Ep.566 – โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง

 

ชายในชุดดำที่ดูเป็นทางการ ยืนนิ่งอย่างสง่างาม เฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่าย

 

เขายิ้มแล้วมองมายังกู่ฉิงซาน รอคอยด้วยความคาดหวัง

 

แต่คำตอบที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวออกมา กลับทำให้สติของเขาหลุดลอย จำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลยทีเดียวจึงจะเรียกมันกลับคืนมาได้

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายร่างสูงในชุดทางการค่อยๆแข็งค้างไป

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน” น้ำเสียงของเขาเริ่มที่จะเย็นชา “คุณมักจะโง่เขลาและหยิ่งยะโสแบบนี้เสมอเลยหรือ?”

 

“งั้นจะบอกว่าที่แกพล่ามจุดประสงค์ของตัวเองในเชิงบังคับคนอื่นออกมา มันไม่หยิ่งยะโสเลยงั้นสิ?” กู่ฉิงซานสวนกลับ

 

ชายร่างสูงเหยียดมือออกไป และชี้ไปยังไฟเหลืออนันต์ของแดนชำระล้างใต้ฝ่าเท้าเขา

 

ลึกลงไปเบื้องล่างที่ไม่เห็นถึงก้นหลุม คือไฟแห่งการจองจำที่กำลังลุกไหม้

 

และถ้าหากคุณตั้งใจสังเกตมันอย่างรอบคอบ คุณก็จะพบว่ามีมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในเปลวไฟที่ว่านั่น

 

มอนสเตอร์เหล่านี้ กำลังใช้เปลวไฟที่ลุกโชนเป็นดั่งเกราะคุ้มภัยของตนเอง และเป็นดั่งผืนดินที่ใช้เหยียบย่าง วิ่งเล่นไปมา หยอกล้อกันและกัน

 

เมื่อชายคนนั้นเหยียดมือ ไม่ว่าจะเป็นเปลวไฟที่กำลังร่ายระบำหรือมอนสเตอร์ ทั้งหมดพลันหยุดกึกลงทันที และต่างจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน

 

พวกมันโน้มตัวลง และเริ่มแสดงท่าทีคุกคาม

 

“คุณอาจจะไม่รู้ ว่ากระผมต้องจ่ายไปมากเพียงใดเพื่อให้ส่วนหนึ่งของแดนชำระล้างมาฉายบนโลกโบราณใบนี้” ชายร่างสูงกล่าว

 

กู่ฉิงซานพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะ แต่น่าเสียดายจริงๆที่มอนสเตอร์ที่แกเตรียมเอาไว้ มันฆ่าฉันไม่ได้ ดังนั้นแกก็เลยทำได้แค่ต้องเลือกแสดงตัวออกมาคุยกับฉัน”

 

ว่าแล้วสองดาบก็ปรากฏขึ้นข้างกายกู่ฉิงซานจากในความว่างเปล่า

 

เขาพูดต่อ “ตอนนี้ฉันนึกออกแล้ว ว่าภาพมายาที่ไอ้เจ้ามอนสเตอร์เนินเขาทะมึนตัวเมื่อกี้เรียกออกมาและสถานที่ๆฉันเกือบจะถูกส่งไป – แท้จริงแล้วคงจะเป็นโลกแดนชำระล้างของแกงั้นสินะ ถูกไหม?”

 

ชายร่างสูงเงียบงันไปครู่หนึ่ง

 

“คุณหลักแหลมมาก มิสเตอร์กู่ฉิงซาน”

 

เขากล่าว ขณะเดียวกันก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น และเปิดเผยถึงแขนซ้ายของตนเอง

 

บนแขนซ้ายของเขา ปรากฏถึงลวดลายวงกลมที่กำลังลุกไหม้ควบคู่ไปกับมอนสเตอร์ที่มีสองเขาบนหัว

 

อย่างไรก็ตาม ไม่รีรอให้ใช้ออกด้วยเทคนิคใดๆ ดาบข้างกู่ฉิงซานหายวับไป และฉัวะ! จ้วงทะลุเข้าหน้าอกของอีกฝ่ายทันที!

 

และในช่วงเดียวกัน เบื้องหลังของเขาก็ปรากฏอีกคมดาบ จ้วงแทงทะลุเข้าไปในร่างจากในมุมเดียวกัน

 

ทว่ากลับได้ยินเพียงแค่เสียง ‘เคร้ง!’

 

สองดาบหนึ่งหน้า หนึ่งหลังปะทะกันเอง หนึ่งหลังแปรสภาพเป็นร่างเงาและหายวับไป ขณะที่อีกหนึ่งหน้าเป็นเช่าหยินที่ถูกสะท้อน หมุนกระเด็นกลับมา

 

กู่ฉิงซานเลิกคิ้วอย่างไม่คาดคิด และเอื้อมมือไปรับดาบเช่าหยิน

 

กลืนกินหวนกลับไม่สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ – นี่นับเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะพบเจอจริงๆ

 

“ไร้ประโยชน์! กระผมคือภาพฉายจากแดนชำระล้างที่อยู่ห่างจากที่นี่นับล้านๆโลก คุณไม่สามารถโจมตีกระผมได้” ชายร่างสูงหัวเราะ

 

เขาจ้องมองไปยังดาบเช่าหยินในมือของกู่ฉิงซาน แววตาฉายชัดถึงความโลภ “หากไม่ใช่เพราะดาบของเทพบรรพกาลในมือคุณ อย่างคุณน่ะหรือจะมีคุณสมบัติให้กระผมต้องมาเยือนด้วยตนเอง และจำต้องจ่ายราคาออกไปมากถึงเพียงนี้”

 

“แต่แกก็สู้ไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ? สรุปแล้วพวกคนจากแดนชำระล้างมันใช้ฝีปากในการแก้ปัญหากันรึยังไง?” กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความเสียดาย

 

“ไม่ คุณดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว มิสเตอร์กู่ฉิงซาน” เสียงของชายคนนั้นหม่นทะมึนลง

 

เขายกแขนขึ้น และทันใดนั้นเอง ลวดลายที่ลุกไหม้บนแขนของเขาก็เริ่มส่งกลิ่นกำมะถันรุนแรงออกมา

 

“ต้องขอบคุณผีแห่งความอลหม่านที่อัญเชิญกระผมมาในโลกใบนี้จริงๆ เพราะมันช่วยให้กระผมสามารถลากตัวคุณมายังแดนชำระล้าง เพื่อสำนึกผิดบาปถึงสิ่งที่ตนกระทำลงไปได้”

 

เปลวไฟไหลมารวมตัวกัน และก่อรูปขึ้นจากแขนของเขา

 

เปลวไฟอันไร้ที่สิ้นสุด ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายกำมะถันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า และค่อยๆก่อร่างเค้าโครงของมอนสเตอร์ประหลาดที่มีสองเขาขึ้น

 

“นายเหนือแห่งมารโลกัณฑ์ จ้าวแห่งอสูรกายผู้ควบคุมมิติและเวลาเอ๋ย-” เขาเริ่มกล่าวสรรเสริญ

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

เขาไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ แต่อีกฝ่ายกลับสามารถใช้เทคนิคมนตราเพื่อโจมตีเขาได้อย่างงั้นหรือ?

 

ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง

 

หากอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ของมิติแล้ว ทั้งสองฝ่ายควรจะมีสมดุลซึ่งกันและกัน

 

หาก ‘เวลานี้’ อีกฝ่ายสามารถโจมตีเขาได้แล้วล่ะก็ ถ้าอย่างงั้น-

 

‘เข้าใจแล้ว ตอนแรกอีกฝ่ายเลือกที่จะปล่อยให้ฉันโจมตีไปก่อน ก็เพื่อพิสูจน์ให้ฉันตระหนักว่าตนเองไม่สามารถทำร้ายมันได้ จากนั้นก็ฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จิตวิทยาที่ว่า ทำให้คิดว่าในช่วงเวลาที่มันกำลังร่ายมนตราอยู่นี้ ฉันก็ยังไม่อาจโจมตีได้เหมือนกันอย่างงั้นสินะ?’

 

ดาบพิภพกระตุ้นเตือนทันใด “เร็วเข้า! จงเร่งลงมือซะ! ช่วงเวลาที่มันเริ่มร่ายมนตรา เป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้!”

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ และเริ่มใช้ออกด้วยเทคนิคดาบในทันใด

 

“ฆ่ามันซะ!”

 

ดาบพิภพตอบสนองต่อคำสั่งของเขา มันวูบบบบ! เป็นภาพติดตา พรวดทะยานเข้าหาชายร่างสูงทันที

 

“หือ ใช้ดาบขยะเช่นนี้ คิดหรือว่าจะทำได้อย่างที่ต้องกา-”

 

ชายร่างสูงดูถูกเยาะหยัน

 

เขายื่นมืออีกข้างออกไป และวาดกำแพงอุปสรรคเปลวไฟขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ดาบบินเข้าถึงตัว

 

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ทันจะได้เย้ยศัตรูจนจบประโยค

 

ดาบพิภพกลับสามารถเจาะทะลวงผ่านชั้นกำแพงเปลวไฟมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันมันก็ระเบิดรังสีดาบสีขาวนวล ตัดฉับ! เป็นเขี้ยวจันทราโค้งมนลงใส่เป้าหมายทันที

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

 

พริบตานั้นชายร่างสูงถูกตัดครึ่งตั้งแต่หัว จรดลงมาถึงเท้าด้วยคมดาบเดียว

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาแข็งทื่ออยู่ในตำแหน่งเดิม

 

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงคำรามของมารที่ฟุ้งไปด้วยความไม่ยินยอมเปล่งออกมาจากเปลวไฟที่กำลังมอดดับลง

 

โครงร่างของมันยังมิถูกรังสรรค์จนสมบูรณ์ แต่ก็จำต้องสลายหายไปเสียก่อน

 

ดาบพิภพเงยขึ้น ขอบดาบของมันเกรอะกรังไปด้วยเลือดเย็นเยียบ ก่อนจะลอยขึ้นมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายร่างสูง

 

“เจ้าเป็นแค่ผีสวะจากแดนชำระล้าง แต่กลับกล้าที่จะอัญเชิญพวกมารมาต่อหน้าข้าอย่างงั้นหรือ?” ดาบพิภพเปล่งเสียงเย็นเยียบ

 

“แก … นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน … ”

 

เสียงของชายร่างสูงยังไม่ทันได้จบลง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็แยกออกเป็นสอง ทั้งซีกซ้ายและขวาต่างร่วงหล่นลงไปยังหลุมลึก

 

ไฟแห่งแดนชำระล้างอันไร้ที่สิ้นสุดเข้าโอบล้อมศพ และแผดเผาร่างเขาจนสิ้น

 

ปัง!

 

เปลวเพลิงพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ตามด้วยร่างเงาดำยักษ์ใหญ่ที่น่าขวัญผวาปรากฏขึ้นภายในกองไฟที่ลุกไหม้

 

“ดูเหมือนว่าการไกล่เกลี่ยจะล้มเหลวสินะ”

 

ร่างเงาดุร้ายถอนหายใจ

 

มันหันไปมองรอบๆ และในที่สุดเป้าสายตาก็ตกลงบนกู่ฉิงซาน

 

“แกสินะคือเจ้านายของมัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ใช่ ส่วนเจ้าก็คงจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวปัญหาใช่หรือไม่?” ร่างเงาดุร้ายคำราม “ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเยี่ยงนี้ แต่กลับกล้าที่จะเข้ามาขวางกั้นกระแสธารอันยิ่งใหญ่ของหน้าประวัติศาสตร์ ข้าควรจะพูดว่าเจ้ามีความกล้าหาญหรือว่าโง่เง่าดี?”

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพและกล่าว “สิ่งที่เรียกกันว่าหน้าประวัติศาสตร์น่ะ มันคือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างผู้คนนับไม่ถ้วนต่างหาก! ส่วนตัวแกที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเงามืดไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยถึงมัน แต่ถ้าแน่จริง ก็ออกมาจากกระดอง แล้วมาวัดกันไปเลยสิ ว่าประวัติศาสตร์มันจะเอนเอียงมาทางฝั่งไหนกันแน่”

 

“หดหัวอยู่ในเงามืดอย่างงั้นหรือ? เสียใจด้วยนะ เพราะข้าได้ลงมือไปแล้ว”

 

ร่างเงาดุร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “เทคนิคมนตราของข้า จำต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาเสียสละชีวิต ตกตายลงก่อนจึงจะสำแดงผล และตอนนี้ … ข้าก็ได้บรรลุถึงสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว”

 

จู่ๆกู่ฉิงซานก็รู้สึกแสบร้อนบนแขนของเขา

 

เขาเร่งยกแขนขึ้น และเห็นถึงสัญลักษณ์เปลวไฟทมิฬลุกลามขึ้นตามแขนของตัวเอง

 

ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างเทพสงครามก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“นายเหนือแห่งแดนชำระล้างได้ประทับสัญลักษณ์วิญญาณ  : ‘โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง’ ลงบนตัวของคุณ”

 

“โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง : เมื่อคุณตายลง นายเหนือแห่งแดนชำระล้างจะไล่ติดตามสัญลักษณ์นี้ข้ามผ่านพื้นที่และมิติเวลา มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าคุณโดยตรง”

 

“นายเหนือแห่งแดนชำระล้างจะนำจิตวิญญาณของคุณกลับไปยังดินแดนของเขา”

 

ร่างเงาดุร้ายกล่าว “ในเมื่อจบเรื่องแล้วก็คงต้องขอลาก่อน เอาไว้เจ้าตายลงเมื่อไหร่ ข้าจะไปนำพาเจ้าจมลงสู่การลงทัณฑ์แห่งแดนชำระล้างด้วยตนเอง”

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินก็ยิ้ม ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายอีกฝ่าย “งั้นก็ลาก่อน”

 

“นี่เจ้า – ทัศนคติที่แสดงออกมานั่นมันอะไรกัน?” เงาดำดุร้ายสับสน

 

“ก็ในเมื่อคนแบบแก ที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเงามืด กล้าจะเชื้อเชิญฉันไปยังแดนชำระล้าง งั้นก็เตรียมตกลงจากเก้าอี้ของตัวเองได้เลย!”

 

ดาบพิภพและเช่าหยินวูบไหวพร้อมกัน

 

เทคนิคดาบถูกกระตุ้นใช้งานอีกครั้ง

 

ฟิ้วววว!

 

สองรังสีดาบนวลผ่องขนาดใหญ่ฟาดเข้าใส่เงาดำยักษ์ ทว่าสุดท้ายก็ทะลุผ่านไป

 

พลาดงั้นหรอเนี่ย!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

 

เดิมทีกู่ฉิงซานคิดจะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่ลงมือสังหารชายร่างสูง แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้ อีกฝ่ายที่อยู่ในเงามืดจะใช้เทคนิคมนตราเสร็จสิ้นแล้ว ปัจจุบันมันจึงเป็นเพียงภาพฉายจากแดนชำระล้างเท่านั้น ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้

 

“ก็แค่คำคุยโวที่พวกมนุษย์สามัญมักจะโอ้ปวดออกมา รอให้ความตายมาเยือนเจ้าเสียก่อนเถอะ เมื่อนั้นเจ้าจึงจะเข้าใจว่าอะไรคือความหวาดกลัวที่แท้จริง” เงาดุร้ายกล่าว

 

“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ว่าใครกันแน่คือคนสุดท้ายที่ต้องหวาดกลัว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เหอะ! หากในเวลานี้ มิใช่เพราะดาบของเจ้าแล้วล่ะก็ –”

 

ร่างเงาดุร้ายจ้องมองไปยังดาบเช่าหยิน ก่อนจะส่ายหัวด้วยความเสียดาย

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ร่างเงามืดทั้งหมดก็หายวับไป พร้อมกันกับเปลวไฟแห่งแดนชำระล้างทั้งมวลที่มอดดับลง

 

ภายในหลุม หลงเหลือเพียงอากาศอบอ้าวที่ว่างเปล่า

 

“มันหนีเร็วเกินไป ไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าได้โจมตีอีกเป็นครั้งที่สองเลย” ดาบพิภพพึมพำ

 

แล้วมันก็บินกลับมาข้างกายกู่ฉิงซาน

 

“เจ้าสิ่งนั้นคือภูติผีสินะ? แล้วเจ้าพอจะรู้ไหมว่ามันอยู่ในระดับใดกัน?”

 

“ใช่ มันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆจากแดนชำระล้างในยุคโบราณ ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ก็เลยกลายเป็นใหญ่เท่านั้น” ดาบพิภพกล่าว

 

“ว่าแต่เหตุใดกัน ข้าจึงรู้สึกได้ว่า สภาวะของเจ้าดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

การฟาดฟันเมื่อครู่นี้ แม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้ทำการกระตุ้นเทคนิคดาบไปแล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของเขา การโจมตีของดาบพิภพดูเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

 

ระหว่างผู้ฝึกดาบกับจิตแห่งดาบ จะสามารถรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เมื่อเร็วๆนี้ ตัวข้าไม่มีแต้มพลังวิญญาณมากพอที่จะคอยมาบำรุง หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นปัญหาเดิมๆจึงเกิดขึ้น” ดาบพิภพกล่าว

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นหมองลง

 

ดาบพิภพ เป็นดาบที่อยู่ร่วมกันกับเขามายาวนานที่สุด มันคือมรดกจากอาจารย์แห่งนิกายเขา แต่ตอนนี้ มันกลับดูเหมือนจะมีความผิดปกติบางอย่างขึ้น

 

“มานี่ ข้าจะมอบแต้มพลังวิญญาณแก่เจ้าเอง”

 

กู่ฉิงซานถ่ายโอนผ่านระบบเทพสงคราม ส่งผ่านแต้มพลังวิญญาณลงในดาบพิภพทันที

 

เนื่องจากตัวเขาเวลานี้ครอบครองแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าเกือบล้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะมอบหนึ่งแสนแต้มพลังวิญญาณให้แก่ดาบพิภพโดยตรง

 

“อ่า รู้สึกดีขึ้นเยอะ ขอบใจเจ้ามาก” ดาบพิภพกล่าว

 

กู่ฉิงซานทดลองใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ

 

ดาบพิภพวูบไหว ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันใด ร่ายระบำด้วยเทคนิคดาบตัดสายลมชุดหนึ่งอย่างคล่องแคล่วและเสรี

 

เมื่อสภาวะของดาบพิภพกลับคืนมาดีดังเดิมอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย