ตอนที่ 180 คิดถึงเจียนขาดใจ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

หลิวซางหรูเมิ่งกับจุ้ยเมิ่งพันปีเป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ทั้งสองแห่งซึ่งควบคุมโดยตระกูลมู่ ทุกอย่างเป็นไปตามแบบอย่างที่มู่เฉียนซีกำหนดและพัฒนาในทางดีขึ้นเป็นอย่างมาก โรงเตี๊ยมทั้งสองแห่งนี้นับวันยิ่งเป็นที่นิยมของคนหมู่มาก

มู่เฉียนซีขมวดคิ้วมุ่น กล่าวถามขึ้น “มีเรื่องอะไร ? เกิดการทะเลาะวิวาทกันรึ ?”

เยวี่ยเจ๋อกล่าวตอบ “ไม่มีใครกล้ามารุกรานตระกูลมู่หรอกพี่ใหญ่ เพียงแต่ที่จุ้ยเมิ่งพันปีมีบุรุษเอวบางรูปงามดั่งปีศาจผู้หนึ่งมาเยือนบ่อยนัก ทันทีที่บุรุษผู้นั้นมาก็ดึงดูดเหล่าสตรีที่คอยต้อนรับลูกค้าไปดูแลเขาทั้งหมด สตรีเหล่านั้นไม่ยอมดูแลลูกค้าคนอื่น ๆ เลย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง “บุรุษเอวบางรูปงามดั่งปีศาจรึ ?!”

ในหัวของนางเปล่งประกายเล็กน้อย บุรุษผู้งดงามดุจดั่งปีศาจ เอวบางร่างสมส่วน เป็นที่ดึงดูดดวงตาต้องตรึงดวงใจของสตรีทั่วหล้า เขาผู้นั้นเป็นใครไปมิได้นอกจาก…จื่อโยว

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “คืนนี้เจ้าไปกับข้า ข้าอยากไปดูให้เห็นกับตาว่าบุรุษผู้งดงามดุจดั่งปีศาจที่เจ้าว่านั่น เป็นใครมาจากไหนแน่”

เยวี่ยเจ๋อ “หืม ? พี่ใหญ่จะไปที่แบบนั้นจริง ๆ หรือ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ขนาดหลิวซางหรูเมิ่งข้ายังไปมาแล้ว ไปจุ้ยเมิ่งพันปีอีกสักที่คงจะไม่เป็นไร”

“แต่…”

“หากข้าไม่เห็นบุรุษผู้นั้นกับตาตัวเอง ข้าจะรับมือกับเขาได้อย่างไร ? หรือว่าเจ้าอยากจะให้จุ้ยเมิ่งพันปีปิดลงเช่นนั้นรึ ?”

เยวี่ยเจ๋อกล่าวอย่างจนใจ “ก็ได้ ข้าไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่ก็ได้”

มู่เฉียนซีกล่าว “ดี!  เอ้อ… เยวี่ยเจ๋อ ข้ามีอะไรจะให้เจ้า มันน่าจะเหมาะกับการฝึกของเจ้า”

เยวี่ยเจ๋อผงะไปครู่หนึ่ง “พี่ใหญ่ นี่มันเก้าสายฟ้าลี้ลับ เป็นวรยุทธ์ของสำนักซวนเหลย”

“ใช่แล้ว ข้าเพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ  เจ้าเอากลับไปฝึกฝนเถอะ สำนักซวนเหลยสร้างศิษย์ออกมาไม่ได้เรื่องสักคน ข้าเชื่อในพรสวรรค์และพรแสวงของเจ้า เจ้าจะต้องทำได้ดีกว่าพวกแมลงเม่านั่นแน่ ๆ”

พี่ใหญ่ไม่เคยตระหนี่กับเขาเลย  นางมอบสมบัติอันล้ำค่าให้กับเขาอีกครั้ง เขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก

เยวี่ยเจ๋อกล่าวอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าจะต้องฝึกให้ดีกว่าคนของสำนักซวนเหลยอย่างแน่นอน”

มู่เฉียนซี “อันที่จริงแล้วข้ามีของอีกอย่างที่อยากจะให้เจ้า แต่เจ้าอยากจะใช้มันหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” มู่เฉียนซีหยิบขวดยาออกมายัดใส่มือเยวี่ยเจ๋อ

เยวี่ยเจ๋อกล่าวถาม “พี่ใหญ่ นี่เป็นยาที่พี่ใหญ่หลอมขึ้นมาใหม่หรือ ?”

มู่เฉียนซีส่ายหน้า “ไม่ใช่ ยานี้ข้าไม่ได้เป็นผู้หลอม นี่เป็นยาฟ้าดินซวนหวง ยาวิญญาณระดับเก้า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้เยวี่ยเจ๋อเบิกตากว้าง “อ่า! ยาวิญญาณระดับเก้า” ขวดยาในมือเขาเกือบจะหล่นพื้นเพราะความตกใจ เขาสะดุ้งโหยงสุดตัว

มู่เฉียนซี “ยาฟ้าดินซวนหวงนี้มีค่านัก ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในระดับใด หากเจ้ากลืนยานี้ไปเพียงหนึ่งเม็ด เจ้าก็จะทะลวงพลังระดับจักรพรรดิได้ทันที”

“เม็ดเดียวสามารถทะลวงพลังระดับจักรพรรดิได้เลยเช่นนั้นรึ ?” เยวี่ยเจ๋อรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด

“เพียงแต่การที่จะบรรลุระดับจักรพรรดิ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงใด แต่มันก็จะทำให้เจ้ามีรากฐานที่ไม่มั่นคง เจ้าจะขาดโอกาสในการเติบโต การบรรลุระดับจักรพรรดินั้นเร็วก็จริง แต่เจ้าจะพลาดสิ่งเหล่านี้ไป เพราะฉะนั้นเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”

เยวี่ยเจ๋อกล่าว “พี่ใหญ่ ถึงแม้ว่าการฝึกของข้าจะไปเร็วกว่าคนอื่น ๆ แต่ข้ารู้สึกว่าใจข้ามีความละโมบ พลังของข้าตอนนี้ข้าคิดว่ายังอ่อนแอนัก!”

“ข้ารู้ว่าตอนนี้ข้าต้องปกป้องอะไร ข้าต้องการมีพลังที่แข็งแกร่ง ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น ข้าไม่อยากเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้ารู้แล้วว่าข้าต้องเลือกอะไร พี่ใหญ่ ข้าต้องการทะลวงพลัง!”

ทุกครั้งเวลาที่เกิดอันตรายขึ้นกับพี่ใหญ่ เขามิสามารถปกป้องพี่ใหญ่ได้เลย อีกทั้งบุรุษทั้งสองคนที่มีพลังอันแข็งแกร่งนั่น ยิ่งกระตุ้นให้เยวี่ยเจ๋อต้องการเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น

มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้วก็ทำตามที่เจ้าเลือกเถอะ ยาในขวดนี้ทั้งหมดมีห้าเม็ด หากเจ้าอยากจะมอบให้ใครก็แล้วแต่เจ้า”

“ห้าเม็ดรึ ? พี่ใหญ่… ข้า…”

เขายังกล่าวไม่ทันจบ มู่เฉียนซีกล่าวแทรกขึ้นว่า “ห้ามปฏิเสธ เจ้าเคยเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าขาดแคลนยารึ ? เพียงยาห้าเม็ดนี้ ข้าไม่เป็นไร”

‘แม้เพียงห้าเม็ด แต่นี่ก็เป็นถึงยาวิญญาณระดับเก้า!’ เยวี่ยเจ๋อพูดในใจ แต่ไม่ว่าอะไรที่พี่ใหญ่ให้มาแล้วเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนาง

ในที่สุดยาฟ้าดินซวนหวงก็ทำให้เยวี่ยเจ๋อทะลวงพลังเป็นจักรพรรดิแห่งภูตได้สำเร็จ  ทว่าการกระโดดข้ามขั้นของเยวี่ยเจ๋อนั้นมากเกินไป ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะทะลวงพลังระดับจักรพรรดิได้สำเร็จ แต่ก็มิอาจสู้พลังจักรพรรดิที่แท้จริงได้ เขายังต้องฝึกฝนอีกมาก

เมื่อยามรัตติกาลมาเยือน กิจกรรมในยามรัตติกาลก็กำลังจะเริ่มขึ้นเช่นกัน มู่เฉียนซีกับเยวี่ยเจ๋อมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมจุ้ยเมิ่งพันปี

“คุณชายเยวี่ย ท่านผู้นำตระกูลมู่!”

“จัดห้องที่ดูมุมกว้างได้มากที่สุดให้พวกเขาเร็วเข้า”

“ขอรับ!”

มู่เฉียนซีขึ้นไปนั่งจิบชาอยู่ด้านบน จากนั้นไม่นานนัก ร่างสีเขียวที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตาของนาง  บุรุษผู้งดงามพราวเสน่ห์ มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเป็นที่น่าดึงดูดของเหล่าสตรีที่พบเห็น

ทันใดนั้นเอง เสน่ห์เหลือร้ายของเขาดึงดูดสตรีในโรงเตี๊ยมให้ไปหาเขาทั้งหมดในชั่วพริบตาเดียว

ผมสีแดงเข้มยาวดุจดั่งสาหร่ายทะเลลึกพาดลงมาถึงเอว ผิวขาวผ่องดุจดั่งหิมะ ใบหน้างดงามอย่างไร้ที่ติ ช่างสมบูรณ์แบบโดยแท้  อีกทั้งรูปร่างเพรียวเอวบางและลมหายใจที่เชื่องช้านั้น ช่างดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก

เยวี่ยเจ๋อเห็นถึงความผิดแปลกของบุรุษผู้นี้  บุรุษผู้นี้เปรียบดั่งหายนะ!

ขณะเดียวกันนั้น สีหน้าเยวี่ยเจ๋อพลันเปลี่ยนไปทันที บุรุษผู้นี้คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพี่ใหญ่ด้วยกระมัง ?  เขามองมู่เฉียนซีและพบว่าดวงตาของนางเปล่งประกายทว่ามิได้พร่ามัวแต่อย่างใด  หากบุรุษผู้นั้นคิดจะฆ่าสตรีในใต้หล้านี้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย นั่นก็คือหายนะอย่างหนึ่ง ทว่าเขาไม่สามารถทำให้พี่ใหญ่หลงเสน่ห์ได้ ถึงอย่างไรแล้ว พี่ใหญ่ของเขาก็ไม่ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของบุรุษครอบงำเอาง่าย ๆ

บุรุษชุดเขียวยิ้ม กล่าวว่า “เยี่ย รีบเข้ามาสิ”

ทันใดนั้นร่างชุดดำเดินเข้ามาราวกับนักฆ่ายามรัตติกาล ร่างของเขามีกลิ่นอายต่อต้านไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามากรายใกล้  เหล่าบรรดาสาวงามที่อยากจะวิ่งเข้าไปหาจื่อโยว เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายต่อต้านนั้นพลันพากันรู้สึกตัวขึ้น พากันออกห่างไปไกล ๆ แทบจะไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งสอง

เหล่าบรรดาสาวงามทำได้เพียงแต่มองจื่อโยวไกล ๆ ด้วยความรักใคร่หลงใหลมัวเมา แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีพวกนางคนใดกล้าเข้าไปใกล้เขาเลย

จื่อโยวกล่าวพลางทอดถอนใจ “เยี่ย กลิ่นอายจิตสังหารของเจ้ามันมากเกินไปแล้ว ข้าอยู่กับเจ้าไม่มีสตรีผู้ใดกล้าเขาหาข้าสักคน! ข้าสาบานว่าคราวหน้าหากมาหาความสุขเช่นนี้ ข้าจะไม่พาเจ้ามาอีกเด็ดขาด”

ในใจลึก ๆ จื่อโยวลอบกลุ้มใจอยู่เช่นกัน บุรุษภายใต้หน้ากากที่อำพรางใบหน้านี้เป็นบุรุษรูปงามดุจดั่งปีศาจยิ่งกว่าเขาหลายเท่า  ทว่าบุรุษผู้นี้เคยชินกับความกระหายเลือด อีกทั้งเป็นคนเย็นชาอย่างยิ่งยวด สตรีใดที่พบเห็นต่างก็พากันตกใจกลัวหัวใจวายตาย เขาไม่เข้าใจความรู้สึกและความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิงเท่าไหร่นัก

ยากนักกว่าที่เขาจะเจอสตรีที่ทำให้เขาใส่ใจได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ไม่เกรงกลัวเขาด้วย แต่เยี่ยนั้น เขาตามเกี้ยวพาราสีนางอยู่นานแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที เกี้ยวพาราสีอยู่นานถึงเพียงนี้มันชัดเจนแล้วว่าดูเหมือนรูปร่างหน้าตาอันงดงามของเขาจะไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย

จิ่วเยี่ยเป็นผู้ที่ผิดแปลกไม่เหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไป ทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เขา ร่างชุดดำของเขาเดินผ่านไปเพียงปราดเดียว เขาก็เห็นมู่เฉียนซีที่นั่งอยู่ในห้องด้านบนแล้ว

จิ่วเยี่ยเข้าหานาง กอดนางไว้โดยที่ไม่สนใจอะไรเลย “เจ้า…”

‘บุรุษผู้นี้กล้าทำเช่นนี้กับพี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน ?’ เยวี่ยเจ๋อเห็นเช่นนี้เข้า ดวงตาเปล่งประกายความพิโรธ

จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเช่นนี้บ่อยแล้ว นางรู้สึกเคยชิน แต่เหตุใดครานี้ถึงได้กอดแน่นเช่นนี้เล่า ?

มู่เฉียนซีอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ เจ้ามีเรื่องอะไรรึ ?”

ทันใดนั้นจื่อโยวเดินเข้ามา กล่าวอย่างมีเสน่ห์ “สาวน้อย แท้ที่จริงแล้วเยี่ยหมายความว่าเขาคิดถึงเจ้ามาก คิดถึงเจียนจะขาดใจตาย คิดถึงอย่างสุดหัวใจ คิดถึงจนเจ็บปวดทรมานจิตใจ คิดถึงจนนอนไม่หลับ คิดถึงจน…”

“พอ!” จิ่วเยี่ยเอ็ด

.