บทที่ 842 การติดต่อที่เหนือความคาดหมาย Ink Stone_Fantasy
“พั่บ!”
เมื่อประกายแสงสีแดงพุ่งตัวเข้ามา หลิงม่อที่กำลังเดินหน้ายกมือขึ้นคว้าตัวเจ้ามาสเตอร์บอลไว้
เจ้าตัวเล็กนี้พุ่งมาด้วยความเร็วสูง นอกจากสามสาวซอมบี้ที่มองมาเพราะสัมผัสได้ คนอื่นๆ ต่างไม่เห็น
“ถ่วงไว้ได้แล้วหรอ?” พวกเย่เลี่ยนมองตากันครู่หนึ่ง ซย่าน่าจึงถอยหลังสองก้าว เดินข้างหลิงม่อแล้วถามว่า “ดูท่าทางพี่หลิง เหมือนจะไม่ได้งานหมูๆ อย่างที่คิด…”
ดวงตาข้างหนึ่งของเธอมีประกายแสงสีแดงวาบวับผ่านอย่างเงียบงัน เธอพูดด้วยเสียงเบา “คลื่นดวงจิตของพี่เมื่อกี้ผิดปกติมากเลยนา…”
“ก็ยังดี” หลิงม่ออดเผยยิ้มขมขื่นไม่ได้ ถึงแม้ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด แต่ “ถูกคนแทงทะลุหัวใจ” จากนั้นก็ “ถูกกราดยิง” ประสบการณ์อย่างนี้คงเรียกว่าปกติไม่ได้…ทว่าสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาจริงๆ ความจริงก็คือการโจมตีของชายหนุ่ม
“ส่วนปัญหาเรื่องถ่วงเวลา…ดูจากสถานการณ์ พวกเขาน่าจะยังต้องเสียเวลาไปอีก 5 – 6 นาที บวกกับต้องค้นหาบริเวณโดยรอบ อาจต้องใช้เวลาทั้งหมดสิบกว่านาทีล่ะมั้ง…” หลิงม่อคำนวณในใจเงียบๆ แล้วจึงค่อยพูดออกมา
หลี่ย่าหลินหันหน้ามา แล้วนับนิ้วมือคำนวณ “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…ถ่วงเวลาพวกเขาได้ประมาณ…อืม…”
“ยี่สิบกว่านาที” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็พูดแทรกขึ้น
แต่พอเห็นสายตาหลิงม่อมองมา เย่เลี่ยนจึงเม้มปากอย่างระมัดระวัง ดวงตากลมโตคู่นั้นหลบเลี่ยงไปอีกทาง ปากก็พูดพึมพำ “ฉัน…เดาไปเรื่อย…”
“ไม่ผิดหรอก เด็กโง่ของเราคำนวณเป็นแล้ว…” หลิงม่อยิ้ม แล้วหันไปปลอบใจรุ่นพี่ที่ยังคงอยู่ในระหว่างสับสน “รุ่นพี่ค่อยๆ เรียนรู้นะ…”
“ใช่แล้ว ความรู้ระดับอนุบาล สติปัญญาระดับรุ่นพี่เดี๋ยวเดียวก็เรียนได้แล้ว!” ซย่าน่าเองก็พูดให้กำลังใจ
“นี่ พูดอย่างนี้ไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยนะ…” หลิงม่อยกมือขึ้นตบหัวซย่าน่า
ซย่าน่าที่ถูกตบหัวร้อง “อ๊ะ” จากนั้นก็กุมหัวเหล่มองหลิงม่ออย่างตัดพ้อ แค่นเสียงเบาๆ แล้วเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้า “มนุษย์น่าชัง…”
บทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่มีใครได้ยินชัดเจน แต่หลังจากมองเห็นสีหน้าผ่อนคลายของหลิงม่อ พวกเขากลับลอบถอนหายใจเบาๆ
“ช้าลงหน่อยได้ไหม? แฮ่ก…กระดูกของฉันจะแหลกอยู่แล้ว…” เหล่าหลันถอนหายใจแล้วบอก ระหกระเหินเดินทางติดกันหลายวัน อุตส่าห์ได้พักผ่อนฟื้นกำลังสามวัน แต่สุดท้ายกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้…
“ผู้เฒ่า หนูกำลังประคองคุณเดินอยู่ชัดๆ เลยนะ!” หลันหลันเคือง
“นี่เป็นคำพูดคำจาที่แกควรใช้พูดกับพ่อหรอ? พ่อจำไม่ได้ว่าเคยสั่งสอนแกอย่างนี้!” เหล่าหลันพูดอย่างเจ็บปวด
“…นั่นเป็นเพราะว่า…พ่อไม่เคยสอนอะไรหนูเลยต่างหากเล่า!” หลันหลันกลอกตาขาวใส่เขา
“คนคนนี้…เขาทำได้ยังไงกันแน่…” จางเฉิงฮุยพึมพำอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ร่ำไห้ในใจ “จบกันๆ คราวนี้ฉันหนีไม่รอดแล้ว! ความจริงออกจากฟอลคอนมานั้นไม่เท่าไหร่ ขอเพียงให้ฉันยังมีที่กินที่นอน แต่ติดตามพวกเขา…” เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้าอมทุกข์มองแผ่นหลังหลิงม่อ แอบคิดในใจ “พี่ชายเอ๋ย ขนาดนายยังเอาตัวไม่รอดยังคิดจะจับเชลยอะไรอีก…”
เขาไม่ค่อยอยากเชื่อว่าพวกหลิงม่อจะสามารถหนีออกไปได้ จำนวนคนและพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป…
…………
หลายนาทีต่อมา เมื่อพวกหลิงม่อเดินทางไปสมทบกับพวกสวี่ซูหาน พวกมู่เฉินก็ได้รออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
“พวกพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หวังหลิ่นถือดาบโค้งวิ่งเข้ามา สายตามองไปที่หลิงม่อ ขณะเดียวกันก็ทำเป็นเหลือบมองซย่าน่าเล็กน้อย ทว่าพอซย่าน่ามองเธอกลับบ้าง หวังหลิ่นกลับรีบหลบตา
จากนั้น เด็กสาวทั้งสองก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แค่นเสียงขึ้นจมูก ซ้ำยังพูดออกมาอย่างไม่มีใครยอมใคร “ชิ…”
“ไม่เป็นไร อีกอย่างฉันก็พอรู้พลังของพวกนั้นบ้างแล้ว” หลิงม่อมองพวกเธออย่างเอือมระอา จากนั้นพูดขึ้น
เหล่าเจิ้งเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขายกมือนวดคลึงเบ้าตาคล้ำๆ ของตัวเอง บอกว่า “ถึงจะไม่รู้ว่านายทำได้ยังไง…แต่ในเมื่อนายรู้แล้ว ก็บอกพวกเราหน่อยเถอะ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องตามพวกเรามา เข้าใจไว้ก็ย่อมรับมือได้ดีกว่า”
“ฉันถ่วงเวลาไว้ได้ระยะหนึ่งพอดี ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แล้วกัน” พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ หลิงม่อกลับเปลี่ยนเรื่อง เขาหันไปมองมู่เฉิน “แต่ก่อนหน้านั้น ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกก่อน”
“ยังมีเรื่องอื่นอีก?”
ทุกคนต่างมองหน้าเขาอย่างฉงนสงสัย แม้แต่สวี่ซูหานที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้ายืนอยู่ไกลๆ ก็ยังเงยหน้ามองเขาด้วย
“อืม…เป็นเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” หลิงม่อพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปหามู่เฉิน เขาพูดอะไรบางอย่างกับมู่เฉินสองสามประโยคด้วยเสียงเบา
เริ่มแรกมู่เฉินยังทำหน้างุนงงสับสน แต่ต่อก็เริ่มขมวดคิ้วแน่น หลังจากตรึกตรอง เขาก็พยักหน้าเบาๆ “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว…”
สวี่ซูหานกลับเดินเข้าไป แล้วยื่นมือไปคว้าแขนหลิงม่อ
“คือว่า…” สวี่ซูหานลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉัน…ให้ฉันได้มีโอกาสตอบแทนนายซักครั้งหนึ่งเถอะ ถึงแม้…ถึงแม้ฉันคิดว่าอนาคตฉันยังสามารถช่วยนายได้…ช่วยพวกเธอ แต่เวลาอย่างนี้ฉันน่าจะมีประโยชน์หรือเปล่า?” พูดถึงตรงนี้ สายตาด้านหลังหน้ากากของเธอเหมือนมองไปทางพวกเย่เลี่ยน
“เอ่อ…” หลิงม่อมองเธออย่างผิดคาดเล็กน้อย
สวี่ซูหานพูดต่อว่า “ฉันพอจะเดาได้ว่านายคิดจะทำอะไร วางใจเถอะ ฉันช่วยได้แน่นอน”
“…ถ้าอย่างนั้นก็ได้” ในที่สุดหลิงม่อก็ถอนหายใจ เรื่องนี้ถ้าให้มู่เฉินไปทำคนเดียว ก็ค่อนข้างกดดันเขาพอสมควรจริงๆ…
แต่ถ้าส่งซอมบี้สาวไปกับเขาอีกตัว สำหรับเขาอาจไม่ใช่เรื่องง่ายดายแค่กดดันอีกต่อไป…
เห็นหลิงม่อตอบตกลง สวี่ซูหานถอนหายใจ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ ให้เขา
ขณะที่เดินเฉียดไหล่เขาไป เธอพูดพึมพำว่า “ไม่รู้เพราะอะไร เป็นอย่างนี้ฉันกลับไม่กลัว…”
“จริงหรอ?” หลิงม่อเองก็เผยสีหน้าครุ่นคิดตาม แล้วหันไปมองแผ่นหลังของสวี่ซูหาน
“มองอะไร!” อยู่ๆ มือเล็กๆ ข้างหนึ่งก็ยื่นมาจากข้างหลัง หยิกเอวหลิงม่อเบาๆ
“อย่าเล่นน่า ฉันมองอะไรที่ไหนกัน…”
การจากไปล่วงหน้าของมู่เฉินกับสวี่ซุหานทำให้พวกเหล่าเจิ้งต่างแปลกใจ แต่หลังจากคิดดู พวกเขากลับสามัคคีพากันเงียบไม่ถามอะไร กลับเป็นสีหน้าของเหล่าเจิ้งที่ดูคลายใจลงเล็กน้อย สำหรับเขา การที่หลิงม่อวางแผนตอบโต้ ย่อมดีกว่าต้องวิ่งหนีกระเจิงเพราะถูกไล่ล่าเป็นไหนๆ…
“เอาล่ะ ลำดับต่อไป ฉันจะอธิบายให้พวกนายฟัง…”
“ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด!”
ทันใดนั้น เสียงริงโทนดังรัวขึ้น ทุกคนต่างพากันสะดุ้งตกใจ
ซย่าน่าก้มหน้ามองกระเป๋าเสื้อตัวเอง จากนั้นก็ล้วงเครื่องมือสื่อสารเครื่องหนึ่งออกมาด้วยสีหน้างงงัน แหล่งที่มาของเสียงก็คือมัน
“นี่ของเจ้าแว่นนั่น…” ซย่าน่ามองหลิงม่อแล้วบอก
“จะรับไหม?” เหล่าเจิ้งถามอย่างตระหนก
บนถนนอันกว้างใหญ่ เครื่องมือสื่อสารในมือซย่าน่าส่งเสียงเสียดแทงแก้วหูอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองมายังมัน
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วเขาก็รับเครื่องมือสื่อสารไปถือไว้
“ฮัลโหล?”
เพิ่งจะกดปุ่มรับสัญญาณ อีกฝ่ายก็ส่งเสียงมาทันที
และทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ หลิงม่อก็ชะงักไป
หลังนิ่งเงียบไปสองวินาที จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าสับสน “นั่นใคร?”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แค่นหัวเราะ “ตามคาด…หลิงม่องั้นหรอ?” ไม่รอให้หลิงม่อตอบอะไร อีกฝ่ายพูดต่อทันที “แต่เป็นอย่างนี้ก็ดี เพราะว่า…คนที่ฉันอยากคุยด้วยก็คือนาย ฉันพูดอย่างนี้ นายน่าจะเดาได้แล้วว่าฉันเป็นใครใช่ไหม?”
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ดีกว่า” หลิงม่อพูดเสียงเรียบ
ความช็อกเล็กน้อยในตอนแรก ได้หายไปแล้ว
อีกฝ่ายเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ตอบกลับมาว่า “หลิงม่อ นายช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”
“นั่นก็ต้องดูว่าคุณจะแสดงความจริงใจให้ผมเห็นได้มากน้อยแค่ไหน” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วตอบ “ในเมื่อคุณตามหาผมเจอผ่านเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้ ก็น่าจะรู้สถานการณ์ของผมดี ในสถานการณ์อย่างนี้ คุณยังคิดจะขอความช่วยเหลือจากผม ก็แสดงว่าคุณคงสามารถอำนวยความสะดวกให้ผมได้ไม่น้อยใช่ไหม?”
“…” อีกฝ่ายเงียบไปอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะขึ้นมา “นายเปลี่ยนไปนะ…แต่การคาดเดาของนายถูกต้อง เพียงแต่ สิ่งที่ฉันสามารถทำได้มีไม่มาก เพราะสถานการณ์ของฉันในตอนนี้ก็ย่ำแย่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น…พวกเราเข้าประเด็นสำคัญกันเลยดีกว่า ถึงเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้จะไม่ได้ถูกดักฟัง แต่อีกไม่กี่นาทีคงถูกเพ่งเล็งเป็นแน่ พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว…”
—————————————————————————–