บทที่ 276 วันแรก

คู่ชะตาบันดาลรัก

หลังจากตะโกนด่าเหวินหรูเสร็จ เหวินอิ๋งจ้องพวกเขาสองพี่น้องด้วยสายตาขุ่นเคืองแล้วเดินจากไป

หมิงเวยกับจี้หลิงมองหน้ากันทั้งคู่ดูอธิบายไม่ถูก

จี้หลิงถาม “น้องหญิง นางเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่สถานศึกษาหรือ”

หมิงเวยพยักหน้า “คุณหนูสามจากจวนเฉิงเอินโหวเจ้าค่ะ”

“อ้อ…” จี้หลิงรู้แจ้งทันที

เห็นสีหน้าของเขาหมิงเวยก็รู้สึกแปลกใจ “พี่ใหญ่ เหมือนท่านไปรู้อะไรมา”

จี้หลิงยิ้ม “เจ้าหน้าที่ในกั๋วจื่อเจียนมีมากมายพอรู้ข่าวมาบ้างเล็กน้อย”

เขาชะงักแล้วพูดว่า “ตระกูลเหวินต้องการที่จะแต่งงานกับราชวงศ์ต่อไป แต่น่าเสียดายที่ไท่จื่อไม่มีความคิดเช่นนั้นนางคงเอาความโกรธมาลงที่น้อง”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่เพิ่งต่อว่านางไปเช่นนั้น เกรงว่านางคงเก็บความแค้นนี้ไว้ในใจเป็นแน่”

จี้หลิงไม่สนใจ “นางเป็นคุณหนูเฉิงเอินโหวแล้วจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้งั้นหรือ ข้าเป็นผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล เป็นนักเรียนของกั๋วจื่อเจียน ไม่ว่าตระกูลเฉิงเอินโหวจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาในแวดวงบัณฑิตได้หรอก”

หมิงเวยยิ้ม ก็จริงจี้หลิงแม้ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็ได้รับการชื่นชมอย่างสูงจากอาจารย์เก่งๆ หลายท่าน ไม่แน่ว่าปีหน้าอาจประสบความสำเร็จในการสอบจึงไม่จำเป็นต้องกลัวพระญาติฝั่งฮองเฮา

จี้หลิงพูดอีกว่า “ตระกูลเหวินต้องการให้นางได้เป็นไท่จื่อเฟย ครั้งนี้เกรงว่าจะมีปัญหามากมายตามมา น้องหญิงเลี่ยงนางไว้นะอย่าให้นางพาติดร่างแหไปด้วย”

หมิงเวยรับคำในใจคิดว่าพี่ใหญ่มีเส้นสายมากมายถึงได้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างดี นางควรขอคำแนะนำจากเขาดีหรือไม่ “พี่ใหญ่ ตามความเห็นของท่านครั้งนี้มีข้อบังคับอะไรหรือ”

“น้องอยากถามว่าผู้ใดจะสมหวังใช่หรือไม่”

หมิงเวยยิ้ม “น้องเกรงว่าจะเป็นการทำร้ายไท่จื่อเฟยในอนาคต”

จี้หลิงยิ้มแล้วตอบไปว่า “วางใจเถอะ คุณหนูสามตระกูลเหวินไม่มีทางเป็นไท่จื่อเฟยได้หรอก”

“เหตุใดถึงคิดเช่นนั้นเจ้าคะ”

“พูดถึงไท่จื่อ ตระกูลเหวินเป็นตระกูลของมารดา ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่ก็ต้องยืนอยู่ข้างเขา แต่อำนาจของตระกูลเหวินไม่มากจนเขาต้องแต่งงานเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว สำหรับขุนนางและฝ่าบาทแล้วเกรงว่าหากตระกูลฝั่งมารดาและภรรยาเป็นตระกูลเดียวกัน อนาคตจะควบคุมได้ยาก”

หมิงเวยครุ่นคิด “พี่ใหญ่คิดว่าผู้ใดเป็นไปได้มากสุดเจ้าคะ”

จี้หลิงมองไปรอบๆ และพูดเสียงกระซิบ “พี่คิดว่าฝ่าบาทจะเลือกคุณหนูจากตระกูลเผย”

หมิงเวยตกใจ

จี้หลิงพูด “ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและเป็นประโยชน์ต่อไท่จื่อ ยิ่งกว่านั้นแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่เผยกุ้ยเฟยจะได้เป็นฮองเฮาหากเลือกคุณหนูจากตระกูลเผย ก็เป็นการเลี่ยง…” เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เผยกุ้ยเฟยถูกรังแกในอนาคต

“แต่ไท่จื่อไม่น่าชอบตระกูลเผยเขาพอใจกับตระกูลหลู่มากที่สุด” จี้หลิงยิ้มอย่างไม่มีความนัยอื่น “แต่เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าตระกูลหลู่คิดอะไรอยู่จึงทำได้เพียงรอดูผลเท่านั้น พวกเราพูดมากเท่าไรถึงเวลานั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ทุกอย่างล้วนไม่อาจทราบได้”

หมิงเวยตอบรับ ฟ้ามืดแล้ว สองพี่น้องคุยกันสักพักก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่ค่าย

จี้หลิงยกม่านขึ้นเขาครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วหันกลับไปพูดว่า “น้องหญิง หากมีโอกาสล่ะก็น้องเตือนคุณชายสามตระกูลหยางว่าหากถอนตัวได้ให้ถอนตัวออกไปให้เร็วที่สุด ตอนนี้ยิ่งโดดเด่นมากเท่าไรก็ยิ่ง…” ประโยคหลังเขาไม่พูดออกมา หมิงเวยก็เข้าใจดี

ไท่จื่อผู้มีจิตใจคับแคบ หากเขาขึ้นครองราชย์จะเกิดผลดีอะไรต่อเขากัน สำหรับเขาแล้วจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังและไปให้ไกลหรือว่า…

หมิงเวยเข้ามาในค่ายผ่านไปสักพักตัวฝูก็กลับมา

นางดูโกรธมาก “คุณหนู บ่าวจะไม่ไปคุยกับอาหว่านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”

หมิงเวยแปลกใจ “นางทำไมหรือ”

“ยังไงก็เถอะเจ้าค่ะ คุยกับนางแล้วโมโหมาก!”

เห็นท่าทางโกรธของนางหมิงเวยก็หัวเราะ “เอาล่ะ ต่อไปก็ไม่ต้องไปสนใจนาง” สองนายบ่าวชำระกายให้รู้สึกสดชื่นจากนั้นก็เข้านอน

วันรุ่งขึ้น เมื่อหมิงเวยตื่นขึ้นมาฟ้าก็ยังมืดอยู่

ตัวฝูกำลังฝึกซ้อมเมื่อเห็นนางยกม่านขึ้นก็รีบเข้าไปหา “คุณหนู ทานอาหารเช้าเลยหรือไม่เจ้าคะ”

หมิงเวยโบกมือ “อีกสักพักค่อยทานพร้อมท่านลุงกับพี่ใหญ่เจ้าซ้อมต่อเถอะ”

เมื่อเห็นว่าหมิงเวยต้องการดูการฝึกซ้อมตัวฝูจึงหันไปฝึกซ้อมอย่างจริงจัง

หมิงเวยเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงม้าดังมาจากด้านหลัง

หมิงเวยหันไปมองก็เห็นว่าเป็นอาหว่านจูงม้ามาทางนี้

“ไม่เจอกันนานนะ” หมิงเวยทักทาย

อาหว่านแค่นหัวเราะนางทำปากบึ้งจากนั้นก็พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ให้ท่าน!”

หมิงเวยรับสายบังเหียนมา “หือ”

“ให้ท่านเจ้าค่ะ!”

หมิงเวยมองม้าพันธุ์ดีที่มีสีขาวไปทั้งตัวก็เข้าใจ ต้องเป็นหยางชูให้นางนำมาให้แน่ ไม่แปลกใจที่อาหว่านจะไม่พอใจ

“ม้าสิงโตหยก[1]งั้นหรือ” หมิงเวยถาม

อาหว่านกอดอก “ใช่!” นางเหล่ตามองเล็กน้อย “มันเจ้าอารมณ์มากและไม่ยอมให้คนอื่นขี่ แต่ท่านเก่งกาจมากคงไม่เป็นเช่นนั้นหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หมิงเวยหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปแตะม้าขาวราวกับว่าไม่เข้าใจที่อาหว่านพูดมาเมื่อครู่

อาหว่านจ้องมองมือของนางและเห็นว่าม้าขาวเงยหน้าขึ้นเพราะนางเดินเข้ามาใกล้ กีบเท้าย้ำอยู่กับพื้นด้วยความกังวลใจมุมปากของอาหว่านยกขึ้นอย่างอดยิ้มไม่ได้

ในที่สุดมือของหมิงเวยก็แตะศีรษะของม้าขาว

“ฮี่ๆ!” ม้าขาวเงยหน้าส่งเสียงขู่ จากนั้นก้มลงพิงฝ่ามือของหมิงเวยและถูเบาๆ รอยยิ้มของอาหว่านค้างอยู่ที่มุมปาก

หมิงเวยไม่พูดอะไร แต่ตัวฝูกลับมีความสุขมาก “เจ้าเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไง คิดว่าคุณหนูเป็นผู้ใดกัน!”

อาหว่านกัดริมฝีปากแล้วจ้องนางด้วยความขุ่นเคืองจากนั้นจึงหันหลังเดินกลับไป

ตัวฝูที่ชนะในครั้งนี้ยิ้มอย่างมีชัย “คิดจะแข่งกับคุณหนูหรือเห็นได้ชัดว่ายังเร็วไป”

หมิงเวยยิ้มพลางลูบคอของม้าขาว ม้าตัวนี้เป็นม้าของหยางชูว่ากันว่าเป็นสายพันธุ์ต่างถิ่นที่นายท่านผู้เฒ่ามอบให้เขาเป็นพิเศษเป็นม้ามีมูลค่าที่น่าทึ่งและมีม้าลักษณะนี้เพียงตัวเดียวในเมืองหลวงทั้งหมด

ม้าล้ำค่าตัวนี้มีความหมายต่างกันมันไม่ให้คนอื่นขี่และคนอื่นก็ขี่มันไม่ได้

หมิงเวยใช้กลอุบายเล็กน้อยให้มันสงบชั่วคราว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม อาหว่านอยากเห็นเรื่องตลก แต่นางไม่อนุญาตให้เห็น

เมื่อฟ้าสว่างกลิ่นอาหารก็อบอวลไปทั่วทั้งค่าย นายท่านจี้และจี้หลิงก็ตื่นแล้วเช่นกัน

“อรุณสวัสดิ์! น้องหญิง”

“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะพี่ใหญ่”

จี้หลิงมองม้าตัวนั้นเขายกมือลูบคางแต่ไม่พูดอะไรแล้วเดินไปหยิบอาหาร

หลังทานอาหารเช้า แต่ละตระกูลก็หยิบคันธนูและลูกศรขึ้นมาขัด ให้อาหารม้า ผู้ที่สามารถออกล่าสัตว์ได้ให้เตรียมตัวไปยังสนามส่วนผู้ใดที่ไม่สามารถล่าสัตว์ได้ก็ให้ไปอยู่ข้างกายฮ่องเต้

หมิงเวยเห็นว่ามีหญิงสาวจำนวนมากออกมาจากค่าย

บางคนสวมชุดขี่ม้าดูมีกลิ่นอายของพละกำลังและความกล้าหาญ บางคนยังสวมชุดกระโปรงขับให้รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม

ทุกคนมารวมตัวกันที่กระโจมของฮ่องเต้เพื่อรอเสด็จ ไม่นานนักฮ่องเต้ก็เสด็จออกมาวันนี้พระองค์สวมชุดเกราะอ่อนซึ่งเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ

ทุกคนทอดมองด้วยความชื่นชม

ฮ่องเต้แย้มสรวลและลุกขึ้นตรัสว่า “แคว้นต้าฉีของเราให้ความสำคัญกับด้านการทหาร เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้ไท่จู่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นฉู่ใต้หรือพวกหูเหริน ล้วนหวาดผวาเมื่อได้ยิน เจิ้นไม่เก่งกาจในด้านขี่ม้ายิงธนู แต่เพราะมีพวกท่านเหล่าขุนนางและองค์ชายอยู่พวกท่านจะไม่ทำให้เจิ้นผิดหวังใช่หรือไม่”

ขุนนางทุกคนตอบรับ

ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น “ชิวเลี่ยในวันนี้จัดขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับต่อสู้ มิลืมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ตราบใดที่แสดงฝีมือในเทศกาลชิวเลี่ยนี้อย่างยอดเยี่ยม เจิ้นจะมอบรางวัลให้อย่างงามไม่ว่าจะเป็นบุตรชายจากตระกูลไหนมีระดับขุนนางหรือไม่ ก็สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่”

ต่อมาได้มีการประกาศรางวัลและการลงโทษต่างๆ ซึ่งหมายความว่าหากทำผลงานได้ดีก็จะได้รับตำแหน่งขุนนางได้โดยตรง บรรยากาศในสนามเริ่มร้อนระอุขึ้นมาแล้ว

……………

[1] ม้าสิงโตหยก : ม้าที่มีสีขาวดุจหิมพตลอดทั้งตัว ตามตำนานกล่าวว่าม้าสิงโตหยกสามารถวิ่งได้ถึงวันละหนึ่งพันลี้ เป็นม้าที่มีต้นกำดนิดในดินแดนตะวันตก เป็นยอดของยอดม้า