ตอนที่ 325 ทำทุกวิถีทาง

แม่สาวเข็มเงิน

หากว่ากงจี้ยังเป็นคนเดิมเฉกเช่นเมื่อก่อน เจียงป่าวชิงปฏิเสธเขาเพียงครั้งเดียวเขาก็จะทำท่าทีเย่อหยิ่งและไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน

ทว่าหลังจากสามปีแห่งการจากลา กงจี้เข้าใจแล้วว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษากันไว้ในทุกวิถีทาง เขาพูดคำว่า “ล้างด้วยเลือด” ได้อย่างสบายใจมาก แต่ตั้งแต่ที่เขาพูดมันออกมา แม้แต่จิ้นเทียนหยู่ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อสักครู่ก็ยังหยุดนิ่งอย่างกะทันหันและมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“เลวทรามต่ำช้า ไร้ยางอายนัก!” น้ำเสียงของจิ้นเทียนหยู่เหมือนแค่นออกมาจากในซอกฟันก็มิปาน

กงจี้หัวเราะเยาะ สายตาคมกริบชำเลืองมองจิ้นเทียนหยู่ เขาไม่สนใจคำพูดของจิ้นเทียนหยู่แม้แต่นิดเดียว จะพูดอะไรก็เชิญพูดไปเถิด เหอะ! เลวทรามต่ำช้าไร้ยางอายแล้วยังไง สามารถรักษานางผู้เป็นที่รักไว้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งก็แล้วกัน

เจียงป่าวชิงถลึงตาใส่กงจี้ คลื่นความโกรธแล่นขึ้นมาจุกอก แก้มขาวนวลป่องโป่งเพราะแม่สาวน้อยอย่างนางอมลมด้วยความโกรธชายตรงหน้า ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง

นางไม่คิดเลยว่าไม่เจอกันเพียงสามปีกงจี้จะ… ทำให้โมโหจนอยากจะบ้าตายเช่นนี้ ทว่านางยังไม่ทันได้อ้าปากด่าเขา เขาก็พูดขึ้นอย่างช้า ๆ

“เจ้าจะไม่ไปกับข้าจริง ๆ รึ เจ้าไม่อยากเจอพี่ชายเจ้าหรอกหรือ ?”

เจียงป่าวชิงชะงักทันที “เจ้าบอกว่าอะไรนะ ?! ไปเจอพี่ชายข้าอย่างนั้นรึ ?” ชั่วอึดใจนั้นความคิดบ้า ๆ ผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของเด็กสาวชาญฉลาดเช่นนาง นางถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หระ… หรือว่า… หรือว่าพี่ชายข้ายังไม่ตาย!”

เจียงป่าวชิงไม่เคยกล้าให้ความหวังกับตัวเองมากเกินไปสำหรับเรื่องใดเลย เพราะยิ่งมีความหวังมากเท่าไหร่ ความผิดหวังก็ยิ่งมีมากเท่านั้น นางไม่ชอบความรู้สึกประมาณว่าเกิดความหวังแล้วแต่สุดท้ายกลับได้รับแค่เพียงความผิดหวังอะไรทำนองนั้น

กงจี้ยิ้มจาง ๆ “พี่ชายเจ้ายังอยู่ดีที่เมืองหลวง”

การพบกันสั้น ๆ ไม่กี่ครั้งนี้ กงจี้คิดว่ามันแปลกมากเพราะเจียงป่าวชิงกลับไม่กล้าถามเขาว่าเขารู้ข่าวของพี่ชายนางหรือเปล่า ทว่าเมื่อนึกรวมถึงเรื่องตกสะพานที่เจียงหยุนชานเคยเล่าให้เขาฟัง ที่ว่าตอนนั้นเจียงหยุนชานถูกคนขี่ม้าชนตกจากสะพาน ต่อมาเจียงหยุนชานพยายามพาเด็กผู้ชายที่เขาช่วยไว้คนนั้นโผล่ศีรษะขึ้นมาจากในแม่น้ำไหลเชี่ยวด้วยกัน จังหวะที่โผล่พ้นผิวน้ำเชี่ยว เห็นว่าเจียงป่าวชิงถูกใครบางคนกระโดดเหยียบไหล่อยู่บนสะพานและทำให้นางตกสะพานในที่สุด กงจี้จึงตระหนักได้ว่าเจียงป่าวชิงคงเห็นพี่ชายตัวเองตกสะพานและคิดว่าอีกฝ่ายตายแล้วเช่นเดียวกับที่เจียงหยุนชานคิดว่าน้องสาวของตนตายไปแล้ว

กงจี้มีสีหน้าราบเรียบ ในเมื่อเจียงป่าวชิงไม่ถาม เขาก็ไม่พูดถึง แต่จู่ ๆ เขาก็พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างรวดเร็วทำให้เจียงป่าวชิงตกใจ ไม่สามารถเก็บอารมณ์ของตัวเองได้ไปชั่วขณะ

“ข้าจะไปกับเจ้า เจ้าต้องพาข้าไปเจอพี่ชายของข้า!” เจียงป่าวชิงพูดอย่างเด็ดขาด

กงจี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร

จิ้นเทียนหยู่โพล่งขึ้นด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “อะไรกันเจียงป่าวชิง เจ้าจะไปกับเขารึ ?!”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า มุมปากบางเผยให้เห็นรอยยิ้มที่จะสื่อว่า ‘ช่วยไม่ได้’ ก่อนเอ่ยขึ้น “พี่ชายข้ายังไม่ตาย ข้าต้องไปเจอเขา”

จิ้นเทียนหยู่ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ตอนนี้เขารู้สึกว่าสมองของเขาทึบราวกับถูกใครบางคนพันด้วยผ้าหนา ๆ เอาไว้อย่างไรอย่างนั้น เขาพูดไม่ค่อยออก เพียงแค่พูดไปว่า “ไม่ได้!”

จ้าวซื่อไห่เหลือบมองจิ้นเทียนหยู่และรีบกระแอมไออย่างแรง “หัวหน้าสามกำลังจะทำอะไร ?”

ด้วยเพราะเป็นพวกเดียวกับหลู่เว่ยต้ง จ้าวซื่อไห่จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่จิ้นเทียนหยู่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสาม เขาจงใจเน้นเสียงตอนพูดว่า “หัวหน้าสาม” อย่างประชดประชัน

“เจียงป่าวชิงตัดสินใจแล้วว่าจะไปกับแม่ทัพกงผู้นี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าไม่ได้” จ้าวซื่อไห่พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไม เพื่อสาวน้อยเจียงป่าวชิงคนนั้น ถึงกับทำให้เจ้าไม่สนใจชีวิตของพี่น้องในหมู่บ้านเลยรึ ?!”

จิ้นเทียนหยู่เหมือนถูกต่อยเข้ากลางใบหน้า เขายิ่งพูดไม่ออกมากกว่าเดิม

กงจี้มองจ้าวซื่อไห่อย่างเย็นชา “เฮ้! ทำความสะอาดปากเจ้าหน่อย” สายตาเย็นยะเยือกนั้นมองจ้าวซื่อไห่ราวกับว่าจ้าวซื่อไห่เป็นสิ่งของไร้ค่า

จ้าวซื่อไห่ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เดิมทีเขายังอยากพูดให้จิ้นเทียนหยู่ปวดร้าวอีกสักหน่อย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนยัดยาสมุนไพรใส่ลำคอทำให้พูดไม่ออก

กู่ฟู่กุ้ยมองเจียงป่าวชิง “น้องเจียง เรื่องนี้ข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า เจ้าจะไปกับแม่ทัพกงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้า ตลอดหลายปีมานี้เจ้าดูแลคนทั้งหมู่บ้านแล้ว ไม่ควรให้เจ้าเสียสละเพื่อทั้งหมู่บ้านอีกแล้ว เจ้าไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกนะ”

เจียงป่าวชิงยิ้มจาง ๆ “หัวหน้าใหญ่ นี่คือช่วงเวลาที่ข้ารู้สึกผ่อนคลายที่สุดตลอดระยะเวลาสามปีนี้ ข้าจะได้ไปเจอพี่ชายของข้า ข้าดีใจมาก ไม่ได้ฝืนอะไรแม้แต่น้อย”

จิ้นเทียนหยู่ทุบโต๊ะอย่างแรงแต่ไม่ได้พูดอะไร

ประกายแสงแวววาวอยู่ในดวงตาของเจียงป่าวชิง เขามองออกว่านางรู้สึกดีใจจริง ๆ

ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่เหลือก็คงจะสำเร็จลงได้เอง

หลิวหมิงอันปรึกษากับกู่ฟู่กุ้ยอย่างมีความสุขว่าจะส่งมอบตัวประกันอย่างไรดี แต่กงจี้กลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและไม่ได้ฟังอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่จ้องเจียงป่าวชิงอยู่อย่างนั้น

เขาจ้องมองจนเจียงป่าวชิงรู้สึกหงุดหงิด ต้องเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่แต่กงจี้กลับไม่รู้สึกโกรธอะไร เขาเลิกคิ้วใส่นางยิ้ม ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีอย่างมาก

เจียงป่าวชิงหันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากสนใจคนเจ้าเล่ห์อย่างกงจี้

นางไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ากงจี้จงใจพูดเรื่องพี่ชายนางยังมีชีวิตอยู่บนโลกในตอนนี้ มันต้องเป็นแผนการที่เขาคิดเอาไว้ตั้งนานแล้วแน่ ๆ

ท้ายสุด หลังจากปรึกษาเรื่องทุกอย่างกันเสร็จ พวกคนของหมู่บ้านฟู่กุ้ยกำลังจะกลับกัน หลิวหมิงอันเองก็ไม่ได้รั้งอะไรพวกเขา เพียงพูดขึ้นเล็กน้อย “รอเสร็จจากเรื่องนี้ คราวหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะชวนพวกเจ้ามาดื่มเหล้าและพูดคุยกัน”

จ้าวซื่อไห่พึมพำ “เหอะ… ความเมตตาจอมปลอม ยังจะมาบอกคราวหน้าอีก พวกข้ามัดน้องชายเจ้าขนาดนั้น เจ้าคงอยากฟันพวกเราให้ตายซะมากกว่า ยังจะมาทำเป็นชวนดื่มเหล้าอีก”

หลิวหมิงอันส่งเสียงหัวเราะ “น้องชายข้าคนนั้นดูสุภาพอ่อนโยน แต่จริง ๆ แล้วเขาไร้เดียงสามาก เขาเป็นคนที่ทำอะไรราบรื่นมาทั้งชีวิตและก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่ว ข้าคิดว่าการที่เขาโดนจับมัดซะบ้างมันก็เป็นสิ่งดีที่จะระงับความเย่อหยิ่งของเขา ดัดนิสัยของเขาจากเรื่องนี้”

กู่ฟู่กุ้ยหัวเราะ “ฮ่า ๆ แม่ทัพหลิวท่านไม่ต้องห่วง น้องชายของท่านคนนั้นมีชีวิตที่ดีในหมู่บ้านของข้า”

ซูรุ่ยเอ๋อร์ก้มหน้าไม่พูดอะไร

……

ระหว่างทางที่พวกเขากลับหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็มีอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป กู่ฟู่กุ้ยกับจ้าวซื่อไห่อามณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูรุ่ยเอ๋อร์รู้สึกหนักใจ เจียงป่าวชิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในขณะที่จิ้นเทียนหยู่สีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย

เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน หลู่เว่ยต้งที่ได้รับรายงานจากทางด่านลับก็พาพวกพี่น้องมารออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อเขาเห็นพวกกู่ฟู่กุ้ยก็เร่งฝีเท้าเข้าไปต้อนรับด้วยความปีติยินดีทันที

“หัวหน้าใหญ่ ดูท่าทางแล้วคงเจรจาเรื่องราวได้สำเร็จด้วยดีใช่ไหม ?” หลู่เว่ยต้งเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

กู่ฟู่กุ้ยตบไหล่หลู่เว่ยต้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ครั้งนี้ลำบากให้เจ้าต้องรออยู่ที่ในหมู่บ้านไปสักหน่อย แต่อืม เรื่องนี้ถือว่าทำสำเร็จ ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพูดคุย ไป เราไปคุยกันในหมู่บ้านดีกว่า”

เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “หัวหน้าใหญ่ พวกท่านคุยกันเลย ข้าขอกลับไปหาอาฉิงก่อน”

กู่ฟู่กุ้ยกำลังจะพยักหน้า แต่จ้าวซื่อไห่กลับแทรกขึ้น “ไอ้โย! แม่นางเจียงอยากไปไต่เต้าเป็นพวกผู้ดีตีนแดงใจจะขาดแล้วล่ะสิ”

“เหล่าจ้าว!” กู่ฟู่กุ้ยหน้าเปลี่ยนสี ตวาดขึ้นเสียงดัง “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ?!”

หลู่เว่ยต้งไม่เข้าใจ เขามองกู่ฟู่กุ้ยสลับกับมองจ้าวซื่อไห่และคิดว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ

เจียงป่าวชิงเองก็คร้านจะพูดคุยกับจ้าวซื่อไห่จึงหันไปพูดกับกู่ฟู่กุ้ย “หัวหน้าใหญ่ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

พูดเสร็จ ร่างเล็กหมุนตัวเดินจากไปทันที

.

.

.