บทที่ 278 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (8)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 278 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (8)

ความร้อนสูงอันน่ากลัวทำให้ถ้ำรอบๆ ลู่เซิ่งถูกเผาจนขยายเป็นหลายเท่าของตอนแรก หินหนืดจำนวนมากละลายลงมา

ทว่าลู่เซิ่งกลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่า ร่างกายของเขาพองขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวตามการขยับขยายของถ้ำ

ภายใต้การดำเนินไปในทางเดียวกัน เขากลับรู้สึกว่าถ้ำเล็กลงเรื่อยๆ

‘อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร..สัตว์เทพที่ตำนานเล่าว่าสามารถกลืนกินดวงอาทิตย์ได้ ถูกเรียกว่าบรรพบุรุษผู้มอบชีวิตให้ส่ำสัตว์ ความแห้งแล้งร้อนจัดจะตามมาด้วยความเจริญงอกงาม นึกไม่ถึงพอยกระดับไฟหยินถึงตรงนี้ จะปรากฏสถานการณ์แบบนี้ได้…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ

เขามองกรอบไฟหยินในเวลานี้อีกครั้ง ปุ่มกดด้านหลังหายไปแล้ว ยังเหลือพลังอาวรณ์มากพอ แต่กลับไม่เห็นปุ่มเรียนรู้ นี่หมายความว่า…

‘หมายความว่าวิชานี้ได้เรียนรู้จนสุดทาง ทั้งไปถึงสภาพขีดจำกัดสูงสุดตามจุดประสงค์และทฤษฎีของมันแล้ว’ ลู่เซิ่งนึกย้อนได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เจอสถานการณ์แบบเดียวกัน

‘วิชาลับวิชานี้หลอมรวมกับวิชาลับกับทักษะที่ซับซ้อนจำนวนมากผ่านการเรียนรู้ จะเรียกว่าวิชาสามหยินเฉยๆ ไม่ได้อีกแล้ว’

ในเมื่อใช้พลังอาวรณ์ในการเรียนรู้ แถมยังแสดงออกในรูปลักษณ์เปลวไฟอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร และแกนหลักยังเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง งั้นก็เรียกมุกอาวรณ์แปดเศียรก็แล้วกัน’

พอเขาคิด ด้านในกรอบบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็ปรากฏตัวหนังสือเดียวกันอย่างรวดเร็ว

[วิชาอาวรณ์แปดเศียร: ขั้นที่แปด ผลพิเศษ: ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียร เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ไฟระดับที่ห้า]

‘ทดลองอานุภาพของไข่มุกเม็ดนี้ได้พอดี’ ลู่เซิ่งสังหรณ์ว่าไข่มุกเม็ดนี้น่าจะมีอานุภาพไม่เลว ถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ลึกลงมาใต้ดินของสำนักมารกำเนิด ไม่ต้องกลัวว่าความผิดพลาดจากการทดลองจะส่งผลต่อสำนัก

เขากวาดตามองรอบๆ เล็งทิศทางหนึ่งของผนังถ้ำ จากนั้นก็เริ่มขุดไปยังส่วนลึกของผนังถ้ำ

หลังขุดไปราวหลายร้อยหมี่ ลู่เซิ่งก็เขวี้ยงไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรในมือไปด้านหน้า พร้อมกับพุ่งตัวถอยหลัง

ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรที่เพิ่งหลุดมือกระทบกับผนังหิน แล้วเผาทะลุหินลงไปในพริบตา

ลู่เซิ่งยังไม่ทันรู้ว่าไข่มุกหล่นไปไหนแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงแผ่นดินที่กำลังสั่นไหว ถ้ำเริ่มสั่นสะเทือน

ฟู่ม!

แสงไฟสีม่วงสายหนึ่งพุ่งทะลวงออกมาจากใต้ดิน กลายเป็นเสาไฟสีม่วงต้นหนึ่ง

จากนั้นก็มีต้นที่สอง ต้นที่สาม ต้นที่สี่…

ฟู่มๆๆ!

เสาเพลิงหลายต้นพุ่งทะลุผนังหิน โดนก้อนหินด้านบนจนทะลุเป็นรูสีดำอีกไม่น้อย

ครึ่กๆ…

ถ้ำสั่นสะเทือน เหมือนกับถูกแรงอันมหาศาลโยกคลอนอย่างรุนแรง

ตูม!

ทันใดนั้น หินทั้งหมดข้างใต้ลู่เซิ่งก็ถล่มลงไป เขาตั้งตัวไม่ทัน จึงตกตามไปด้วย

หลังหล่นไปพร้อมกับก้อนหินจำนวนมาก ลู่เซิ่งค่อยเห็นว่าตำแหน่งที่เขาอยู่ก่อนหน้าเป็นด้านบนของถ้ำขนาดมหึมา

ตอนนี้ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรที่เขาเพิ่งโยนออกไปหยุดนิ่งอยู่บนมนุษย์หัวกระทิงสีดำที่มีเขาของกวางขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง

ปลายแหลมของเสาหินนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากผนังถ้ำด้านในโพรงถ้ำ ปักอยู่บนตัวมนุษย์หัวกระทิงที่อยู่ตรงกลาง เหมือนกับถ้ำนี้ดำรงอยู่เพื่อสะกดมันเอาไว้

ฟู่ม!

ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรยิงเสาเพลิงสีม่วงออกมาอย่างสะเปะสะปะตลอดเวลา

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นแล้วว่าเสาหินเกือบหนึ่งในสามส่วนด้านในถ้ำถูกเสาเพลิงเผาหัก เขาหยีสองตา แล้วตีลังกาทิ้งตัวลงบนหินยักษ์ก้อนหนึ่งบนพื้นอย่างแผ่วเบา

เวลานี้คนหัวกระทิงขนาดยักษ์สูงถึงสามสิบหมี่คล้ายกับตื่นจากการหลับไหลอันยาวนาน

เขาครางเสียงทุ้ม หนวดเคราสีดำหนาแน่นใต้คางเหมือนกับเชือกนับไม่ถ้วน ส่ายไปมาเบาๆ ตามการเคลื่อนไหวของส่วนหัว

อือ…

เสียงกึกก้องและหนักอึ้งสะท้อนในถ้ำ คนหัวกระทิงพ่นควันสีขาวจำนวนมากออกจากปาก ค่อยๆ ลืมสองตาใหญ่ยักษ์สีแดงก่ำที่มีสัญลักษณ์อันลี้ลับขึ้น

ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าหลายก้าว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนหินยักษ์อีกก้อน พร้อมเงยหน้ามองสัตว์ยักษ์ตรงหน้า

ร่างขนาดสามสิบกว่าหมี่ ต่อให้เป็นสภาพหยางโชติช่วงของเขาก็เทียบไม่ติด

“เจ้าเป็นใคร…” คนหัวกระทิงกล่าวอย่างแช่มช้า “ข้าได้กลิ่นหอมจากตัวเจ้า…เป็นเครื่องเซ่นแบบใดหรือ”

“เครื่องเซ่นหรือ” ลู่เซิ่งทราบอย่างรวดเร็วว่าอีกฝ่ายคืออะไร

ต้องเป็นมารที่ถูกผนึกไว้ในส่วนลึกที่สุดตามตำนานของสำนักมารกำเนิดแน่ และมารในสภาพนี้…

เขาก้มหน้าเล็กน้อย แสยะยิ้มส่งเสียงหัวเราะ ฟันสองแถวอันคมกริบและแน่นขนัดเปล่งแสงเย็นเยียบน่าสยดสยอง

“”อยากจะลองขอคำชี้แนะจากพลังของมารที่ถูกผนึกด้วยตัวเองมานานแล้ว น่าเสียดายที่ไม่เคยหาเจอ”

“อ้อ?” คนหัวกระทิงเผยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้ากำลังท้าข้าหรือ”

“ท้า?” ลู่เซิ่งเงยหน้า สิ่งที่น่าประหลาดก็คือเขาได้กลิ่นหอมถึงขีดสุดจากบนร่างอีกฝ่ายเช่นกัน หนำซ้ำในกลิ่นหอมยังมีกลิ่นอายอ่อนแอเข้มข้น

“ข้าเพียงคิด…ฆ่าเจ้าเท่านั้น!”

“หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง!”

เปลวเพลิงสีม่วงนับไม่ถ้วนระเบิดออก ร่างของลู่เซิ่งขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง กระโดดจากสภาพหยางโชติช่วงเป็นสภาพเผาไหม้ปราณเหลวของหยินหยางรวมเป็นหนึ่งในพริบตาเดียว

ก้อนหินใต้เท้าระเบิดกึกก้อง เศษหินนับไม่ถ้วนปลิวว่อน เขาปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าคนหัวกระทิงมีเขากวางในชั่วอึดใจ

“ตาย!” ลู่เซิ่งฟันสองแขนใส่หัวของมัน

“ก็แค่ของเซ่น!” คนหัวกะทิงแผดเสียง สองแขนปรากฏขึ้นด้านหน้าดุจสายฟ้าแลบ ก่อนจะปะทะกับลู่เซิ่งหนึ่งกระบวนท่า

ตูม!

ในห้องลับที่สงบสุขทั้งมืดครึ้มทั้งเงียบสงัด มีแต่ลำแสงสายหนึ่งสาดลงบนดวงตาของหวงฟู่

เขาหลับตาสนิท ร่างกายของเขาจมลงสู่เงามืดโดยสมบูรณ์

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ไป๋จากวังหมื่นสุขมาอีกแล้ว บอกว่ามีเรื่องจะถามท่าน” ศิษย์สำนักคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องลับกล่าวอย่างเคารพ

หวงฟู่หลับตาเงียบๆ เหมือนไม่ได้ยิน

ศิษย์คนนั้นได้แต่ทวนอีกรอบด้วยความสงสัย

ผ่านไปสักพัก หวงฟู่ค่อยๆ ลืมตา แสงสีแดงปรากฏแวบในดวงตาก่อนจะหายไป

“ให้เขาเข้ามา” เขาตอบเสียงทุ้ม

“ขอรับ”

ศิษย์คนนั้นค่อยๆ ล่าถอยไป แล้วเดินไปยังที่ไกล

หวงฟู่นั่งขัดสมาธิสักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องลับ ไป๋ซิวยืนรอเขาอยู่นอกประตู

“อาฟู่ สถานการณ์เลวร้ายอยู่บ้าง!” ไป๋ซิวกล่าวเสียงต่ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เลิกเรียกข้าว่าอาฟู่จะได้ไหม” หวงฟู่กล่าวอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น”

“ในเมืองเกิดเรื่องแล้ว เมื่อคืนเจ้าหน้าที่จับกุมได้รับคำสั่งจับกุมสี่สิบสามคำสั่ง คนที่จับได้ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา ล้วนเป็นคนที่ไม่เคยทำความผิดมาก่อน” ไป๋ซิวตอบอย่างเคร่งขรึม

“อ้อ?” ได้ยินดังนั้น หวงฟู่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเช่นกัน “ตอนนี้คนเหล่านั้นเป็นอย่างไร”

“ขังในคุกใต้ดินทางตะวันตก”

“พาข้าไปดู!” หวงฟู่จัดเสื้อผ้า เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

ทั้งสองออกจากที่อยู่ของเรือนสุดประจิม ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังคุกใต้ดินทางตะวันตกของเมือง

รอจนไปถึงสถานที่ พัศดีที่ได้รับคำสั่งก็ออกมาต้อนรับ และอาสานำทางเอง

“ใต้เท้าทั้งสองท่าน ตอนที่เพิ่งจับมาเมื่อคืน พวกท่านไม่ได้เห็นว่าแต่ละคนคลุ้มๆ คลั่งๆ เหมือนกับเสียสติไปแล้ว ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เฮ้อ สหายหลายคนถูกคนบ้าเหล่านั้นกัดขย้ำอย่างไม่สนใจชีวิตไปหลายครั้ง”

“เข้าไปดูก่อนค่อยว่ากัน” หวงฟู่กล่าวเสียงขรึม

“ขอรับๆ สิ่งที่ฟังอาจไม่จริงๆ” พัศดีเหมือนเรียนหนังสือมาหลายปี กล่าวอย่างมีสำบัดสำนวน

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใคร แต่ทำให้ระดับสูงที่เป็นสายตรงของเขาเรียกเขาไปบอกกล่าวต่อหน้าได้ จะต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดาแน่

หากไม่ปรนนิบัติให้ดี เกรงว่าสุดท้ายจะเกิดปัญหาใหญ่โต

เขาพาทั้งสองคนเข้าไปในคุกของที่ทำการ ก่อนหยุดยืนอยู่หน้าอุโมงค์ใต้ดินที่อยู่ด้านหลัง

“เอ๋? ไอ้หนูเสี่ยวเฉินกับเสี่ยวหลี่เล่า เมื่อคืนถึงรอบพวกเขาเป็นเวรกลางคืนไม่ใช่หรือ” พัศดีสงสัยเล็กน้อย

“เจ้ากำลังบอกว่าที่นี่เดิมควรมีสองคนอยู่เวรกลางคืนหรือ” ไป๋ซิวสีหน้าเคร่งเครียด ถามเสียงเบา

“ขอรับๆ เรียนใต้เท้า ควรจะมีสองคนจริงๆ ต่อให้มีคนหนึ่งไปห้องน้ำ อีกคนก็ต้องอยู่ ถ้าถูกกลุ่มลาดตระเวนเจอเข้า จะต้องถูกหักเงินเดือน” พัศดีอธิบาย

“ช่างเถอะ ไม่รอแล้ว ใต้เท้าทั้งสองโปรดตามข้าน้อยมา ข้าน้อยมีกุญแจ สามารถตรวจสอบสามชั้นแรกได้ตามใจ” พัศดีกล่าวอย่างลำพองเล็กน้อย พลางสาวเท้าเดินไปยังประตูเหล็กที่หนักอึ้งของคุก

หมับ

อยู่ๆ มือข้างหนึ่งก็คว้าไหล่เขาไว้

“รอเดี๋ยว” หวงฟู่เอ่ยเสียงทุ้ม

เขาไม่สนใจสายตาประหลาดใจของพัศดี ค่อยๆ เดินไปด้านหน้า ใช้มือเช็ดรอยเลือดตรงมุมหนึ่งของประตูเหล็ก

“ระวังตัวด้วย เกิดเรื่องแล้ว” หวงฟู่เตือน ผลักเบาๆ ประตูเหล็กเปิดออกเองเพราะไม่ได้ลงกลอน

“นี่มัน!?” พัศดีตะลึงงัน ขณะถือกุญแจ โดยยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใต้เท้าทั้งสองคนนั้นก็เดินเข้าทางเชื่อมไปแล้ว

เขารีบตามไปติดๆ

ทว่าพอตามไป ภาพที่เห็นก็เกือบทำให้เขาอาเจียนเอาอาหารที่กินไปเมื่อคืนออกมา

แขน ขา เลือดเนื้อเละเทะ ศีรษะคนที่ถูกทุบแหลก ศพที่ถูกแยก เลือดเหมือนพรมหนา สาดกระจายเต็มผนัง

“ระวังด้วย” ไป๋ซิวดึงพัศดีไปทันที

ตึง!

เงาสีดำมหึมากว้างสองหมี่ค่อยๆ คลานออกมาจากด้านข้างพัศดี

ซู่…

ดูเหมือนมนุษย์ แต่ความจริงไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกับมนุษย์ คล้ายกับงูเล็กน้อย

มันดูคล้ายกับแมงมุมสีดำขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง สองแขนสองขาอันซีดขาวคลานไปด้านหน้า ตุ่มหนองเหมือนองุ่นขนาดต่างๆ เกาะเต็มแขนขาของมัน

“นี่มัน…มารสีชาด!?” พริบตาที่เห็นสิ่งนี้ สีหน้าของไป๋ซิวก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง

กรุ๊งกริ๊ง…

ทันใดนั้น เหนือเมืองกระดิ่งขาวเกิดเสียงกระดิ่งลมที่กระจ่างใสมากมาย ตอนนี้กระดิ่งลมนับไม่ถ้วนที่แขวนบนหอคอยสูงเริ่มส่งเสียงเตือนภัย

ฟิ้ว!

แสงสีขาวจุดหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า

จากนั้น ฟิ้วๆๆๆ แสงนับร้อยนับพันก็ตามติดขึ้นไป

แสงสีขาวทั่วฟ้าเชื่อมต่อกัน ขีดเขียนเส้นสายกลายเป็นภาพวาดขุนเขาธาราที่แทบปกคลุมเมืองกระดิ่งขาวไปมากกว่าครึ่ง

“เชื่อมฟ้าจันทราหวน วายุกู่ร้องเก้าม้วน” เงาร่างสีดำสนิทเหมือนหมึกพุ่งขึ้นท้องฟ้า แล้วฝังเข้าไปกลางม้วนภาพ ชัดเจนสุดเปรียบปานเหมือนกับสีหมึกจุดเดียวกลางกระดาษสีขาว

“ไป!” คนผู้นั้นชี้กระบี่ในมือไปด้านหน้า

ทันใดนั้นม้วนภาพยักษ์ก็ค่อยๆ ลอยออกไปด้านหน้า เข้าปะทะกับมารสีดำเหลือคณานับที่ลอยทะลักมาจากที่ไกล

“เป็นค่ายกลขุนเขาธารานภาจันทราของตระกูลซั่งหยาง! จิตรกรทุกคนเคลื่อนไหวแล้ว!” ไป๋ซิวทำหน้าเคร่งขรึม

“นั่นมัน…” หวงฟู่กลับมองฝูงมารที่แน่นขนาดราวหมึกบนท้องฟ้าไกลๆ

“ภัยพิบัติมาร…!” ไป๋ซิวใบหน้าขาวซีดเหลือประมาณ

กลางทัพสีดำสนิทราวหมึก ระหว่างมารนับไม่ถ้วน มีดวงตาสีเทาอมเงินขนาดยักษ์สองดวงกำลังเขม้นมองเมืองกระดิ่งขาวทะลุมิติ

……………………………………….