ตอนที่ 38 ไม่ยอมแพ้!
“ก้าวข้ามแสง!”
“ก้าวข้ามไฟ!”
“ก้าวข้ามทุกอย่าง!”
เสียงเพลงของเฉิงเสี่ยวตงกับดนตรีบรรเลงที่กระตุ้นอารมณ์ กระทบแก้วหูของทุกคนอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
เสียงของเขาสูงปรี๊ด มีพลังทะลุทะลวงไปบนท้องฟ้า ทำให้การขับร้องเพลงร็อกคลาสสิค ‘ก้าวข้าม’ มีกลิ่นอายที่แตกต่างไป โดยเฉพาะท่อนที่ร้องเสียงสูง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลมหายใจหรือการจัดจังหวะ นักร้องนำวงเฟยตู้คนนี้ก็สามารถควบคุมได้สบายมาก
ถ้าหากไม่ได้ยินกับหูตัวเอง ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงยากที่จะเชื่อว่าร่างกายที่เล็กๆ แค่นี้ กลับมี ‘เสียงทองคำ’ ที่ทรงพลังขนาดนี้ การแสดงของเฉิงเสี่ยวตงคือพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้ชมมากมายนับสองพันคนอารมณ์พลุ่งพล่านไปกับเสียงเพลงของเขา ไม่ว่าจะมีแท่งเรืองแสงที่อยู่ในมือหรือไม่ ทุกคนต่างก็โบกสะบัดมือทั้งสองข้าง กระโดดไปตามจังหวะเพลง อย่างมีความสุข!
เมื่อฟังจบไปสองท่อนแรกแล้ว คนที่เข้าใจดนตรีก็จะรู้ดี เฉิงเสี่ยวตงเลือกเพลงร็อกเพลงนี้ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ เขาน่าจะเชิญยอดฝีมือมาทำการเรียบเรียงเพลง ‘ก้าวข้าม’ ใหม่ เพื่อให้เพลงเหมาะสมกับเส้นเสียงและความต้องการพลังในการร้องเพลงของตัวเอง เท่ากับเป็นการเดินทางลัด
ทว่าทางลัดแบบนี้ก็เป็นความฉลาดและเอาใจคนได้มาก สามารถมองออกถึงการตอบสนองของผู้ชมที่อยู่ในงาน
เห็นได้ชัดว่าวงเฟยตู้เป็นวงที่มีความคิดและความสามารถ ความสามารถของเฉิงเสี่ยวตงทำให้ทุกคนต้องทึ่ง
พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังในวงการล้วนมีสาเหตุ!
แต่การแสดงความสามารถของวงเฟยตู้ที่ยิ่งแข็งแกร่งนั้น ทำให้ลู่เฉินที่ต้องขึ้นเวทีเป็นคนต่อไปยิ่งกดดันมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
ตรงจุดนี้ มีคนที่อยู่ในงานจำนวนไม่น้อยต่างก็เข้าใจเป็นอย่างดี
อย่างเช่นซูชิงเหมยที่อยู่ชั้นบนโซนวีไอพีของบาร์บลูโลตัส นัยน์ตาของเธอฉายแววสะใจออกมาแวบหนึ่ง
ฉินฮั่นหยางกับพี่น่าที่อยู่หลังเวทีต่างก็เงียบ และคนหลังก็แอบเป็นห่วงลู่เฉินที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องมาตลอด กลัวว่าหลังจากลู่เฉินขึ้นเวทีไปแล้วจะไม่สามารถปรับตัวกับบรรยากาศครึกครื้นที่เกิดขึ้นจากวงเฟยตู้และเฉิงเสี่ยวตง จนสูญเสียมาตรฐานที่ควรจะมี ถูกทุกคนเหยียบลงไปในที่สุด
เหตุการณ์เดียวกัน เคยเกิดขึ้นในงานเทศกาลดนตรีคาร์นิวัลหลายครั้งแล้ว
การแข่งขันระหว่างนักร้องกับนักร้อง วงดนตรีกับวงดนตรี ไม่เคยมีความปรานี!
แต่กานหล่างที่นั่งนิ่งๆ อยู่หลังเวทีเหมือนกันกลับทำสีหน้าผ่อนคลาย
เขาเป็นตัวแทนของวงจื่อเป่ยเจิน หลังจากที่ลู่เฉินขึ้นเวทีไปแล้ว อย่างแรกคือหลบการปะทะกับวงเฟยตู้ก่อน และข้างหน้าก็ยังมีผ้าปูเตียงของลู่เฉินอีก ทั้งคนเวลาและสถานที่ครบองค์ประกอบทั้งสามประการ จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ถูกคนกดทับลงไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กานหล่างยังมีทีเด็ด
วงเฟยตู้ร้องเพลง ‘ก้าวข้าม’ ได้อย่างสนุกและมีสีสัน ต่อให้การร้องเพลงของเฉิงเสี่ยวตงจะโดดเด่นแค่ไหน สุด ท้ายก็เป็นเพียงเพลงเก่าเมื่อยี่สิบปีก่อนเท่านั้น เป็นผลงานเพลงคลาสสิคที่ทุกคนคุ้นหู
การร้องและเรียบเรียงเพลงใหม่ดึงดูดความสนใจได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ทุกคนจะเคยชินคิดว่าร้องเพลงดีเป็นสิ่งสมควร จึงไม่มีความประทับใจและตื่นเต้นมากนัก แต่กลับเป็นอารมณ์ที่รำลึกถึงความทรงจำมากกว่า
แต่ทีเด็ดของวงจื่อเป่ยเจินคือจ้างนักแต่งเพลงชื่อดังมาแต่งเพลงสองเพลงด้วยเงินจำนวนมากเมื่อสองเดือนก่อน กานหล่างพาสมาชิกของวงฝึกซ้อมเป็นระยะเวลานานด้วยความลำบาก เพื่อเตรียมการแสดงที่น่าตื่นตะลึงในค่ำคื่นนี้
หนึ่งในเพลงนี้บุคคลในวงการก็เคยลองฟังมาแล้ว คิดว่ามีสิทธิ์ที่จะได้รับการจัดอันเพลงฮิตติดชาร์ตหนึ่งร้อยอันดับแรกของปี และเพลงนี้จะเป็นผลงานชิ้นเอกที่วงจื่อเป่ยเจินได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทชิงอวี่มีเดีย
กานหล่างมั่นใจเป็นอย่างมาก!
เมื่อเทียบกับห้องถ่ายทอดสดลู่เฟยใน ‘จิงอวี๋ทีวี’ มีแฟนคลับมากมายที่อยู่ไม่สุขแล้ว
“แม่งน่าหงุดหงิด ทำไมคนนี้เก่งจัง”
“ก้ามข้ามร้องยากมาก เขาร้องได้เพราะจริงๆ ท่านลู่เฟยของพวกเราโดนกดดันแล้ว”
“ผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดหลักอยู่ข้างหลังเวทีเรอะ”
“ใช่ การจัดลำดับประกาศออกมาแล้ว ต่อไปก็คือผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดหลักของพวกเราออกมาแสดง!”
“แต่ดูเหมือนจะยากนะ ผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดหลักเล่นและร้องเพลงบัลลาด ไม่เหมาะแสดงในงานแบบนี้มั้ง”
“ทำไมพวกเธอแต่ละคนถึงเป็นแบบนี้ พวกเราต้องเชื่อใจท่านลู่เฟยสิ ท่านลู่สู้ๆ!”
“ฉันจำได้ว่าผู้จัดรายการเคยพูดไว้ บอกว่าจะร้องเพลงใหม่ หวังว่าเพลงใหม่จะใช้ได้นะ”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันก็จะสนับสนุนท่านลู่เฟย…”
ยอดความนิยมของคนที่ออนไลน์ในห้องถ่ายทอดสดทะลุถึงหนึ่งแสนคนขึ้นไปแล้ว มีผู้รู้อยู่ในกลุ่มของผู้ชมเหล่านี้ ไม่ช้าพวกเขาก็มองถึงปัญหาที่มีอยู่ และยังพูดความกังวลของตัวเองออกมา
มีบางคนที่ไม่รู้ พอได้รับคำเตือนของพวกเขาจึงเข้าใจทันที ดังนั้นหัวข้อในการสนทนาจึงเบี่ยงเบนไป
เดิมทีเป็นเพราะตื่นเต้นดีใจที่ลู่เฉินได้ขึ้นเวทีแสดง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นความกังวลอย่างรวดเร็ว ทุกคนไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นผู้ดำเนินรายการถ่ายทอดสดของตัวเองต้องถูกคนเหยียบย่ำ แม้แต่การตบรางวัลลูกบอลปลาก็หายไป
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หลี่เฟยอวี่ที่เป็นพิธีกรการดำเนินรายการจึงเหงื่อไหลเต็มหน้าผากด้วยความร้อนใจ
แต่ก่อนที่ลู่เฉินจะขึ้นเวที เขาไม่มีวิธีใดที่จะเปลี่ยนแปลงสถานกาณ์ในตอนนี้ได้ จึงได้แต่พยายามให้กำลังใจลู่เฉินไปพลางๆ และขอให้ทุกคนเชื่อใจลู่เฉิน
แต่ผลลัพธ์กลับไม่ค่อยดี
ระบบเตือน: เรียกฉันว่าหลี่ไป๋ (เงินIII) มอบเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำ!
ระบบเตือน: เรียกฉันว่าหลี่ไป๋ (เงินIII) มอบเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำ!
ระบบเตือน: เรียกฉันว่าหลี่ไป๋ (เงินIII) มอบเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำ!
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ระบบก็ปรากฏข้อความสะดุดตาสามข้อความบนหน้าจอติดต่อกัน เรือบรรทุกเครื่องบินปรากฏเรียงกันต่อหน้าของผู้ชมในห้องถ่ายทอดสด ใจป้ำสุดๆ
บรรยากาศที่ซบเซาในห้องถ่ายทอดลู่เฟยถูกบดละเอียดเป็นผุยผงด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินภายในพริบตา และมลายหายไป
“ท่านหลี่ไป๋จงเจริญ!”
“อำนาจของคนรวยแหละ!”
จากนั้นพวกที่ชอบประจบเอาใจก็ต่างกรูกันเข้ามาด้วยความเคยชิน พูดจาสรรเสริญต่างๆ นานา ดังนั้นความสนใจของคนส่วนใหญ่จึงถูกเบี่ยงเบน คนจำนวนมากไม่สนใจการแสดงร้องเพลงของวงเฟยตู้อีกต่อไป
เรียกฉันว่าหลี่ไป๋
“ลู่สุดหล่อต้องชนะแน่นอน ขุนศึกตระกูลลู่ไม่มีวันยอมแพ้!”
“ไม่มีวันยอมแพ้!“
แล้วข้อความที่เหมือนกันก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอเต็มไปหมด ถ้าหากใครอยากจะเห็นภาพหน้าจอที่ชัดเจน คงต้องยกเลิกการพิมพ์ข้อความหรือปักหมุดไว้ด้านบน ไม่อย่างนั้นก็คงเจอแต่ภาพขาวโพลน!
ไม่มีวันยอมแพ้!
นี่คือคำขวัญของขุนศึกตระกูลลู่ ทุกวันนี้ขนาดของขุนศึกตระกูลลู่ขยายเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่า กลุ่มสมาชิกห้าพันคนเต็มไปนานแล้ว ทั้งยังเปิดกลุ่มใหม่สูงสุดอีกสองกลุ่ม
กองทัพออกรบ แม้แต่หญ้าก็ไม่อาจขึ้น!
หลี่เฟยอวี่พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ผมขอเป็นตัวแทนลู่เฟยขอบคุณเสนาธิการหลี่ไป๋ ขอบคุณสมาชิกขุนศึกตระกูลลู่ทุกคน ผมเองก็เชื่อว่าท่านลู่เฟยของพวกเราจะไม่แพ้คนอื่นแน่นอน ขุนศึกตระกูลลู่ไม่มีวันพ่ายแพ้!”
เขากำหมัดแน่นอย่างอดใจไม่ไหว กวาดสายตามองไปทางเวทีขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า
ต้าเฉิน! นายต้องสู้ๆ นะ
บนเวที เฉิงเสี่ยวตงกำลังใช้เสียงสูงเหมือนปลาโลมาร้องเพลงท่อนหนึ่งเพื่อจบการแสดงของตัวเอง
เสียงส่งท้ายของเฉิงเสี่ยวตงถูกเพิ่มเข้าไปด้วยตัวเองอย่างเห็นได้ชัด เพื่อโชว์เสียงและทักษะ เร่งเร้าอารมณ์ของบรรดาผู้ชมที่อยู่ในงานให้พุ่งสูงสุด!
เสียงสูงยาวยี่สิบวินาทีสิ้นสุดลง เขาสะบัดผมที่มีเหงื่อโชกอีกครั้ง แล้วพูดอย่างเท่ว่า “ขอบคุณทุกคนครับ คืนนี้เป็นของพวกคุณ ขอให้พวกเราสนุกกันเต็มที่ต่อไป!”
“เฮ้!”
เสียงขานรับจำนวนมากของผู้ชม โห่ร้องด้วยความสนุกครึกครื้นสุดๆ
เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่แสนจะสมบูรณ์แบบ เฉิงเสี่ยวตงจึงยิ้มอย่างได้ใจ กอดกีตาร์แล้วโค้งคำนับให้ผู้ชมอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกจากเวที
“เฉิงเฉิง! เฉิงเฉิง ร้องอีกเพลง!”
แฟนคลับสาวจำนวนไม่น้อยตะโกนร้องกรี๊ด บางคนก็ร้องไห้โฮ ราวกับว่าสูญเสียของรักที่สุดไป
การแสดงของวงเฟยตู้สิ้นสุดลง ก็ถึงตาลู่เฟยขึ้นเวทีแล้ว
พี่น่ากอดเขาอย่างเต็มที่ “สู้ๆ พวกเราสนับสนุนนาย!”
ฉินฮั่นหยางก็ตบไหล่ของเขา “ร้องให้ดีๆ!”
ลู่เฉินพยักหน้า จากนั้นถือกีตาร์ของเขาเดินขึ้นไปที่ด้านหลังเวทีแล้วเหยียบบันไดขึ้นสู่เวที
บังเอิญเฉิงเสี่ยวตงพาสมาชิกวงเฟยตู้เดินลงมาพอดี เด็กหนุ่มแฟชั่นคนนี้จึงเชิดหน้า เหมือนกับราชาที่ได้ชัยชนะ เพิ่งได้รับการกราบไหว้จากประชาชนนับพัน หยิ่งยโสโอหังสุดๆ
เขามองลู่เฉินเดินขึ้นไปบนเวทีเพียงคนเดียว ยิ้มมุมปากด้วยความจองหอง และยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ
ลู่เฉินเดินขึ้นบันไดไปสองขั้น ต่างกับเฉิงเสี่ยวตงอยู่สองขั้น แต่ก็สามารถสบตากับอีกฝ่ายในระดับเดียวกันได้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่ท้าทายของเฉิงเสี่ยวตง ลู่เฉินจึงพยักหน้าให้เขาแล้วพูดว่า “ร้องได้ดี!”
เฉิงเสี่ยวตงเบะปากอย่างไม่สนใจ ไม่มีทีท่าจะหลีกทางให้สักนิด
ลู่เฉินยิ้มเรียบๆ หันข้างเบียดตัวไปทางซ้ายของเฉิงเสี่ยวตง ไม่ปะทะกับอีกฝ่าย
ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้ ทำอะไรลู่เฉินไม่ได้หรอก!
ตอนที่เดินขึ้นไปบนเวที เขาได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของสมาชิกวงเฟยตู้ดังมาจากด้านหลังตัวเอง
ลู่เฉินทำสีหน้าเหมือนเดิม ก้าวเดินอย่างมั่นคง เดินไปอยู่ตรงหน้าไมค์
จากนั้นก็เผชิญหน้ากับผู้ชมที่มากกว่าสองพันคน!
…………………………………………………………………………