูดของหานหมิงเย่ว์กระทบจิตใจนางมากเข้าพอดี ถึงแม้นางจะใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ ประสบการณ์ที่นางได้พบได้เจอมาบางครั้งอาจมากกว่าคนทั่วไปที่ใช้ชีวิตมาสิบชาติเสียอีก แต่การมีบุตรนั้นถือเป็นครั้งแรกของทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว

 

 

ว่าตามตรงแล้ว นางยังมิได้เตรียมพร้อมกับการมีบุตร ต่อให้เป็นช่วงที่ชีวิตปกติสุขดี เดิมนางก็วางแผนไว้ว่าการมีบุตรนั้นควรหลังจากที่ตนอายุสิบแปดปีไปแล้ว แต่ในยามนี้…บุตรคนนี้มาในเวลาที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไรนักจริงๆ แต่ในใจของนางกลับรู้สึกตื่นเต้นและยินดีขึ้นมาอย่างประหลาด นางกำลังตั้งครรภ์…บุตรคนนี้เป็นบุตรคนแรกของนางกับม่อซิวเหยา และเป็นคนในครอบครัวที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับนางที่สุด…

 

 

หานหมิงเย่ว์สำรวจสีหน้าของเยี่ยหลีด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาเห็นใบหน้าอันงดงามของนางมีแววตกใจ สงสัย ยินดี เป็นกังวล และสุดท้ายก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ เขานึกเข้าใจในทันทีว่าเยี่ยหลีจะตัดสินใจทำเช่นไร

 

 

หานหมิงเย่ว์มองร่างอันบอบบางของนาง ก่อนเอ่ยด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกว่า “พระชายา บุตรผู้นี้เกรงว่าจะมาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมนัก”

 

 

เยี่ยหลีมองหน้าเขานิ่งอยู่เป็นนาน ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจว่าคุณชายหานจะไม่บอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่นนอกจากข้ากับท่านได้ใช่หรือไม่”

 

 

หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วด้วยความร้อนใจ “พระชายา ท่านน่าจะรู้ว่าสถานการณ์ในยามนี้ ท่านไม่อาจเก็บเด็กผู้นี้เอาไว้ได้ หากท่านอ๋องอยู่ที่นี่ ก็จะต้องคิดเห็นเช่นเดียวกันนี้แน่นอน”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ซิวเหยาจะคิดเช่นเดียวกับข้า จะต้องเลือกรักษาบุตรผู้นี้ไว้แน่นอน”

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยว่า “นั่นก็เพราะซิวเหยาอยู่ข้างกายท่าน เขาสามารถปกป้องท่านได้ แต่ในยามนี้ ท่านเป็นสตรีนางหนึ่งที่ต้องนำทัพทหารหลายแสนนาย แล้วยังตั้งครรภ์อีก หากเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น…ข้าคิดว่าซิวเหยาไม่มีทางยอมให้ท่านเอาชีวิตเข้าแลกกับเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกหรอกนะ”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลงมองหน้าท้องที่ยังคงแบนราบของตน แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้แก่ใจดี ขอบคุณคุณชายหานที่เป็นห่วง”

 

 

หานหมิงเย่ว์ยังคิดที่จะเอ่ยเกลี้ยกล่อมนางอีก เขารู้จักม่อซิวเหยาดี และเขารู้ดีว่าม่อซิวเหยารู้สึกเช่นไรกับเยี่ยหลี หากเยี่ยหลีเกิดเป็นอันใดขึ้นมาเพราะบุตรคนนี้… เขาไม่กล้าคิดเลยว่าม่อซิวเหยาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่เยี่ยหลีก็เป็นสตรีที่มีความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน จะยอมรับฟังสิ่งที่เขาจะเกลี้ยกล่อมนางได้อย่างไร

 

 

หานหมิงเย่ว์ถอนใจทีหนึ่ง เอ่ยยืนยันว่า “หากพระชายาไม่อนุญาต ข้าก็จะไม่บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด เพียงแต่…ทางที่ดีพระชายารีบให้ท่านหมอมาตรวจดูโดยทันทีจะดีกว่า ยารักษาครรภ์และยาบำรุงทั้งหลายก็อย่าให้ขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ขอบใจมาก”

 

 

เมื่อกลับถึงห้องหนังสือแล้ว เยี่ยหลีนั่งใจลอยอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ ข่าวที่เพิ่งได้รับอย่างกะทันหันเมื่อครู่ ทำให้นางยังตั้งสติกลับมาได้ไม่ดีนัก ท่าทีหนักแน่นสบายๆ ที่แสดงออกต่อหน้าหานหมิงเย่ว์นั้นเป็นเพียงการแสร้งทำที่ติดเป็นนิสัยเท่านั้น

 

 

นางนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงยกมือขึ้นจับบริเวณหน้าท้องที่ยังคงราบเรียบไม่มีความเปลี่ยนแปลง ใบหน้าใสของเยี่ยหลีแลดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น ในนี้…มีบุตรของนางกับม่อซิวเหยาอยู่หนึ่งคน คนที่ไม่เคยเป็นมารดา ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้ บางทีอีกไม่กี่เดือน นางคงรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และอาจรับรู้ได้ถึงมือและเท้าที่คอยต่อยเตะอยู่ในท้องของนาง มุมปากนางค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ สีหน้าของนางก็ยิ่งดูแน่วแน่ยิ่งขึ้น

 

 

“มีผู้ใดอยู่บ้าง”

 

 

คนที่เข้ามาคือเว่ยลิ่น เขาเดินมาเอ่ยด้วยความเคารพที่หน้าประตูว่า “พระชายา”

 

 

“ไปเชิญท่านหมอมาที” เว่ยลิ่นอึ้งไป เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “พระชายาไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไปเถิด”

 

 

เว่ยลิ่นเข้าใจว่าเยี่ยหลีไม่สบายจริงๆ จริงไม่ทันได้สนใจอันใดมาก รีบหมุนตัวออกไปอย่างรวดเร็วทันที

 

 

ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับเด็กหนุ่มอายุเพียงยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง เมื่อเห็นท่านหมอที่ดูอายุยังน้อยนัก เยี่ยหลีก็เลิกคิ้วขึ้น ตามปกติท่านหมอที่ตามติดกองทัพจะอายุไม่มากเท่าไรนักก็จริง เพราะถึงอย่างไรการเคลื่อนทัพที่ยากลำบากก็มิใช่สิ่งที่ท่านหมอที่อายุมากเหล่านั้นจะรับไหว เพียงแต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้ก็ดูจะอายุน้อยเกินไปสักหน่อย ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ แต่สิ่งที่แพทย์แผนจีนพึงมี มิใช่เพียงพรสวรรค์เท่านั้น แต่โดยมากต้องอาศัยประสบการณ์เสียมากกว่า

 

 

ดูเว่ยลิ่นจะเข้าใจความสงสัยของเยี่ยหลีเป็นอย่างดี จึงก้าวเข้ามาเอ่ยอธิบายว่า “พระชายา ท่านหมอหยาง เป็นหลานชายของท่านเสิ่น ฝีมือด้านการแพทย์นั้น ท่านเสิ่นก็เคยเอ่ยชมไว้อย่างมาก สองปีนี้เขาอยู่กับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีในซีเป่ยมาตลอด ครานี้ก็รั้งอยู่ที่เมืองซิ่นหยางเช่นเดียวกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ประจำการอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยพลีพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ กับชายหนุ่มผู้นั้นด้วยความรู้สึกผิดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญท่านหมอหยางช่วยตรวจชีพจรให้ข้าทีเถิด”

 

 

ท่านหมอหนุ่มดูจะมิใช่ครั้งแรกที่มีคนนึกสงสัยในตัวเขา จึงมิได้สนใจ ก้าวเข้ามานั่งลง หยิบหมอนรองข้อมือออกมาก่อนจับชีพจรให้เยี่ยหลี ครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดอยู่น้อยๆ ของท่านหมอหนุ่มก็ค่อยคลายออก ลุกขึ้นยืนประสานมือให้เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ยินดีกับพระชายาด้วย ข้าน้อยเห็นว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยลิ่นก็อึ้งไป ดูไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี หากพระชายาตั้งครรภ์ในยามปกติ เชื่อว่าตำหนักติ้งอ๋องหรือแม้กระทั่งกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดคงร่วมกันยิ่นดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อพระชายาเกิดตั้งครรภ์ในยามนี้ นั่นหมายความว่า ไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของทั้งพระชายาและซื่อจื่อน้อยได้

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยพึมพำเสียงเบาว่า “มีแล้วจริงๆ…”

 

 

ท่านหมอหนุ่มพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เรียนพระชายา ข้าน้อยแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหันมองเขา เอ่ยถามว่า “ต้องจ่ายยาอันใดหรือไม่”

 

 

ท่านหมอหนุ่มส่ายหน้า “สุขภาพของพระชายาแข็งแรงดี ชีพจรก็เต้นปกติดีพ่ะย่ะค่ะ จากที่ข้าน้อยตรวจดู ในยามนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาครรภ์อันใด ยาถึงอย่างไรก็มีพิษอยู่สามส่วน ในเมื่อไม่จำเป็น จะไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ยาบำรุงอย่างไรก็ต้องมีพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง สามสี่เดือนแรก พระชายาได้โปรดระวังตัวด้วย อย่าได้ทำอันใดที่เป็นการกระทบกระเทือนครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“สามสี่เดือนแรก? แล้วหลังจากนั้นเล่า?”

 

 

“หลังจากผ่านสามสี่เดือนแรกผ่านไป ครรภ์ก็จะนิ่ง ก็จะไม่เป็นอันใดมาก เพียงแต่ก็ยังคงต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง…หลังจากสี่ห้าเดือนผ่านไป เกรงว่าพระชายาอาจจะเริ่มขยับตัวได้ไม่ถนัดนัก…” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านหมอหนุ่มก็อดรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขามิใช่ท่านหมอประจำบ้านที่วันๆ เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอันใด เขาเป็นหมอที่ตามทัพทหาร ย่อมรู้ดีว่าภายในสนามรบอันตรายเพียงใด และมีอุบัติเหตุที่ยากจะคาดเดาอยู่มากมายเพียงใด

 

 

เขาเหลือบมองเยี่ยหลี แล้วได้แต่เอ่ยว่า “พระชายาได้โปรดระมัดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว หลายวันนี้ก็รบกวนให้ท่านหมอหยางรั้งอยู่ที่จวนผู้ว่าการก่อนได้หรือไม่”

 

 

ท่านหมอหนุ่มประสานมือเอ่ยว่า “การได้ดูแลซื่อจื่อน้อย ถือเป็นเกียรติของข้าน้อย ข้าน้อยรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ลำบากท่านหมอแล้ว เรื่องนี้ขอให้ท่านหมอเก็บเป็นความลับไว้เสียก่อน นอกจากคนข้างกายข้าแล้ว ข้ายังไม่อยากให้ผู้ใดรู้เรื่องนี้”

 

 

ถึงแม้ท่านหมอหนุ่มจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังรับปาก “อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะไปจัดรายการยาบำรุงมาให้คนข้างกายพระชายาะนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ขอบใจมาก เว่ยลิ่น ส่งท่านหมอหยางที”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”