ตอนที่ 260 เธอไม่ใช่คนถนัดซ้ายนี่!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เธอไม่พูดอะไร เพียงใช้มือขวาหยิบปากกาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งลงสมุดบันทึกต่อหน้าอีกฝ่าย

 

 

ร่างกายของเมิ่งซินหรานแข็งทื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า มองฉินหร่านที่กำลังเขียนหนังสืออย่างตกตะลึง

 

 

เธออยู่โรงเรียนมานาน ได้ยินเรื่องของฉินหร่านมาไม่น้อย

 

 

อย่างเช่นที่ว่าเธอคือคนถนัดซ้าย หรือเธอเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายไม่ค่อยสวย…

 

 

ทว่าตอนนี้…

 

 

เธอมองดูตัวหนังสือบนกระดาษ ตัวอักษรมั่นคงหนักแน่น ลายเส้นดูมีชีวิต ไม่เหมือนข่าวลือจากทางฝั่งนั้นที่เธอได้ยินมาสักนิด เมิ่งซินหรานลุกจากเก้าอี้ทันที ทั่วทั้งตัวราวกับก้อนหินไม่ปาน

 

 

ฉินหร่านมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นโยนปากกาลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้น พร้อมรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอันสวยงามของเธอ “ขอโทษทีนะ ฉันไม่ใช่คนถนัดมือซ้ายน่ะ”

 

 

ประโยคนี้ราวกับฟ้าผ่าระเบิดลงมาลงกลางหัวเมิ่งซินหราน เธอมองฉินหร่าน สัมผัสได้เพียงแววตาที่มืดบอด ชั่วแวบเดียวร่างกายดูเหมือนจะวูบไป!

 

 

เธอวางแผนอย่างยากลำบากมานาน เพื่อให้ฉินหร่านเข้าสอบในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ขณะที่เธอถูกขังทั้งตลอดบ่ายและเย็น สิ่งที่ปลอบใจตัวเองได้เรื่องเดียวคือมือซ้ายของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้!

 

 

เธอวางแผนร้อยแปดพันเก้า แต่คิดไม่ถึงว่า แท้จริงแล้วฉินหร่านไม่ใช่คนถนัดซ้าย? เช่นนั้นตัวเองวางแผนเยอะแยะมากมายเพื่ออะไรกัน?!

 

 

ครบกำหนดห้านาที มีคนเข้ามาจากด้านนอก เพื่อนำตัวเมิ่งซินหรานที่ขวัญหนีดีฝ่อออกไป

 

 

ระหว่างทาง ในที่สุดเมิ่งซินหรานก็ได้สติกลับมา เธอถูกตำรวจหญิงล็อกแขน “โทรศัพท์ฉันล่ะ? เอาโทรศัพท์ฉันคืนมา ฉันต้องการโทรหาพ่อ!”

 

 

ตำรวจหญิงมองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรก่อนให้คนนำโทรศัพท์มาคืนให้เมิ่งซินหราน

 

 

เมิ่งซินหรานดูเวลา ผ่านไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งบ่ายแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาสอบ นิ้วมือสั่นระริก กดโทรศัพท์หาคุณพ่อของเธอ

 

 

“พ่อคะ ตอนนี้หนูอยู่ที่…” เมื่อได้รับเสียงเชื่อมต่อจากอีกฝ่ายเมิ่งซินหรานรีบพูดสถานการณ์ตอนนี้อย่างรวดเร็วให้พ่อของเธอรับรู้

 

 

ในสายตาของเธอ เรื่องฉินหร่านโดนรถชนเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น

 

 

ทว่าตอนนี้เมิ่งซินหรานกลัวแล้ว

 

 

“เมิ่งซินหราน”เสียงของคุณเมิ่งฝั่งนั้นแข็งกร้าวยิ่ง “ฉันให้อาเขยของเธอไปขอร้องฉินหร่านแล้ว หากเธอยอม พวกเราอาจจ้างทนายได้ หากเธอไม่ยอม…เธอก็ได้แต่อยู่ในคุกแล้ว…”

 

 

“จ้างทนาย? ขอร้องฉินหร่าน?” ดูเหมือนว่าเมิ่งซินหร่านกำลังฟังเรื่องตลกอยู่ไม่ปาน เธอดึงมุมปาก “พ่อ นี่พ่อเล่าเรื่องตลกอยู่เหรอ? ทำไมหนูต้องไปขอร้องเธอด้วย ก็แค่ผู้หญิงตัวคนเดียว ทั้งบ้านสกุลหลินกับฉินอวี่ไม่ได้สนใจเธอด้วยซ้ำ!”

 

 

“ตัวคนเดียว?” คุณเมิ่งสงบลง ตอนนี้เขาเพียงรอคำตอบจากหลินฉี แม้แต่แรงจะร้องไห้ของเมิ่งซินหรานก็ยังไม่มี “ทำไมผู้หญิงตัวเดียวถึงทำให้สกุลเมิ่งโดนสอบสวนได้? เมิ่งซินหราน พ่อบอกเธอก่อนหน้านี้แล้ว ว่าอย่าหยิ่งยโสให้มากเกินไป ความหวังของเธอในตอนนี้คือให้อาเขยของเธอได้ทำตัวมีประโยชน์บ้าง มิเช่นนั้น…แม้แต่พ่อเองก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้”

 

 

**

 

 

ฉินหร่านออกจากสถานีตำรวจ ขณะเฉิงเจวี้ยนรอเธอที่ประตูทางเข้า

 

 

เฉิงมู่จอดรถรออยู่ด้านนอก

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูรถฝั่งซ้ายให้ฉินหร่านขึ้นไปก่อน ก่อนเดินอ้อมขวาไป

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่ข้างคนขับ เขาพิงประตูรถอย่างเกียจคร้าน มือพิงหลังเก้าอี้ หันมองฉินหร่านที่นั่งอยู่ด้านหลัง พลางเลิกคิ้วถาม “เธอไปหาเมิ่งซินหรานทำไม?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปิดฝากระติกน้ำอุ่น ส่งแก้วให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านรับมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนตอบอย่างไม่สนใจว่า “ไม่มีอะไร แค่เอาของขวัญชิ้นหนึ่งไปเท่านั้น”

 

 

“เอาเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งพูดอย่างไม่เต็มใจ เขากันกลับมาคาดเข็มขัดนิรภัย ให้เฉิงมู่ขับรถกลับไปยังโรงพยาบาล

 

 

เดิมวันนี้เก้าโมงเช้าฉินหร่านต้องเช็กร่างกายทั้งหมด

 

 

แต่เธออยากพบหลินซือหรานเป็นการชั่วคราว คนอื่นจึงตามเธอมาด้วย ดังนั้นเฉิงมู่จึงขับรถมาที่นี่แต่เช้าตรู่ เพื่อขับกลับมาตรวจร่างกายต่อ

 

 

เมื่อทั้งสี่คนมาถึงโรงพยาบาล เฉิงเจวี้ยนขึ้นไปติดต่อกับหมอ ลู่จ้าวอิ่งและเฉิงมู่ขึ้นไปชั้น28กับฉินหร่าน

 

 

ตอนนี้พ่อบ้านเฉิงพูดคุยกับคนที่ประตูห้องพักผู้ป่วย เมื่อได้ยินเสียงลิฟต์ เขารีบมองทางด้านหลัง ส่งเสียงดีใจอย่างชัดเจน “คุณหนูฉินรีบมาเร็วครับ แม่ของคุณมาเยี่ยม”

 

 

เขาหลบให้คนด้านข้าง เพื่อให้หนิงฉิงและหลินฉีปรากฏตัวทางด้านหลัง

 

 

เมื่อเห็นสองคนนั้น ลู่จ้าวอิ่งก็สอดมือเข้ากระเป๋า พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ลมอะไรพัดให้ผู้เฒ่าหลินและคุณนายหลินมาที่นี่ได้?”

 

 

เฉิงมู่ที่ยืนหลังฉินหร่าน เพียงขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไร

 

 

พ่อบ้านเฉิงไม่เคยได้ยินพวกของเฉิงมู่พูดถึงเรื่องพ่อแม่ของฉินหร่าน

 

 

ทั้งเขาไม่ได้ค้นประวัติชีวิตของฉินหร่านอย่างละเอียด ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าหนิงฉิงคือแม่ของฉินหร่านเขาจึงทำตัวมีมารยาทยิ่ง

 

 

เมื่อได้ยินลู่จ้าวอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง พลางมองหนิงฉิงและหลินฉีด้วยท่าทีนิ่งเฉย

 

 

เมื่อหนิงฉิงไม่เห็นเฉิงเจวี้ยน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ

 

 

แต่เมื่อได้ยินเสียงของลู่จ้าวอิ่ง เธอจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย พลางยื่นมือลูบผมโดยไม่รู้ตัว ชั่วเวลานั้นไม่รู้ว่าต้องเริ่มพูดอะไร

 

 

“หรานหร่าน ฉันกับแม่ของหนูมาเยี่ยม มือของหนู…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” สายตาของหลินฉีหยุดลงที่มือของฉินหร่าน

 

 

มือซ้ายของเธอใส่เฝือกอยู่

 

 

ในใจของหลินฉีรู้สึกกังวล

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉินหร่านมองตาสองคนนั้น พลางเลิกคิ้ว เธอไม่คิดว่าแม้แต่หนิงฉิงจะมาเยี่ยมเธอได้?

 

 

“เข้าไปเถอะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่ข้างนอก” ลู่จ้าวอิ่งเดินนำไปก่อน จากนั้นเงยหน้าส่งสัญญาณให้พ่อบ้านเฉิงเปิดประตู

 

 

เขาพาฉินหร่านเข้าไป

 

 

หนิงฉิงที่อยู่ด้านนอกรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง พลางมองตาหลินฉี

 

 

หลินฉีขมวดคิ้ว เขามองหลังฉินหร่าน พิจารณาอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนพยักหน้าช้าๆ

 

 

ทั้งสองเดินเข้าไป

 

 

พ่อบ้านเฉิงและเฉิงมู่ยังอยู่ด้านนอก เขาปิดประตูห้องพักผู้ป่วย ไม่ได้เข้าไปทันที

 

 

แต่เดินไปหาเฉิงมู่ ถามเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างฉินหร่านกับแม่เหรอครับ? ผมเห็นนายน้อยลู่ก็…”

 

 

“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉินหร่านไม่เคยสนใจเธอ” เฉิงมู่มองไปที่ประตู พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อวานเมื่อหลินจิ่นเซวียนรู้ข่าวก็มาเยี่ยมคุณหนูฉิน แต่แม่ของเธอไม่มาด้วย วันนี้จู่ๆ ก็มาหาคุณหนูฉิน คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่”

 

 

เมื่อพ่อบ้านเฉิงฟังจบ ก็หรี่ตาลงด้วยความขุ่นเคือง ก่อนหมุนตัวเข้าไปห้องผู้ป่วย

 

 

**

 

 

ณ ห้องผู้ป่วยใน

 

 

หนิงฉิงยืนกลางห้องด้วยความอึดอัดยิ่ง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไร เพียงถามฉินหร่านเรื่องมืออย่างกระออดกระแอดอยู่ไม่กี่ประโยค

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งเล่มเกมอยู่บนโซฟาห้องผู้ป่วย ไม่สนใจหนิงฉิงกับหลินฉี

 

 

พ่อบ้านเฉิงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มจาง จัดเตรียมเก้าอี้ให้หนิงฉิงและหลินฉีนั่ง ทั้งรินน้ำชาให้ทั้งสองอย่างสุภาพยิ่ง

 

 

หลินฉีนั่งลง พร้อมถือแก้วชา เม้มปากเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “หรานหร่าน หมอได้บอกรึเปล่าว่าแขนของหนูจะหายดีเมื่อไหร่?”

 

 

“อีกครึ่งเดือนถึงเดือนนึงมั้งคะ” ฉินหร่านนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ พลางเคาะนิ้วบนโต๊ะอย่างเลื่อนลอย

 

 

แบบนั้นก็เข้าร่วมการสอบไม่ได้จริงๆ ด้วย หลินฉีกดหัวคิ้ว เขาวางแก้วชา จากนั้นยืนขึ้นก้มตัวต่อหน้าฉินหร่าน “หรานหร่าน เรื่องของซินหราน อาก็เพิ่งรู้เหมือนกัน อา…รู้สึกละอายใจมาก แม้รู้ว่าไม่ควร แต่อาก็อยากให้ครั้งนี้หนูปล่อยซินหรานไป อาจะลงโทษเธอและส่งเธอไปต่างประเทศ ให้เธอไม่อาจกลับมาที่นี่อีกได้ตลอดชีวิต หวังว่าครั้งนี้หนูจะให้อภัยเธอได้”

 

 

เมื่อได้ยินหลินฉีพูดแบบนี้ ฉินหร่านจึงเอนตัวพิงเก้าอี้ พลางใช้มือขวาที่ไม่บาดเจ็บเท้าคางไว้ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะช้าๆ เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมหนิงฉิงกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่มือก่อนวันสอบได้?

 

 

เมื่อเห็นเธอยิ้มแล้ว ทั้งไม่มีสีหน้าดุดันเหมือนอย่างที่เคยเป็น หนิงฉิงถึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอก

 

 

“ใช่แล้วหรานหร่าน ดูลูกสิ หยุดเรียนไปครึ่งปี จะว่าไปลูกไปสอบครั้งนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ปีนี้ไม่สอบก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวสองสามวันนี้แม่ค่อยหาคอร์สกวดวิชาดีๆ ให้” หลังจากหนิงฉิงพูดจบ จังหวะการพูดก็ฟังดูเรียบขึ้น

 

 

หลินฉีที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินหนิงฉิงพูดเช่นนี้ หัวคิ้วก็มุ่ยหากันแต่ไม่ได้ขัดจังหวะเธอ

 

 

พ่อบ้านเฉิงที่เดิมยืนฟังด้วยรอยยิ้มจางอยู่ด้านข้าง ปกติเขาก็เป็นชายแก่ที่มีท่าทางเช่นนี้มาโดยตลอด สำหรับหนิงฉิงและหลินฉีแล้วนับว่าปฏิบัติด้วยมารยาทอยู่บ้าง

 

 

แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ รอยยิ้มมุมบนปากของเขาก็ค่อยๆ หุบลง

 

 

มือของฉินหร่านยังคงเท้าอยู่ที่คาง พร้อมมีสีหน้าไม่แยแสเช่นเคย “ยังมีอีกไหมคะ?”

 

 

“ซินหรานอายุยังน้อย เธอก็แค่สับสนไปชั่วขณะ” หนิงฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พรุ่งนี้เป็นวันสอบแล้ว หากเป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เธอต้องคดีอาญา แล้วต่อไปเธอจะทำยังไง? ลูกคิดไหมว่านี่คือการทำลายชีวิตของคนคนนึง…”

 

 

หนิงฉิงยังพูดไม่ทันจบ ลู่จ้าวอิ่งที่นั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาก็ทนไม่ไหว เขาพลันโยนโทรศัพท์ทิ้ง “งั้นคุณเคยคิดไหมว่าฉินเสี่ยวหร่านที่ยังเด็กอยู่ เกิดเข้าร่วมการสอบไม่ได้แล้วจะทำยังไง? คุณเคยคิดไหมว่าหลังจากนี้มือของเธอจะใช้งานได้อีกไหม?! ผมก็คิดว่าคุณยังมีมโนธรรมมาเยี่ยมฉินหร่านจริงๆ ดูแล้วผมประเมินคุณสูงเกินไป! พอพวกเราเอาจริงบ้างก็ไม่มีใครคอยคุ้มกันใช่ไหม? ยังดีที่ตอนแรกฉินเสี่ยวหร่านไม่ไปอยู่ที่บ้านสกุลหลินของพวกคุณ ไม่งั้นถูกกลั่นแกล้งยังไงก็ไม่มีใครรู้! แล้วจะมาบอกให้พวกเราปล่อยเมิ่งซินหรานเนี่ยนะ? ฝันไปเถอะโว้ย!”

 

 

“เฉิงมู่ นายเข้ามาเก็บสองคนนี้ออกไป!” ลู่จ้าวอิ่งยิ้มอย่างเย็นชาพลางหันไปที่ประตู

 

 

เฉิงมู่ที่อยู่ข้างนอกตลอด เมื่อได้ยินเสียงของลู่จ้าวอิ่ง ก็เปิดประตูเดินเข้ามาห้องพักคนไข้ ก่อนเดินไปหาหนิงฉิง

 

 

เดิมประตูห้องพักผู้ป่วยปิดอยู่ครึ่งบาน ทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้าของเฉิงมู่ต่างไวต่อความรู้สึก คำพูดของหนิงฉิงก็ได้ยินในหูของเขา สายตาที่มองมายังหนิงฉิงจึงเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

 

ในเวลาเดียวก็มีผู้ชายชุดดำสองคนเดินเข้ามาเพื่อหิ้วตัวหนิงฉิงออกไป!

 

 

ด้วยท่าทีเรียบง่ายและหยาบคาย

 

 

หนิงฉิงไม่คิดว่าฉินหร่านไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เธอมองมายังฉินหร่านด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ทั้งไม่คิดอีกด้วยว่าฉินหร่านจะปฏิบัติกับตนด้วยท่าทีเช่นนี้ “ฉินหร่าน เธอทำแบบนี้กับ…”

 

 

ฉินหร่านรับน้ำแก้วหนึ่งจากพ่อบ้านเฉิง พลางเผยอปากยิ้มเบาบาง “คุณหญิงหนิง ฟังดูแล้ว คุณมาหาผิดคนแล้วค่ะ”

 

 

เห็นชัดว่าเธอกำลังยิ้มอยู่ แต่น้ำเสียงของเธอก็ฟังดูเฉื่อยชาเหมือนที่เคยเป็น ดวงตามืดสนิทมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

 

 

ทว่าในเวลานี้เองหนิงฉิงกลับรู้สึกขนพองสยองเกล้า หลังจากที่เฉินซูหลานตายไป เธอก็รู้สึกว่าฉินหร่านไม่เหมือนเดิม วันนี้ยิ่งรู้สึกได้อย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น

 

 

ท่าทีของฉินหร่าน…ล้วนปฏิบัติราวกับคนแปลกหน้าทั้งขอไปทีและเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้

 

 

เธอเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้เมื่อไหร่กัน?

 

 

หนิงฉิงถูกบอดี้การ์ดโยนเข้าลิฟต์ เธอลุกขึ้นอย่างเก้อเขิน ไม่รู้เหตุใด ในใจพลันกระสับกระส่ายอย่างรุนแรง

 

 

ราวกับว่ามีอะไรพรากเธอไปแสนไกล

 

 

หลินฉีไม่ถูกโยนออกไปด้วย เขายืนอยู่หลังเฉิงมู่ เมื่อเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยคิ้วและตาที่ตกลง พูดอย่างเบาๆ ว่า “เดิมหล่อนก็ไม่ควรพูดกับหรานหร่านแบบนี้ เพราะคนที่ผิดคือซินหราน หรานหร่านต่างหากคือผู้เสียหาย…”

 

 

“ช่างเถอะ” หลินฉีไม่อยากพูดอะไรต่อแล้ว ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา เพียงส่ายหัว “กลับไปเถอะ”

 

 

เมื่อออกจากลิฟต์ โทรศัพท์ในกระเป๋าหลินฉีก็ดังขึ้น

 

 

เป็นคุณเมิ่ง

 

 

เขาดูโทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนรับสาย

 

 

“เป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงปลายสายฟังดูว้าวุ่นและหงุดหงิดยิ่ง

 

 

หลินฉีไม่ได้พูดอะไร

 

 

คุณเมิ่งทางฝั่งนั้นก็รู้ผลลัพธ์แล้ว เขาหัวเราะอย่างขมขื่น ก่อนตัดสายไป “ฉันรู้ละ ขอบคุณพวกเธอมาก”

 

 

หลินฉีเก็บโทรศัพท์ เขาเข้าใจอย่างชัดเจน ว่าสกุลเมิ่งกับเมิ่งซินหรานคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว

 

 

ทั้งสองเดินออกจากประตูโรงพยาบาลโดยไม่พูดไม่จาสักคำ โชเฟอร์สกุลหลินเห็นสีหน้าทั้งสอง ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงขับรถอย่างเงียบๆ กลับบ้าน

 

 

ระหว่างทางจิตใจของหนิงฉิงรู้สึกไม่สงบอย่างมาก เมื่อกลับถึงบ้านสกุลหลิน ก็ไม่ได้ขึ้นไปทันทีเพียงวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ พลางรินน้ำเย็นให้ตัวเอง

 

 

“แม่ไปไหนมาคะ?” ฉินอวี่เดินลงมาจากชั้นบน เห็นหนิงฉิงเป็นแบบนี้จึงถามด้วยความสงสัย

 

 

น้ำเย็นๆ ทำให้หนิงฉิงมีสติกลับมา เธอเงยหน้ามองฉินอวี่

 

 

อีกฝ่ายเป็นเด็กเฉลียวฉลาด จิตใจที่ล่องลอยของหนิงฉิงจึงค่อยๆ สงบลง “อวี่เออร์ พรุ่งนี้เป็นวันสอบแล้ว ลูกเตรียมพร้อมรึยัง?”

 

 

“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ” ฉินหร่านยิ้ม

 

 

ในที่สุดหนิงฉิงก็ยิ้มออกมาได้ เธอถอนหายใจช้าๆ ด้วยความสบายใจ ก่อนวางแก้วชาลงบนโต๊ะ

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินอวี่ล้วนเป็นไพ่ตายในมือของเธอ ขอแค่ฉินอวี่ไม่เป็นอะไร เธอก็วางใจแล้ว

 

 

**

 

 

วันรุ่งขึ้น วันที่เจ็ดเดือนหก

 

 

สอบเข้ามหาวิทยาลัยวันแรก

 

 

ณ คฤหาสน์ใจกลางเมือง ฉินหร่านตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่

 

 

เมื่อพ่อบ้านเฉิงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาทำหน้าที่แทนเฉิงมู่อยู่ครู่หนึ่ง กำลังถือกระบอกฉีดน้ำรดน้ำดอกไม้ของฉินหร่าน เมื่อเห็นฉินหร่านตื่นเช้าเช่นนี้ จึงเงยหน้าพูดด้วยความตกใจ “คุณหนูฉิน ทำไมคุณหนูถึงตื่นเช้าละครับ ไม่นอนต่ออีกสักหน่อยเหรอครับ?”