บทที่ 93 เกาะมณีสวรรค์! (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

หลังจากนั้นขึ้นไปอีกประมาณ 1,000 เมตร พวกเขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ เป็นอีกครั้งที่หลินเทียนอ้าวเตือนสหายของเขาให้ระมักระวังตัวให้ดี พวกเขาชะลอความเร็วลงเนื่องจากมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า เมื่อเดินทางขึ้นไปสูงมากยิ่งขึ้น อุณหภูมิก็ลดต่ำลงเช่นกัน เซียวเอี๋ยนถูกบังคับให้ปล่อยพลังปราณสวรรค์ธาตุไฟของเขาออกมาเพื่อขับไล่หมอกที่อยู่รอบๆ ตัวและเพิ่มความอบอุ่นให้กับคนในกลุ่ม ทุกๆ 1,000 เมตรที่พวกเขาก้าวขึ้นไปหมายถึงอุณหภูมิที่ลดลงประมาณ 6 องศา แต่ด้วยความช่วยเหลือของเซียวเอี๋ยนและร่างกายที่แข็งแกร่งในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ นั่นจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับทุกคน พวกเขาเคยได้ยินมาว่าเสาค้ำเหล่านี้สูงกว่า 5,000 เมตร แต่ก็ไม่ทราบความความสูงที่แท้จริงคือเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นการเดินขึ้นครั้งแรก พวกเขาจึงต้องใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุด

หมอกรอบตัวพวกเขาค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ หลังจากเดินเท้าอีก 1 ชั่วโมง ทิวทัศน์เบื้องหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไปแทบจะทันทีเมื่อเดินทะลุผ่านทะเลเมฆและก้มลงเห็นพวกมันลอยเท้งอยู่ด้านล่าง!

ดวงตาของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่เต็มไปด้วยภาพทิวทัศน์ที่งดงามเจิดจ้า พวกเขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าตรงหน้าได้อย่างชัดเจน พวกมันเป็นสีฟ้าที่งดงามพร้อมพรั่งไปด้วยสีสันอันแสนสดใส แสงแดดสามารถส่องลงมาปะทะกับร่างของทุกคนได้โดยตรง ที่ข้อเท้าของพวกเขาคือกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ซึ่งดูคล้ายปุยนุ่นที่ไม่อาจจับต้องได้ ทิวทัศน์ดังกล่าวทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาหลุดเข้าไปในดินแดนแห่งพิภพอื่นโดยสิ้นเชิง ทำให้อดไม่ที่จะรู้สึกตื่นตะลึงและอัศจรรย์ใจ

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของบันได เหนือศีรษะของพวกเขาห่างออกไปประมาณ 2,000 เมตรโดยประมาณปรากฏภาพเกาะมณีสวรรค์ขึ้นมาในทันที พวกเขายังสามารถเห็นเสาอีก 15 ต้นที่กำลังค้ำเกาะขนาดใหญ่นี้เอาไว้ด้วย ทั้งหมดล้วนก่อให้เกิดเป็นภาพอันน่าพิศวงราวกับอยู่ในห้วงฝัน

เกาะมณีสวรรค์ นี่คือเกาะมณีสวรรค์ในตำนาน!

แม่มดน้อยพึมพำกับตัวเอง “เกาะมณีสวรรค์ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่แห่งปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินใหญ่…สมควรแล้วที่ได้รับการกล่าวขานเช่นนี้ นี่เหมือนกับสรวงสวรรค์มาจุติกลางโลกมนุษย์ชัดๆ!”

เธอไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคนได้เห็นภาพเหล่านี้เช่นกัน และสิ่งที่เห็นก็จุดประกายความกริ่งเกรงและความตื่นเต้นในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจแสดงออกมาเป็นคำพูดเพียงอย่างเดียวได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งของที่พวกเขาจะได้รับบนเกาะอัญมณีสวรรค์เลย แค่ทัศนียภาพที่ชัดเจนกระจ่างตาและความยิ่งใหญ่ของเกาะมหัศจรรย์แห่งนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาตกตะลึงและอิ่มเอมภายในใจ

เกาะมณีสวรรค์นั้นมีขนาดใหญ่ก็จริง แต่ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่จนเกินไป อย่างน้อยก็ไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับเสาทั้ง 16 ต้นที่รองรับเกาะเเห่งนี้เอาไว้ เมื่อมองจากระยะไกลๆ พวกเขาก็ประเมินได้ว่าเกาะแห่งนี้มีขนาดพอๆ กับเมืองหลวงจ้งเทียน จากระดับสายตาของพวกเขา ด้านล่างของเกาะกลายเป็นสีดำสนิท แต่สำหรับสิ่งที่อยู่ด้านบน พวกเขาจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไปถึงจุดหมายแล้วเท่านั้น

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกพลางพูดว่า “ว้าว น่าทึ่งจริงๆ ท่านว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งเกาะมณีสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นดิน? นั่นจะไม่ทำลายเมืองจ้งเทียนที่ตั้งอยู่ด้านล่างหมดหรือ?”

หลินเทียนอ้าวส่งสัญญาณให้เขาเงียบปากและกล่าวว่า “อย่าพูดเรื่องนั้นอีก นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะนำมาล้อเล่นได้อย่างสนุกปาก ตอนนี้เราใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ข้าจึงต้องเตือนพวกเจ้าทุกคนเอาไว้ เมื่อไปถึงเกาะมณีสวรรค์แล้วเจ้าทุกคนต้องระวังคำพูดของตัวเองให้ดี ที่นี่คือวังสวรรค์ไพศาลและมียอดฝีมือมากมายอยู่ที่นี่ ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากไม่จำเป็นเจ้าก็ไม่ควรก่อปัญหาใดๆ และข้าก็อยากให้ทุกคนรวมกลุ่มกันไว้ตลอดเวลาด้วย”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยและในที่สุดหลินเทียนอ้าวก็เดินนำต่อไปอย่างพึงพอใจ

ที่ความสูงระดับนี้อุณหภูมิจึงลดลงมากตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีเมฆหมอกมาบดบังทัศนวิสัยการมองเห็น พวกเขาก็สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วมากยิ่งขึ้น จากจุดนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นได้แล้วว่าอีก 3 กลุ่มเกือบจะถึงเกาะมณีสวรรค์แล้ว เนื่องจากตอนนี้สภาพแวดล้อมค่อนข้างปลอดภัย พวกเขาจึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าด้วยเช่นกัน

ในที่สุดหลังจากผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเกาะมณีสวรรค์ที่สูง 5,000 เมตรได้สำเร็จ หลังผ่านการตรวจสอบป้ายมณีสวรรค์และขั้นตอนการลงทะเบียนของพวกเขาอีกครั้ง ทุกคนก็เข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ได้จริงๆ เสียที

กลุ่มนักรบอีก 3 กลุ่มมาถึงก่อนหน้านี้แล้วและหลายคนก็ดูหงุดหงิดขณะที่ต้องยืนรอให้กลุ่มนักรบเฟยหลี่มาถึง

ซ่างกวนหลงหยินกล่าวว่า “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนก็ถึงแล้ว ทุกคนสามารถไปพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ การต่อสู้รอบชิงชนะเลิศจริงจะเริ่มขึ้นในอีก 3 วันถัดไป ส่วนเวลาใน 3 วันนี้ พวกเจ้าสามารถแยกย้ายไปเที่ยวบนเกาะได้อย่างอิสระตามที่เจ้าต้องการ อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนว่ามีบางพื้นที่ที่ถูกจำกัดการเข้าถึงเอาไว้ ดังนั้นหากพวกเจ้าถูกขัดขวางก็อย่าพยายามฝืนเข้าไปโดยการบังคับใช้กำลัง มิฉะนั้นเจ้าจะถูกมองว่าเป็นผู้รุกรานที่ไม่เป็นมิตร หากเจ้าต้องการสิ่งใดหรือมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับเกาะมณีสวรรค์ เจ้าสามารถสอบถามพนักงานคนใดของที่นี่ก็ได้ อีกสักครู่จะมีคนพาทุกคนไปยังที่พักของตนเอง”

หลังจากพูดแบบนั้น ซ่างกวนหลงหยินก็สลายร่างไปเป็นควันกลางอากาศและหายไปในพริบตา

แน่นอนว่าสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ย่อมต้องได้ยินคำพูดของซ่างกวนหลงหยินอย่างชัดเจน แต่ทว่าพวกเขากลับไม่ได้รีบร้อนลงมือทำสิ่งต่างๆ และค่อยๆ ใช้เวลาไปกับการสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรวมของเกาะที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาอยู่แทน

ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าตนเองไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นระหว่างทางอีกต่อไป แม้แต่ระดับความชื้นก็สูงกว่าตอนที่พวกเขาปีนเสาขึ้นมาจริงๆ เห็นได้ชัดว่าความชื้นต่ำกว่าระดับพื้นดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าบรรยากาศเกือบจะเหมือนพื้นดินข้างล่างเลยทีเดียว

บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นหญ้าและต้นไม้เขียวขจี มีพืชพรรณหลากหลายชนิดที่เติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ ไกลออกไปมียอดเขาก่อตัวเป็นแนวเทือกเขาทอดยาวเรียงรายสลับกันไป หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาเพิ่งปีนเสาขึ้นมาถึงสถานที่แห่งนี้และกำลังเหยียบมันอยู่ใต้ฝ่าเท้า ทุกคนก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือระดับความสูง 5,000 เมตรบนท้องฟ้า!

เมื่อเทียบกับความประหลาดใจและความอยากรู้อยากเห็นของกลุ่มนักรบเฟยหลี่แล้ว อีก 3 กลุ่มที่เหลือนั้นดูสงบเยือกเย็นกว่ามาก นั่นเป็นเพราะหลายคนเคยมาที่นี่ก่อนหน้าแล้วนั่นเอง

พนักงานผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแต่ละกลุ่มจำนวนทั้งหมด 4 คนเดินไปหากลุ่มนักรบทั้งหมดตามลำดับเพื่อนำพวกเขาไปยังที่พัก ทว่าแต่ละกลุ่มไม่ได้มุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าที่พักของพวกเขาทั้งหมดตั้งอยู่แยกจากกันแน่นอน

ผู้นำทางชุดขาวของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ดูเหมือนจะมีอายุราวๆ 30 ปี โจวเหว่ยชิงเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังที่พักและถามอย่างสงสัย “พี่ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราทุกคนมาเยือนเกาะมณีสวรรค์แห่งนี้ ท่านช่วยเล่ารายละเอียดของเกาะทั้งเกาะให้พวกเราฟังสั้นๆ ได้ไหม?”

ชายในชุดขาวยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “แน่นอน ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่เข้าสู่ 4 อันดับแรกได้ เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ไม่มีกลุ่มอื่นนอกเหนือจากกลุ่มตัวเต็งได้ผ่านเข้ารอบมา เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบบนเกาะในช่วงเวลานั้นและไม่สามารถชมการประลองของพวกเจ้าได้”

“สำหรับเกาะมณีสวรรค์ของเรามีสถานที่ 3 แห่งที่มีชื่อเสียงที่สุด นั่นก็คือวังสวรรค์ไพศาล ศาลาศาสตรามณียุทธ์ และวังกักเก็บทักษะ โดยปกติแล้ววังสวรรค์ไพศาลจะไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมและถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเกาะของเรา ดังนั้นแขกส่วนใหญ่จึงมักจะไปเยี่ยมชมศาลาศาสตรามณียุทธ์และวังกักเก็บทักษะกันมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าทั้งศาลาศาสตรามณียุทธ์และวังกักเก็บทักษะของเรามีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งทวีปอย่างแท้จริง ภายหลังเมื่อไปถึงที่พักของท่าน ท่านก็จะเห็นว่าที่พักนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่มีชื่อเสียงทั้ง 2 แห่งของพวกเราเลย ทั้งหมดล้วนตั้งอยู่ในบริเวณเขตใจกลางของเกาะ สำหรับพวกท่านทุกคนแล้ว บริเวณใจกลางของเกาะเป็นสถานที่เดียวที่เปิดให้เข้าชม ส่วนบริเวณอื่นๆ โดยเฉพาะในป่าด้านนอกจะไม่มีการเปิดให้เข้าไปข้างใน หากฝ่าฝืนท่านจะถูกมองว่าเป็นผู้รุกรานที่ไม่เป็นมิตร”

เมื่อฟังคำแนะนำง่ายๆ ของผู้นำทางของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็เห็นภาพคร่าวๆ ของเกาะมณีสวรรค์ทั้งหมดทันที แน่นอนว่าบริเวณพื้นที่ป่าซึ่งถูกจำกัดไว้สำหรับคนในพื้นที่นั้นมีความลับซ่อนอยู่มากมาย บางทีในนั้นอาจจะมีถ้ำมังกรทั้ง 13 หรือแม้แต่พืช สมบัติ สัตว์ หรือแร่หายากก็เป็นได้ แน่นอนว่าเกาะมณีสวรรค์แห่งนี้เป็นสมบัติของวังสวรรค์ไพศาลและเป็นหัวใจสำคัญของอาณาจักรจ้งเทียน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับที่นี่แน่หากไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ

เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปในเกาะ อากาศก็พลอยสดชื่นและโล่งปอดมากขึ้น เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของพืชพรรณนานาชนิด เมื่อรวมกับแดดบริสุทธิ์อ่อนๆ ที่สาดแสงลงมา มันก็เหมือนกับที่แม่มดน้อยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้

ภายในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ คนที่ถูกฉากตรงหน้ามอมเมาจนตกอยู่ในห้วงภวังค์ลึกคือแม่มดน้อย นั่นเป็นเพราะเธอมีทักษะธาตุชีวิต เมื่อได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เช่นนี้ ประสาทสัมผัสของเธอจึงเปิดกว้างกว่าคนอื่นๆ

พนักงานผู้นั้นนำพวกเขาเดินทางไปเกือบ 15 นาทีก่อนจะมาถึงพื้นที่บริเวณใจกลางเกาะที่เขากล่าวถึงก่อนหน้า

ภาพเบื้องหน้าเกือบจะเหมือนเป็น ‘เมือง’ เล็กๆ ในตัวของมันเอง ขาดก็แค่ไม่มีประตูเมืองเท่านั้น ถึงอย่างไรมันก็ตั้งอยู่บนเกาะมณีสวรรค์ที่สูงเสียดฟ้า เช่นนั้นจะต้องการกำแพงสูงและประตูเมืองไปทำไม

ตามถนนกว้างมีร้านค้าเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางและเจ้าของร้านทุกคนล้วนแต่งตัวคล้ายกับผู้นำทางของพวกเขา อย่างไรก็ตาม จริงๆแล้วร้านค้าเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนธรรมดาๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า หรือสิ่งของจำเป็นบางอย่าง

หลังได้ยินคำแนะนำของอีกฝ่าย สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็พลันตระหนักว่าร้านค้าทั้งหมดนั้นไม่ได้ขายอาหารหรือเสื้อผ้าธรรมดา แต่เป็นเหล่าสมบัติหายากต่างหาก ตัวอย่างเช่นอาหารที่วางขายอาจเป็นเนื้ออสูรสวรรค์หรือพืชที่หายาก ในขณะที่เสื้อผ้าก็ทำจากวัสดุล้ำค่าและเป็นงานฝีมือซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังมีโรงเตี๊ยมขนาดเล็กเป็นพิเศษเพื่อรองรับแขกที่มีป้ายมณีสวรรค์ แน่นอนว่าข้าวของทั้งหมดนั้นมีราคาแพงมาก

ตามคำกล่าวของผู้นำทาง แม้แต่โรงเตี๊ยมที่ถูกที่สุดก็ยังมีราคามากกว่า 1,000 เหรียญทองต่อคืนและนั่นก็ยังไม่รวมค่าอาหารด้วยซ้ำ แน่นอนว่าในขณะที่เข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ พวกเขาจะไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก แต่บริการนี้ก็จะคงอยู่แค่ในช่วงงานประลองมณีสวรรค์เท่านั้น

บนเกาะมณีสวรรค์มีกฏห้ามมิให้ผู้ใดออกมาเตร็ดเตร่ตามท้องถนนยามค่ำคืนและต้องหาที่พักอาศัยอยู่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ หรืออะไรก็ตาม ดังนั้นหากต้องการอยู่ที่นี่เป็นเวลานานเพื่อฝึกปราณและใช้ประโยชน์จากศาลาศาสตรามณียุทธ์หรือวังกักเก็บทักษะอย่างเต็มที่ พวกเขาจะต้องตระเตรียมเงินมาจำนวนมหาศาล นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เกาะมณีสวรรค์ใช้จำกัดหรือควบคุมปริมาณแขกของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟันกำไรด้วย

สมาชิกมองเห็นศาลาศาสตรามณียุทธ์และวังกักเก็บทักษะอยู่ในระยะสายตาอย่างรวดเร็ว พวกมันตั้งอยู่บริเวณด้านข้างเขตใจกลางเมืองและไม่ไกลจากกันและกันมากนัก ส่วนอีกทางด้านหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ทำให้ทัศน วิสัยการมองเห็นแทบจะเป็นศูนย์ เห็นได้ชัดว่านั่นคือเขตวังสวรรค์ไพศาล พวกเขาน่าจะใช้ผนึกหรือการป้องกันที่ไม่มีใครรู้จักปล่อยหมอกออกมาเพื่อซ่อนสถานที่แห่งนั้นเอาไว้จากสายตาของคนภายนอก

เมื่อเทียบกับวังกักเก็บทักษะและศาลาศาสตรามณียุทธ์ของเมืองหลวงจ้งเทียนแล้ว ขนาดของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนเกาะอัญมณีสวรรค์นั้นถือว่าเล็กกว่ามาก เรียกได้ว่าสถานที่เหล่านี้มีขนาดพอๆ กับวังกักเก็บทักษะในเมืองภูเขาลอยฟ้าที่โจวเหว่ยชิงเคยไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ของที่อยู่ในนั้นต้องมีคุณภาพเหนือกว่าขนาดที่เห็นแน่นอน

กลุ่มนักรบเฟยหลี่ได้พักในโรงแรมไร้ชื่อที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลาศาสตรามณียุทธ์และวังกักเก็บทักษะ มันไม่ได้หรูหราหรือใหญ่โตเป็นพิเศษ ทว่าดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบดี แม้แต่การเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเพียงอย่างเดียวก็มีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1,000 เหรียญทองต่อคนต่อวันแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่ราคาของห้องเดี่ยวด้วย คนที่ตั้งราคาพวกนี้ต้องบ้าไปแล้วชัดๆ!

ก่อนที่ผู้นำทางจะจากไป เขาก็บอกทุกคนว่าในช่วงงานประลองมณีสวรรค์ พวกเขาจะไม่ถูกคิดเงินค่าที่พัก แต่นั่นยังไม่รวมอาหารในแต่ละมื้อด้วย ส่วนใครจะอยากกินอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้วว่าจะจัดการอย่างไร

ตามปกติแล้วพวกเขาจะรวมตัวกันในห้องของหลินเทียนอ้าว กลุ่มนักรบเฟยหลี่ออกเดินทางจากเมืองจ้งเทียนตั้งแต่เวลาเช้าตรู่และตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว ทุกคนจึงต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องอาหารกลางวัน

เย่เป่าเปาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “โชคดีที่เราทุกคนได้เงินมาพอสมควร มิฉะนั้นเราจะต้องอดอยากไปตลอดงานประลองแน่ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเรากำลังเดินเข้ามา ข้าได้ลองสำรวจราคาอาหารแล้ว บอกได้เพียงอย่างเดียวว่าโหดเหี้ยมมาก”

สำหรับเย่เป่าเปาลูกชายของเสนาบดีอาณาจักรเฟยหลี่ การที่เขาพูดว่าอาหารนั้น ‘แพง’ และ ‘ราคาโหดร้ายมาก’ ทุกคนย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าราคาที่แท้จริงของมันจะเป็นอย่างไร

ขี้เมาเป่าตบไหล่โจวเหว่ยชิงและยิ้มอย่างชั่วร้าย “ไม่มีปัญหา พวกเรามีคนรวยคอยเลี้ยงดูอยู่ที่นี่แล้วนี่หว่า!”

โจวเหว่ยชิงมองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ และพูดว่า ไม่มีทาง ข้าจะไม่เลี้ยงพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”