บทที่ 52 ปี่เซียะ
บทที่ 52 ปี่เซียะ

ปี่เซียะ!

สายตาของเฉินซีจ้องเขม็ง อ้าปากค้างเมื่อได้ยินว่าเจ้าลูกสัตว์ตัวเล็กสีขาวราวหิมะตัวนี้ที่แท้เป็นสัตว์อสูรที่เรียกว่าปี่เซียะ!

ปี่เซียะเป็นอสูรสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ ซึ่งดำรงอยู่ในสถานะพิเศษเหนืออสูรสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มันกลืนกินและเก็บเอาสมบัติในโลกไว้อย่างมากมายเหลือคณา คนสมัยโบราณเชื่อว่าปี่เซียะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล ด้วยความสามารถที่แปลกประหลาดในการเปลี่ยนเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นโชคดี

“ไม่คิดมาก่อนว่าเซียนกระบี่ตกอับจะสามารถจับเจ้าปี่เซียะมาเก็บไว้เพื่อขจัดปัดเป่าเคราะห์กรรมให้ตัวเอง เป็นความโชคดีที่ท้าทายสวรรค์แท้ ๆ” จี้อวี๋จ้องมองปี่เซียะบนฝ่ามือของเขา สีหน้าชื่นชมยินดีอยู่ไม่วาย

“ขจัดเคราะห์กรรมอย่างนั้นหรือ” เฉินซียิ่งฟังยิ่งสับสน เท่าที่รู้เคราะห์กรรมไม่มีอยู่จริงและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นด้วยตา อีกทั้งการจะเปลี่ยนเคราะห์กรรมของคนคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก

อย่างไรก็ตาม มีประโยคหนึ่งที่เหล่าผู้คนในโลกแห่งการบ่มเพาะพลังมักเชื่อกัน บุคคลที่มีกรรมดีคือคนที่ได้รับพรจากเต๋าแห่งสวรรค์ คนเหล่านี้สามารถฝึกบ่มเพาะพลังจนประสบความสำเร็จและสัมฤทธิ์ผลโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม ยิ่งกว่านั้นคนเช่นนี้เป็นคนที่มีโชคลาภมหาศาลและมักประสบแต่เคราะห์ดีจนน่าอิจฉา ส่วนคนที่มีกรรมดีติดตัวมาอย่างกระท่อนกระแท่นจะมีชีวิตอยู่กับเคราะห์ร้าย แม้ว่าเคราะห์ร้ายนั้นอาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นดึงดูดหายนะเข้ามาโดยไม่คาดฝันก็ตาม แต่เขาจะไม่มีโอกาสได้รับโชคใหญ่เลยตลอดช่วงชีวิต

แน่นอนว่า เคราะห์กรรมเป็นสิ่งนามธรรม ดังนั้นมุมมองของแต่ละคนเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงไม่เหมือนกันและเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ตอนนี้เมื่อเฉินซีได้ยินว่าเจ้าปี่เซียะตนนี้สามารถขจัดเคราะห์กรรมซึ่งไม่มีอยู่จริงได้ จึงทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจไม่น้อย

จี้อวี๋พยักหน้า “ใช่แล้ว คนทั่วไปในโลกมองว่าปี่เซียะเป็นสัตว์มงคลที่นำพาความเจริญรุ่งเรืองและทรัพย์สมบัติมาให้ แต่สำหรับผู้บ่มเพาะที่มีปี่เซียะเก็บไว้ข้างกาย พวกเขาสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนที่อยู่รอบตัวหรือแม้แต่เคราะห์กรรมของนิกายสำนักต่าง ๆ ได้อย่างสิ้นเชิง!”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ สีหน้าของจี้อวี๋จึงฉายแววซับซ้อนออกมา จากนั้นคนพูดก็นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนใจเฮือก “อีกไม่นานเจ้าก็จะเข้าใจวิธีใช้เคราะห์กรรม เมื่อใดที่เจ้าสามารถบรรลุขั้นขอบเขตเซียนสวรรค์นั่นแหละ”

เซียนสวรรค์อีกแล้วหรือ?

ถึงตอนนี้เฉินซีนึกถึงคำพูดของจั่วชิวเสวี่ยผู้เป็นมารดาของเขาขึ้นมา ครั้งหนึ่งนางเคยบอกเขาว่าเมื่อใดที่เขาสามารถบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ เมื่อนั้นเขาจะสามารถไปเจอนางได้

ตอนนี้เขามีเจ้าปี่เซียะน้อยขนาดเท่ากำปั้นอยู่ และด้วยความศักดิ์สิทธิ์ในการขจัดเคราะห์กรรมของมันที่มีความเกี่ยวข้องกับการบรรลุเซียนสวรรค์ มันทำให้เฉินซีรู้สึกว่า ตนก็สามารถทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ได้

“หืม?” ท่าทีของจี้อวี๋แปลกไป เขาสะดุ้งเล็กน้อยราวกับจะสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างก่อนหันมาบอกชายหนุ่ม “มีคนกำลังมาที่ห้องโถงสมบัติ พวกเราต้องเร่งมือแล้ว”

เฉินซีรู้สึกหัวใจเต้นแรง จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปผลักบานประตูก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในทันที

ขณะที่ก้าวเข้ามา สิ่งแรกที่สะดุดเข้ากับสายตาของเขาเป็นชั้นวางของที่ทำด้วยหยกขาวขนาดมหึมาหกชั้นเรียงขึ้นไป และมีป้ายบ่งชี้ว่ามีการจัดเรียงระดับจากบนสุดลงมาล่างดังนี้ ชั้นมนุษย์ ชั้นล้ำลึก ชั้นปฐพี ชั้นสวรรค์ สมบัติอมตะ และชั้นของล้ำค่าหายาก แน่นอนว่าชั้นวางของเหล่านี้คือจุดที่ตงหมิงใช้สำหรับเก็บสมบัติทั้งหลายของเขานั่นเอง

ถึงกระนั้น…

บัดนี้ชั้นหยกขาวทั้งหกกลับว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง!

“เหตุใดจึงเป็นแบบนี้!?” ชายหนุ่มก้าวออกไป ขณะเขากวาดสายตาผ่านชั้นหยกขาว อย่าว่าแต่สมบัติวิเศษเลย แม้แต่เส้นผมสักเส้นก็ไม่มีปรากฏบนชั้นหยกเพราะมันโล่งโจ้งไปหมด

“อ้อ ข้านึกออกแล้ว สมบัติล้ำค่าคงถูกเจ้าลูกปี่เซียะกินไปหมดแล้วแน่ ๆ” จี้อวี๋เองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็สามารถปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าและหัวเราะออกมา “ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าตัวเล็กนี้มันชอบกินสมบัติวิเศษกับของหายากล้ำค่ามากแค่ไหน ตราบใดที่สิ่งของนั้นมีปราณวิญญาณสถิตอยู่ ไม่ว่ามันจะล้ำค่าสักเพียงใดก็ต้องกลายเป็นอาหารอันโอชะของมันทันที”

ด้านเฉินซีกลับหัวเราะไม่ออกและได้แต่จ้องมองปี่เซียะบนฝ่ามือของจี้อวี๋ เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าตัวกระจ้อยร่อยแค่นี้กลับสามารถกลืนกินสมบัติล้ำค่าทั้งหมดเข้าไป!

โฮก! โฮก!

เสียงเจ้าลูกปี่เซียะขนขาวยาวเฟื้อยราวกับสิงโตตัวน้อยแยกเขี้ยวพลางส่งเสียงคำรามใส่เฉินซีถึงสองครั้ง ดูเหมือนมันกำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์ แต่ด้วยความที่เสียงคำรามอ่อนเบากับลูกนัยน์ตากลมดำขลับทำให้มันดูไม่ดุร้ายเอาเสียเลย ตรงกันข้ามกลายเป็นน่าเอ็นดูเสียมากกว่า ถ้าสตรีคนใดได้มาเห็นคงรีบคว้าตัวมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเป็นแน่

“ถ้างั้นที่เรามากันที่นี่ก็เสียเที่ยว ไม่ได้อะไรเลยสินะ” เฉินซีพึมพำพลางกวาดตามองไปทางชั้นหยกขาวที่ว่างเปล่าซึ่งมีป้ายชื่อระบุว่า ‘สมบัติอมตะ’ ยิ่งเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มยิ่งอยากจะบดขยี้ไอ้เจ้าปี่เซียะน้อยให้ตายคามือเสียจริง

สมบัติขั้นอมตะเชียวนะ!

คำไม่กี่คำนี้ทำให้เลือดในกายของชายหนุ่มสูบฉีดด้วยตื่นเต้น ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาพลาดโอกาสจะได้ครอบครองของเหล่านี้เข้าเสียแล้ว…

“จะว่ามาที่นี่แล้วเสียเที่ยวได้อย่างไร ข้าว่าเจ้าน่าจะได้กำไรมากล่ะไม่ว่า ดูดี ๆ สิเห็นไหมนี่คือปี่เซียะเชียวนา!” แววตาของชายชราเต็มไปด้วยความฉงนฉงายขณะพูดออกมาว่า “ต่อให้เจ้าพบสมบัติอมตะนับหมื่นชิ้น มันก็ไม่มีค่าเท่ากับปี่เซียะน้อยตัวนี้หรอก!”

ชายหนุ่มมองท่าทางที่จริงจังเคร่งขรึมของจี้อวี๋แล้วถึงกับพูดไม่ออก ก่อนจะกล้ำกลืนความข้องใจลงคอไปอย่างยากลำบาก

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ พวกเราไปที่ห้องโถงตำรากันเถอะขอรับ”

เฉินซีหมุนตัวกลับทันทีและเตรียมจะเดินออกจากห้องลับแห่งนี้ ในหัวใจของชายหนุ่มยังเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้ง จนแอบบ่นในใจ ‘มันกินแล้วก็แล้วไป หวังว่าจะไม่เจอสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ชอบกินตำราบ่มเพาะพลังอีกก็แล้วกัน’

ตึก! ตึก! ตึก!

เสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นดังสะท้อนไปมาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากกลุ่มเฉินซีจากไปไม่นาน ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีฟ้าก็ผลักประตูห้องลับเข้าไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“หา!” เมื่อมองเห็น ‘สมบัติอมตะ’ และป้ายอื่น ๆ ที่ติดบนชั้นหยกขาวทั้งหก สีหน้าของชายหนุ่มก็ยิ่งสดใสมากขึ้นและลมหายใจกระชั้นถี่อย่างตื่นเต้น ทว่าทันทีที่เห็นว่าชั้นหยกว่างโล่ง รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขาพลันหุบลงทันที จากนั้นร่างทั้งร่างก็สั่นเทิ้มหน้าแดงก่ำตลอดลำคอด้วยความโกรธจัด

“โธ่! โธ่! โธ่! เวรกรรม! หมดกันทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติวิเศษทั้งหมดที่อยู่ในนี้ดันมีคนแอบตัดหน้ากวาดเรียบหมดเกลี้ยงเลย…บัดซบสิ้นดี! ถ้าจะเอาส่วนแบ่งไปมากหน่อยก็ไม่ว่า แต่นี่ไม่คิดจะเหลือไว้ให้คนอื่นเขาบ้างเลย!”

บัดนี้คนหนุ่มในชุดสีฟ้าโกรธจนปากคอสั่น เสียงโอดครวญด้วยความเศร้าสลดสะท้อนไปทั่วทางเดินภายในห้องโถงสมบัติ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในเวลาไม่นานนักมีคนตามเข้ามาในโถงนี้มากขึ้นทุกขณะ และทันทีที่ทุกคนเห็นชั้นหยกขาวว่างเปล่าทั้งหกชั้นตรงหน้า ต่างรู้ได้ทันทีว่ามีคนมาตัดหน้าเสียแล้ว แต่ละคนจึงแสดงท่าทางที่เรียกว่าไม่น่ามองเป็นที่สุด

“ให้ตายเถอะ! ถ้าข้ารู้ว่าใครทำ รับรองว่าจะตามไปถลกหนังมันทั้งเป็นแน่!”

“ดูที่เขียนไว้นี่สิ สมบัติอมตะเคยถูกเก็บไว้บนชั้นหยกขาวนี่! ตอนนี้ถูกมือดีที่ไหนไม่รู้มากวาดเอาไปจนเกลี้ยง ไอ้… ไอ้… พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนที่นับถือเต๋าเหมือนกัน ทำอย่างนี้มันเห็นแก่ตัวชัด ๆ”

“ทำเกินไปจริง ๆ แสดงว่าเจ้าคนนั้นไม่รู้กระทั่งกฎของการฝึกบ่มเพาะ ไร้คุณธรรมสิ้นดี!”

ชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้คืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ซึ่งเป็นขุมพลังสำคัญของเมืองทะเลสาบมังกร จึงมีความเป็นอยู่ประหนึ่งผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากเหล่าเทพ ตามปกติพวกเขาจะเย่อหยิ่งและยโสโอหังอย่างยิ่ง การเข้ามายังที่พำนักของเซียนกระบี่ในครั้งนี้จึงมาพร้อมกับการแบกความหวังอันยิ่งใหญ่มาด้วย

อย่างไรก็ตาม บัดนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมองไปทางใดก็พบแต่ความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ทุกคนยังจำได้ดีถึงการเดินทางอันเหนื่อยยากแสนเข็ญ อีกทั้งยังต้องเสี่ยงอันตรายนานัปการกว่าจะมาถึงที่นี่ แต่กลับยังไม่ได้อะไรสักอย่าง พวกเขาจึงสุดทนและระเบิดออกมาทันที คำผรุสวาทเหยียดหยามคนโลภที่ฮุบสมบัติไว้ทั้งหมดคนนั้น

“พวกเจ้าที่ไปห้องลับอื่น ๆ ไม่พบสมบัติกันเลยหรือไร” บัดนี้ซูเจียวหน้าตาบูดบึ้งไม่น่าดูอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันนางได้ออกค้นหาที่ห้องลับอื่นมาแล้วกว่าร้อยห้อง แต่ไม่พบสมบัติแม้แต่ชิ้นเดียว

“ไม่เจอ!”

“จริง ๆ!”

ทุกคนนิ่งงัน จากนั้นก็พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการยืนยันสิ่งที่พูดไปก่อนหน้า

ซูเจียวโกรธจัด นางจ้องเขม็งไปที่ชั้นหยกขาวหกชั้นที่ว่างเปล่าก่อนจะหันมากล่าวกับคนอื่นว่า “ดูเหมือนที่นี่เคยเป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าในห้องโถงสมบัติจริง ๆ แต่มีคนชิงตัดหน้าเรา บัดซบยิ่งนัก!”

“หรือว่าจะเป็นพวกตู้ชิงซี?” ฉางปินออกความเห็นทันที สีหน้าของเขาหมองคล้ำราวกับเจ้าตัวก็รู้สึกเสียใจไม่ต่างกับคนอื่น ๆ เช่นกัน

“ไม่มีทาง เรามาถึงก่อนพวกเขาแน่นอน” ซูเจียวส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ถ้าอย่างนั้น… อาจเป็นพวกผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มาจากดินแดนตอนใต้ใช่ไหม?” ฉางปินยังจำได้ว่าตอนที่พวกเขาออกมาจากเมืองอาบโลหิต พวกเขาพบว่าตนเองไม่ใช่กลุ่มแรกที่ออกมาจากที่นั่น

“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้ ที่นี่เป็นห้องกรุสมบัติเท่านั้น พวกเรายังไม่ได้ไปที่ห้องโถงอื่น เวลานี้ห้องกรุสมบัติถูกขโมยจนเกลี้ยงแล้ว พวกเราจะยอมให้ใครไปกวาดของล้ำค่าในห้องโถงอื่นไปอีกไม่ได้เด็ดขาด”

ซูเจียวสูดลมหายใจพยายามระงับโทสะในใจอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงเอ่ยช้า ๆ ชัด ๆ “ถ้าพวกเราเร่งทำเวลาอีกหน่อย อาจจะหาตัวเจ้าคนที่เข้ามาปล้นสมบัติทั้งหมดไปได้!”

คนอื่นพลันรู้สึกตัวทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย และเข้าใจทันทีว่าเรื่องที่ซูเจียวพูดมาถือว่าสำคัญที่สุดในตอนนี้ ทั้งหมดจำต้องเก็บกดความคับข้องส่วนตัวไว้ก่อนและรีบออกจากห้องโถงสมบัติโดยมีซูเจียวนำไปข้างหน้า

ต่างคนต่างโคจรปราณแท้ของตนเองอย่างสุดชีวิต โดยไม่มียั้งหยุดระหว่างทางอีกเลย

‘รอก่อนเถอะไอ้ชั่ว ของของนายน้อยพวกนี้จะไม่ให้เจ้าขโมยไปได้ง่าย ๆ แน่!’

‘ให้ตายสิ! ถ้าข้าจับไอ้เด็กนั่นได้ ข้าจะถลกหนังมันทั้งเป็นเลยคอยดู!’

เจ้านั่นโหดเหี้ยมนัก! อยากรู้เสียจริงว่าเป็นชายหรือหญิง ถ้ามันเป็นชายที่แม่นางน้อยคนนี้รู้จักคุ้นเคยละก็ ข้าจะตอนมันก่อนจะฆ่าทิ้งเสีย!

ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปไหม้

ซูเจียวก็พาคนอื่น ๆ ออกจากห้องโถงด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

“โถงมรรคายุทธ์นี่มันบ้าอะไร! มีแค่ก้อนหินอยู่สองสามก้อน แย่กว่าลานฝึกของนิกายสุริยันฟ้าครามของข้าเสียอีก…” เสียงคนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยความโกรธเคือง

ซูเจียวสิ้นความอดทนเสียแล้ว นางจึงตะคอกใส่หน้าเจ้าคนพูดนั่น “หุบปาก!”

เวลานี้นางจะไม่เก็บกดอารมณ์อีกต่อไป ก่อนหน้าพวกเขาไปที่ห้องโถงสมบัติ แต่กลับพบว่ามีใครบางคนชิงตัดหน้ากวาดเอาของในนั้นไปหมดสิ้น พอไปที่โถงมรรคายุทธ์ ก็พบว่าเหลือแค่หินก้อนเล็ก ๆ ที่ใช้สำหรับฝึกฝนทักษะกระบี่เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่แค่ต้องออกไปมือเปล่า แต่พวกเขาก็ต้องเสียเวลาไปมากกับการมาที่นี่ด้วย เช่นนี้นางจะอดทนต่อโทสะที่พลุ่งพล่านในใจได้อย่างไร เมื่อนึกว่าจะมีคนอื่นเข้ามามีส่วนแบ่งในสมบัติล้ำค่าที่เหลือในห้องโถงอื่น ๆ อีกเท่าไร

“ไปกันเถอะ! พวกเราต้องไปที่ห้องโถงที่เหลือ ถ้าเจอเจ้าคนที่ไปเอาสมบัติทั้งหมดออกมา พวกเราจะชิงเอามาเสีย!” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมของซูเจียวส่อเจตนาฆ่าอย่างเปิดเผย

หลายคนเผยความดุร้ายออกมาทางสีหน้าและท่าทาง จากนั้นพวกเขาก็พุ่งตัวตามซูเจียวที่นำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้แสดงออกมาชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น กอปรกับเปลวไฟแห่งความโกรธเคืองที่ปะทุอยู่ในอก พวกเขาก็มาถึงห้องโถงอีกแห่งในเวลาสั้น ๆ

“ให้ตายเถอะ มีคนมาที่นี่ก่อนหน้าเราแล้ว!” ดวงตาของซูเจียวแดงก่ำเมื่อเห็นว่าประตูเข้าสู่ห้องโถงตำราถูกแง้มเปิดออกครึ่งหนึ่ง จากนั้นนางก็หันไปบอกพวกที่ตามมาช้า ๆ “เห็นทีพวกเราคงต้องฆ่าคนที่ชิงเก็บสมบัติล้ำค่าไปทั้งหมดจริง ๆ เสียแล้ว”

“บัดซบ! ข้าอยากจะฆ่ามันมานานแล้ว!”

“ข้ากำลังรอให้เจ้าพูดอยู่เชียว ไอ้ชั่วนั่นมันต้องตาย เราจึงจะรอดพ้นจากความรันทดที่มันทำไว้”

“ไป!”

ทุกคนที่กำลังอัดอั้นตันใจต่างเห็นพ้องต้องกัน พวกเขาพุ่งตัวเข้าไปในห้องโถงด้วยอารมณ์เดือดดาล ขณะที่จิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมา พวกเขาในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับหัวขโมยที่ต้องการปล้นฆ่าเท่านั้น